โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
“ฮ่องกง”แม้จะเป็นเมืองสำคัญด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ที่มากมายไปด้วยตึกสูงระฟ้าและแสงสียามราตรีที่ไม่เคยหลับใหล(ในหลายๆพื้นที่) แต่กระนั้นฮ่องกงก็ยังคงโดดเด่นไปด้วยรากเหง้าแห่งวิถีวัฒนธรรมความเป็นจีนและความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งสามารถผสานวิถีในแบบดั้งเดิมกับวิถีร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนแนบแน่น
ท่ามกลางตึกสูงที่ตั้งตระหง่านและงานสถาปัตยกรรมที่ดูทันสมัยหวือหวาจำนวนมากในฮ่องกง ล้วนต่างแฝงไปด้วยความเชื่อในเรื่อง“ฮวงจุ้ย”อันเข้มข้น
นอกจากนี้ฮ่องกงยังมากไปด้วยวัดวาอาราม ศาลเจ้า และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้กราบไหว้สักกะบูชา และสัมผัสในความงดงามของวัดวาอารามและสถานที่ศักดิสิทธิ์ต่างๆอันน่าตื่นตาตื่นใจ
นับเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์แห่งเกาะฮ่องกง ซึ่งแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปทัวร์ธรรมะ ทำบุญไหว้พระ ขอพร เสริมดวง เสริมสิริมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมถึงหลายๆคนยังนิยมไปไหว้พระแก้ปีชง(ตามความเชื่อส่วนบุคคล)ที่ฮ่องกงกันเป็นจำนวนมากอีกด้วย
และนี่ก็คือไฮไลท์บางส่วนของเส้นทางตระเวนไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในฮ่องกง ซึ่งทาง“การท่องเที่ยวฮ่องกง” ได้คัดสรรมาให้ผู้สนใจได้ไปทัวร์ธรรมะ ไหว้พระ เฮง เฮง เฮง เสริมสิริมงคลกัน
ต้นไม้อธิษฐานหลัมเจิน
สำหรับสถานที่แรกผมขอเปิดประเดิมความเฮงกันที่ “ต้นไม้อธิษฐานหลัมเจิน”(Lam Tsuen Wishing Tree) แห่งหมู่บ้านหลัมเจิน ในเขตไทโป
“ต้นไม้อธิษฐาน” หรือ “ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์” ต้นของแท้ดั้งเดิมเป็นต้นไทรใหญ่เก่าแก่ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของเทพารักษ์
มีตำนานเล่าว่าหญิงสาวคนหนึ่งที่หมู่บ้านหลัมเจิน มีสามีที่ต้องออกไปทำงานหาเงินในต่างถิ่นเป็นเวลายาวนาน ทำให้เธอกลัวว่าสามีเธอจะนอกใจไปเป็นอื่น จึงมาอธิษฐานกับต้นไทรใหญ่นี้ให้สามีกลับมาและยังรักเธอเหมือนเดิม ซึ่งเมื่อได้ดังสมมาดปรารถนา เธอจึงนำส้มผูกเชือกไปแขวนห้อยไว้กับต้นไทรใหญ่
ขณะที่อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า มีหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งได้มากราบไหว้ขอพรกับต้นไทรใหญ่ต้นนี้ ขอให้ลูกชายของเธอมีผลการเรียนที่ดีขึ้น ก่อนจะสมหวังดังใจปรารถนา
จากนั้นเมื่อมีคนรู้มากขึ้นต่างก็พากันเดินทางมากราบไหว้ขอพร จนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีชื่อเสียงโด่งดัง มีคนจากต่างถิ่นต่างที่เดินทางเข้าอธิษฐานขอพรกันไม่ได้ขาด โดยผู้มาขอพรจะนำส้มมาผูกห้อยแขวนไว้กับกิ่งไม้ หรือไม่ก็โยนส้มผูกเชือกขึ้นไปให้แขวนเกี่ยวห้อยเติ่งอยู่บนต้นไม้
นานวันเข้าต้นไทรใหญ่จึงเต็มไปด้วยผลส้มที่ถูกห้อยทิ้งไว้ ทำให้บางกิ่งทานน้ำหนักไม่ไหว จนเกิดการหักโค่นลงมาถูกนักท่องเที่ยวบาดเจ็บ ส่วนผลส้มก็เน่าส่งกลิ่นเหม็นและสร้างความสกปรกให้แก่บริเวณต้นไม้อธิษฐาน
ชาวบ้านหมู่บ้านหลัมเจินจึงเกรงว่าหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ต้นไม้อธิษฐานอาจหักโค่นลงสักวัน พวกเขาจึงสร้างต้นไม้อธิษฐานจำลองขึ้น เพื่อให้ผู้มาขอพรได้นำส้มไปโยนแขวนอยู่บนต้นไม้ โดยส้มที่โยนก็เป็นผลส้มปลอมเพื่อไม่ให้เกิดการเน่าเหม็น ขณะที่ต้นไทรใหญ่ที่เป็นต้นไม้อธิษฐานต้นจริงนั้น ได้มีการใช้ไม้ค้ำ(เหมือนไม้ค้ำโพธิ์ในบ้านเรา) และมีการตั้งศาลไว้ข้างๆให้ผู้คนได้สักการะบูชา
ปัจจุบันการไปขอพรที่ต้นไม้อธิษฐาน หากจะโยนส้มขอพรก็ต้องนำผลส้มปลอมกับกระดาษบูชาผูกเชือก(มีขายตามแผงในบริเวณนั้น)แล้วโยนให้แขวนติดอยู่บนต้นไม้อธิฐานจำลอง บางคนโยนเพียงครั้งเดียวก็ติด แต่บางคนโยนเป็นสิบๆครั้งถึงจะติดก็มี
สำหรับต้นไม้อธิษฐานนั้นเชื่อว่าสามารถขอพรได้ทุกอย่าง โดยถ้ายิ่งโยนส้มไปติดอยู่บนกิ่งที่สูงเท่าไหร่ก็จะโชคดีมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ที่ใกล้ๆกับต้นไม้อธิฐานยังมี “วัดทินโห่ว” (Tin Hau Temple) ประดิษฐาน“เจ้าแม่ทับทิม” เทพธิดาแห่งท้องทะเล ให้สักการะบูชาและกราบไหว้ขอพรเสริมสิริมงคลได้เช่นกัน
วัดแชกุง
จากต้นไม้อธิษฐานจุดต่อไปเราไปยัง “วัดแชกุง”(Che Kung Temple) (ย่านนิวเทอริทอรี่ส์) หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า “วัดกังหัน”เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 300 ปี ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของ“แม่ทัพแชกุง” แห่งราชวงศ์ซ่งใต้ ที่ไม่เพียงสามารถปราบพวกกบฏได้แล้ว ยังสามารถนำสมุนไพรมารักษาโรค ช่วยหยุดโรคระบาดไม่ให้เป็นภัยคุกคามต่อชาวบ้าน จนได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนยุคนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อเสียชีวิตไปก็ได้รับการยกย่องให้เป็นดังเทพเจ้า
วัดแชกุงที่เห็นในปัจจุบัน ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2536 เพื่อรองรับศรัทธาจากมหาชนที่เดินทางมาสักการะเทพแชกุงกันเป็นจำนวนมาก จนตัววัดเดิมไม่สามารถรองรับได้
ภายในวัดแชกุงจะมีโถงบูชาหลัก เป็นที่ตั้งของรูปปั้นเทพแชกงหรือแม่ทัพแชกุงองค์โต ในท่ายืนถือดาบหน้าตาขึงขัง ด้านข้างๆ มีกลองระฆังยักษ์ และ“กังหันแห่งโชคลาภ” ที่เชื่อกันว่าถ้าหมุนครบ 3 รอบ จะนำพาโชคลาภมาให้
นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าถ้ามาถวายกังหันลมที่วัดแห่งนี้ กังหันจะปัดเป่าช่วยพัดพาสิ่งชั่วร้ายโรคภัยไข้เจ็บออกไปจากตัวเรา และพัดพาสิ่งที่ดีงามเข้ามา ที่วัดแห่งนี้จึงมีกังหันทั้งเล็กใหญ่วางขายให้เรานำไปทำบุญอยู่เป็นจำนวนมาก บางคนนอกจากจะทำบุญถวายกังหันแล้ว ยังซื้อกังหันติดตัวกลับมาด้วยเพราะเชื่อว่าจะทำมาค้าขายรุ่งเรือง มีโชคดีติดตัวตามมา
สำหรับการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดแชกุงนั้น พี่“มาลี ถามรางกุล” มัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์มากประสบการณ์แห่งการท่องเที่ยวฮ่องกงที่นำผมกับเพื่อนๆออกตระเวนทัวร์ธรรมมะ ได้ให้คำแนะนำว่า การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่หากอยากได้สิริมงคลสูงล้นตามความเชื่อของชาวฮ่องกง มีขั้นตอนการไหว้ดังนี้
เริ่มจากไหว้ขอพรรูปปั้นเทพแชกุงหรือแม่ทัพแชกุงที่เป็นเทพประทานก่อน จากนั้นต่อด้วยการไหว้เทพเต๋าโม(เต๋าโหม่ว)-เทพแห่งกาลเวลา และไหว้พระประจำปีนี้คือปีวอก(ปีลิง) แล้วปิดท้ายด้วยการไหว้พระประจำปีเกิด(ราศีเกิด)ของตัวเอง ซึ่งจากโถงบูชาหลักจะมีเส้นทางเดินนำไหว้พระต่างเหล่าๆนี้ อย่างไรก็ดีหากใครไปกับทัวร์ให้ไกด์พาไปไหว้ถือว่าสะดวกและดีที่สุด
วัดหมั่นโหม่
จากนั้นเราไปต่อกันที่ “วัดหมั่นโหม่”(วัดหมั่นโหม่ว)(Man Mo Temple) วัดเล็กๆที่ตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางตึกสูงตระหง่าน
วัดหมั่นโหม่เป็น 1 ใน 24 วัดดังอันเก่าแก่ของฮ่องกง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2390 วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เทพบู๊กับบุ๋น คือ เทพวรรณกรรม(หมั่น-บุ๋น) และเทพแห่งสงคราม(โหม่-บู๊)
ภายในวัดซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์เทพประธาน มีรูปปั้นของเทพทั้งสองตั้งอยู่เคียงคู่กัน พร้อมกับสัญลักษณ์รูปหล่อทองเหลืองมือจับพู่กันของเทพวรรณกรรมในฝ่ายบุ๋น และง้าวทองเหลืองของเทพสงครามในฝ่ายบู๊ ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อไปลูบที่ง้าวและมือจับพู่กันก็สมหวังในพรที่ขอไป
สำหรับวัดหมั่นโหม่นั้นมีความว่าเด่นในการขอพรด้านการศึกษา(บุ๋น) และด้านการค้าธุรกิจ การต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค และการทำงาน(บู๊) นอกจากนี้ที่ด้านข้างติดกับวัดหมั่นโหม่ก็ยังมีองค์เจ้าแม่กวนอิมศักดิ์สิทธิ์ให้การะบูชากัน
วัดหว่องไทซิน
จุดต่อไปเราไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันที่“วัดหว่องไทซิน”(Wong Tai Sin Temple) หรือ “วัดซิกซิกหยวน หว่องไทซิน” หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า “วัดหวังต้าเซียน” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัดดังของฮ่องกงที่คนไทย ทัวร์ไทยนิยมไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเป็นจำนวนมาก
วัดหวังต้าเซียน สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเทพหวังต้าเซียน ซึ่งตามตำนานเล่าท่านเป็นเด็กดี เป็นลูกที่กตัญญูมาก ในสมัยเป็นเด็กท่านช่วยพ่อแม่เลี้ยงแกะ(บ้างก็ว่าเลี้ยงแพะ) แล้ววันหนึ่งก็มีนักพรตมาพาท่านไปฝึกวิชาให้เป็นเซียน
เทพหวังต้าเซียนท่านร่ำเรียนวิชาและบำเพ็ญเพียรตั้งแต่เด็ก จนมีวิชาความรู้ วิชาการแพทย์ และมีตบะแก่กล้าเมื่อเติบใหญ่ สามารถนำความรู้ที่ร่ำเรียนมาช่วยรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย รักษาโรคระบาด ช่วยเหลือชาวบ้าน จนท่านได้รับการยกย่องให้เป็นเทพ เมื่อเสียชีวิตไปก็มีคนตั้งศาลกราบไหว้บูชา
วัดหวังต้าเซียน ได้รับอิทธิพลมาทั้งจากศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า ขงจื้อ ตัววัดและสิ่งก่อสร้างต่างๆมีลักษณะคล้ายวัดจีนโบราณ อีกทั้งยังเด่นในด้านศาสตร์ฮวงจุ้ย ซึ่งที่นี่ถือว่ามีครบทั้ง 5 ธาตุ(ตามความเชื่อเรื่องธาตุแบบจีน) คือ ธาตุโลหะ-ศาลาสำริด,ธาตุไม้-หอเก็บคัมภีร์,ธาตุน้ำ-น้ำพุ,ธาตุไฟ-ศาลเจ้า และธาตุดิน-กำแพงดิน
เมื่อมาถึงที่วัดหวังต้าเซียน ที่ตรงเสาประตูด้านหน้าทางเข้าวัดจะมีตัว“ปี่เซียะ”สำริดตั้งเด่นอยู่ ซึ่งชาวฮ่องกงเชื่อกันว่าสามารถป้องกันสิ่งชั่วร้าย หากมาลูบจับจะมีโชคดี ได้โชคได้ลาภ จึงมีคนนิยมมาลูบตามตัว ตามท้อง และบริเวณใบหน้าของตัวปี่เซียะกันจนมันแผล่บ
จากนั้นเมื่อเดินเข้ามาภายในวัดจะพบกับศาลเทพเจ้าหวังต้าเซียนที่สร้างอย่างสวยงามอลังการ ภายในประดิษฐาน“ภาพวาดหวังต้าเซียน” อายุเก่าแก่เกือบ 100 ปี ที่อัญเชิญมาจากเมืองจีน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านเด่นในเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บและเรื่องการทำมาค้าขาย
อย่างไรก็ดีชาวฮ่องกงนั้นเชื่อกันว่าเทพเจ้าหวังต้าเซียนที่นี่ เมื่อมาขอพรอะไรจากท่าน ท่านไม่เคยปฏิเสธ ถ้าคนนั้นคิดดี ปฏิบัติดี ดังนั้นผู้คนจึงเดินทางมาขอพรท่านกันในเรื่องสารพัดสารพัน ขอพรท่านกันทุกอย่างตามแต่ศรัทธา
วัดหวังต้าเซียนยังมีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือในเรื่องของการเสี่ยงเซียมซี ซึ่งที่นี่ขึ้นชื่อว่าแม่นยำมาก
นอกจากศาลเทพหวังต้าเซียนแล้ว ที่นี่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆให้กราบไหว้ อาทิ เจ้าแม่กวนอิม เทพเจ้ากวนอู ท่านขงจื้อ เทพเจ้าแห่งความรัก รวมถึงมีห้อง“ไทซิวตี่”หรือ“ไท่โส่ยเอี้ย” ที่ภายในห้องเต็มไปด้วยรูปเคารพของเหล่าพระต่างๆและทวยเทพ โดยมีการจัดแต่งที่มากไปด้วยสีสัน ดูงดงามตระการตา
ในส่วนของห้องไท่โส่ยเอี้ย แม้ว่าจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวชาวไทยสักเท่าไหร่(เพราะต้องเสียเงินค่าเข้าสถานที่) แต่สำหรับชาวฮ่องกงนี่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญแห่งวัดหวังต้าเซียนที่มีคนเข้าไปสักการะไหว้เทพต่างๆในห้องนี้กันเป็นจำนวนมาก
สำหรับการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในห้องไท่โส่ยเอี้ยนั้น พี่มาลีให้คำแนะนำว่า ตามความเชื่อของชาวฮ่องกงหากต้องการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องนี้ให้ได้สิริมงคลอย่างเต็มที่ ให้เราไหว้ด้วยธูป 3 ดอก(ธูปเล็กๆที่ภายในห้องมีจัดไว้ให้) แล้วไหว้เทพตามลำดับ ได้แก่ ไหว้เทพเจ้าแห่งกาลเวลา(เต๋าโหมว) ไหว้พระประจำปี(ปีนี้คือปีลิงหรือปีวอก)ต่อจากนั้นให้ไหว้พระประจำปีเกิด(ราศีเกิด)ของตัวเอง โดยให้บอกปี ค.ศ.กับเจ้าหน้าที่วัด เพื่อจะดูในแผนภูมิว่าเราต้องไหว้พระประจำปีเกิดองค์ไหน เพราะแต่ละราศีแต่ละปีเปิดมีพระประจำปีอยู่ 5 องค์ด้วยกัน
พระใหญ่
มาถึงการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลำดับสุดท้ายในทริปนี้ของผมกับการไหว้ องค์“พระใหญ่”(Big Buddha) ที่ตั้งอยู่บนเขาที่ลานนองปิง บนเกาะลันเตา
ในอดีตการจะไปสักการะองค์พระใหญ่นั้นใช้เวลานานทีเดียวเพราะต้องข้ามเกาะแล้วนั่งรถขึ้นเขาไปอีก แต่หลังจากที่มีการสร้าง“กระเช้า”หรือ“เคเบิ้ลคาร์”ขึ้นมา นอกจากจะเป็นการย่นระยะทางและระยะเวลาแล้ว ยังเกิดเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวอันโดดเด่นกับการนั่งการเช้าไปไหว้พระใหญ่และเที่ยวหมู่บ้านนองปิงบนเขา ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
สำหรับการเปิดประสบการณ์นั่งกระเช้าของผมกับเพื่อนๆ เราไปขึ้นกระเช้ากันที่ “นองปิง 360” (Ngong Ping 360 Cable Car) สถานี Tung Chung เพื่อนั่งกระเช้าข้ามทะเลไปยังยอดเขาบนเกาะลันเตาสู่“หมู่บ้านนองปิง”(Ngong Ping Village) โดยกระเช้าที่มีให้เรานั่งมี 2 แบบ ด้วยกัน คือ แบบธรรมดาหรือแบบมาตรฐาน(Standard Cabin) กับแบบพิเศษ คือ กระเช้าพื้นคริสตัล (Crystal Cabin) หรือกระเช้าพื้นใส ที่เหมาะสำหรับคนไม่กลัวความสูงและผู้ที่ชื่นชอบในความตื่นเต้นท้าทาย(แต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มกว่าการนั่งกระเช้าแบบธรรมดา)
แน่นอนว่างานนี้ผมเลือกนั่งกระเช้าแบบพิเศษที่พื้นเป็นคริสตัลใส เมื่อกระเช้าออกตัวเคลื่อนไป นอกจากเราจะชมวิวจากกระจกใสได้รอบตัวแล้ว ยังมีวิวมุมพิเศษจะพื้นใสที่เบื้องล่างใต้เท้าของเราให้ชมกันอย่างตื่นเต้นสวยงามและแอบลุ้นหวิวๆอยู่ไม่น้อย
โดยระหว่างทางจะเห็นวิวทิวทัศน์ฮ่องกงมุมสูงของตึกรามบ้านเรือน สะพาน สนามบิน ท้องทะเล ขุนเขาเบื้องหน้า และกระเช้าลูกอื่นๆที่กำลังลงสวนทางในขาขึ้นกับเรา ก่อนที่อีกไม่นานเราก็ได้เห็นองค์พระใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลจากสายตา
จากนั้นอีกไม่กี่อึดใจกระเช้าก็พาเรามาส่งยังหมู่บ้านนองปิง(ใช้เวลานั่งประมาณ 25 นาที ระยะทางยาว 5.6 กม.) ระหว่างทาง ที่เป็นการจำลองหมู่บ้านจีนโบราณมาไว้ในเส้นทางเดินสู่องค์พระใหญ่ มีร้านน้ำชา กาแฟ อาหาร ขนม ร้านขายของที่ระลึก เรียกว่าเป็นจุดดักเงินของนักท่องเที่ยวในระหว่างทางเดินไป-กลับ จากองค์พระใหญ่
เมื่อเดินผ่านหมู่บ้านไปก็จะเป็นลานกว้างนำทางไปสู่องค์พระใหญ่ ระหว่างทางมีซุ้มประตูแบบจีนและรูปปั้นเหล่าทวยทำให้ทัศนากัน ก่อนจะถึงยังลานนมัสการพระใหญ่ และบันไดทางขึ้น(268 ขั้น)สู่องค์พระใหญ่
บนนั้นนอกจากจะได้นมัสการและเห็นพระพักตร์องค์พระใหญ่อย่างใกล้ชิดแล้ว ยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ของบริเวณรายรอบได้อย่างสวยงามอีกด้วย
สำหรับพระใหญ่หรือชื่อทางการ“พระพุทธรูปเทียนถาน” ประดิษฐานอยู่ที่“วัดโป๋หลิน”(โป่หลิน)(Po Lin)หรือ “อารามโป๋หลิน” บนยอดเขาโป๋หลินบนเกาะลันเตา องค์พระมีความสูง 26.4 เมตร ส่วนถ้าหากรวมรวมฐานดอกบัวด้วยก็จะมีความสูงถึง 34 เมตร ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปสำริดปางประทับนั่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว
พระใหญ่เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามมาก ดูอ่อนโยนและสง่างามอย่างลุ่มลึก มีพระพักตร์อิ่มเอิบอมยิ้มเล็กน้อย ส่วนพระหัตถ์ขวาที่ยกขึ้นนั้นเป็นการให้พรแก่คนทั่วไป
ทั้งนี้ชาวฮ่องกงเชื่อว่า หากใครได้มานมัสการขอพรองค์พระใหญ่แห่งวัดโป๋หลินแล้ว ชีวิตก็จะมีแต่ความโชคดี มีความสุขสมหวัง และประสบความสำเร็จในทุกๆด้าน ทำให้ที่ผ่านมามีทั้งชาวฮ่องกงและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงคนไทยเราเดินทางไปกราบไหว้ขอพรองค์พระใหญ่กันเป็นจำนวนมาก โดยชาวจีนและชาวฮ่องกงหลายๆคนนิยมมากราบไหว้ท่านแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์” ที่เป็นการนอนราบกราบลงไปทั้งตัวดูเปี่ยมไปด้วยศรัทธาเป็นยิ่งนัก
นอกจากนี้พระใหญ่ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ที่ห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนฮ่องกงอีกด้วย
และนั่นก็คือการตระเวนไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังๆ(บางส่วน)ในเกาะฮ่องกง อันถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยเสริมทางด้านกำลังใจ พลังใจ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ถ้าเราคิดดี ทำดี และลงมือทำในสิ่งที่ขอพรอย่างจริงจัง โดยไม่ย่อท้อต่อสู้กับอุปสรรคขวากหนาม
นี่ไยมิใช่ผลจากการขอพรอันประเสริฐที่สุด
*****************************************
หมายเหตุ : ชื่อเรียกสถานที่ต่างๆในภาษาไทย อ้างอิงจากเว็บไซต์“การท่องเที่ยวฮ่องกง”(ภาษาไทย)
สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในฮ่องกง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.discoverhongkong.com/th
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
“ฮ่องกง”แม้จะเป็นเมืองสำคัญด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ที่มากมายไปด้วยตึกสูงระฟ้าและแสงสียามราตรีที่ไม่เคยหลับใหล(ในหลายๆพื้นที่) แต่กระนั้นฮ่องกงก็ยังคงโดดเด่นไปด้วยรากเหง้าแห่งวิถีวัฒนธรรมความเป็นจีนและความเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งสามารถผสานวิถีในแบบดั้งเดิมกับวิถีร่วมสมัยเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืนแนบแน่น
ท่ามกลางตึกสูงที่ตั้งตระหง่านและงานสถาปัตยกรรมที่ดูทันสมัยหวือหวาจำนวนมากในฮ่องกง ล้วนต่างแฝงไปด้วยความเชื่อในเรื่อง“ฮวงจุ้ย”อันเข้มข้น
นอกจากนี้ฮ่องกงยังมากไปด้วยวัดวาอาราม ศาลเจ้า และสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ให้กราบไหว้สักกะบูชา และสัมผัสในความงดงามของวัดวาอารามและสถานที่ศักดิสิทธิ์ต่างๆอันน่าตื่นตาตื่นใจ
นับเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์แห่งเกาะฮ่องกง ซึ่งแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปทัวร์ธรรมะ ทำบุญไหว้พระ ขอพร เสริมดวง เสริมสิริมงคลกันเป็นจำนวนมาก รวมถึงหลายๆคนยังนิยมไปไหว้พระแก้ปีชง(ตามความเชื่อส่วนบุคคล)ที่ฮ่องกงกันเป็นจำนวนมากอีกด้วย
และนี่ก็คือไฮไลท์บางส่วนของเส้นทางตระเวนไหว้พระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในฮ่องกง ซึ่งทาง“การท่องเที่ยวฮ่องกง” ได้คัดสรรมาให้ผู้สนใจได้ไปทัวร์ธรรมะ ไหว้พระ เฮง เฮง เฮง เสริมสิริมงคลกัน
ต้นไม้อธิษฐานหลัมเจิน
สำหรับสถานที่แรกผมขอเปิดประเดิมความเฮงกันที่ “ต้นไม้อธิษฐานหลัมเจิน”(Lam Tsuen Wishing Tree) แห่งหมู่บ้านหลัมเจิน ในเขตไทโป
“ต้นไม้อธิษฐาน” หรือ “ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์” ต้นของแท้ดั้งเดิมเป็นต้นไทรใหญ่เก่าแก่ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นที่สิงสถิตของเทพารักษ์
มีตำนานเล่าว่าหญิงสาวคนหนึ่งที่หมู่บ้านหลัมเจิน มีสามีที่ต้องออกไปทำงานหาเงินในต่างถิ่นเป็นเวลายาวนาน ทำให้เธอกลัวว่าสามีเธอจะนอกใจไปเป็นอื่น จึงมาอธิษฐานกับต้นไทรใหญ่นี้ให้สามีกลับมาและยังรักเธอเหมือนเดิม ซึ่งเมื่อได้ดังสมมาดปรารถนา เธอจึงนำส้มผูกเชือกไปแขวนห้อยไว้กับต้นไทรใหญ่
ขณะที่อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า มีหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งได้มากราบไหว้ขอพรกับต้นไทรใหญ่ต้นนี้ ขอให้ลูกชายของเธอมีผลการเรียนที่ดีขึ้น ก่อนจะสมหวังดังใจปรารถนา
จากนั้นเมื่อมีคนรู้มากขึ้นต่างก็พากันเดินทางมากราบไหว้ขอพร จนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์มีชื่อเสียงโด่งดัง มีคนจากต่างถิ่นต่างที่เดินทางเข้าอธิษฐานขอพรกันไม่ได้ขาด โดยผู้มาขอพรจะนำส้มมาผูกห้อยแขวนไว้กับกิ่งไม้ หรือไม่ก็โยนส้มผูกเชือกขึ้นไปให้แขวนเกี่ยวห้อยเติ่งอยู่บนต้นไม้
นานวันเข้าต้นไทรใหญ่จึงเต็มไปด้วยผลส้มที่ถูกห้อยทิ้งไว้ ทำให้บางกิ่งทานน้ำหนักไม่ไหว จนเกิดการหักโค่นลงมาถูกนักท่องเที่ยวบาดเจ็บ ส่วนผลส้มก็เน่าส่งกลิ่นเหม็นและสร้างความสกปรกให้แก่บริเวณต้นไม้อธิษฐาน
ชาวบ้านหมู่บ้านหลัมเจินจึงเกรงว่าหากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ต้นไม้อธิษฐานอาจหักโค่นลงสักวัน พวกเขาจึงสร้างต้นไม้อธิษฐานจำลองขึ้น เพื่อให้ผู้มาขอพรได้นำส้มไปโยนแขวนอยู่บนต้นไม้ โดยส้มที่โยนก็เป็นผลส้มปลอมเพื่อไม่ให้เกิดการเน่าเหม็น ขณะที่ต้นไทรใหญ่ที่เป็นต้นไม้อธิษฐานต้นจริงนั้น ได้มีการใช้ไม้ค้ำ(เหมือนไม้ค้ำโพธิ์ในบ้านเรา) และมีการตั้งศาลไว้ข้างๆให้ผู้คนได้สักการะบูชา
ปัจจุบันการไปขอพรที่ต้นไม้อธิษฐาน หากจะโยนส้มขอพรก็ต้องนำผลส้มปลอมกับกระดาษบูชาผูกเชือก(มีขายตามแผงในบริเวณนั้น)แล้วโยนให้แขวนติดอยู่บนต้นไม้อธิฐานจำลอง บางคนโยนเพียงครั้งเดียวก็ติด แต่บางคนโยนเป็นสิบๆครั้งถึงจะติดก็มี
สำหรับต้นไม้อธิษฐานนั้นเชื่อว่าสามารถขอพรได้ทุกอย่าง โดยถ้ายิ่งโยนส้มไปติดอยู่บนกิ่งที่สูงเท่าไหร่ก็จะโชคดีมากขึ้นเท่านั้น
นอกจากนี้ที่ใกล้ๆกับต้นไม้อธิฐานยังมี “วัดทินโห่ว” (Tin Hau Temple) ประดิษฐาน“เจ้าแม่ทับทิม” เทพธิดาแห่งท้องทะเล ให้สักการะบูชาและกราบไหว้ขอพรเสริมสิริมงคลได้เช่นกัน
วัดแชกุง
จากต้นไม้อธิษฐานจุดต่อไปเราไปยัง “วัดแชกุง”(Che Kung Temple) (ย่านนิวเทอริทอรี่ส์) หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า “วัดกังหัน”เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 300 ปี ที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของ“แม่ทัพแชกุง” แห่งราชวงศ์ซ่งใต้ ที่ไม่เพียงสามารถปราบพวกกบฏได้แล้ว ยังสามารถนำสมุนไพรมารักษาโรค ช่วยหยุดโรคระบาดไม่ให้เป็นภัยคุกคามต่อชาวบ้าน จนได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนยุคนั้นเป็นอย่างมาก เมื่อเสียชีวิตไปก็ได้รับการยกย่องให้เป็นดังเทพเจ้า
วัดแชกุงที่เห็นในปัจจุบัน ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2536 เพื่อรองรับศรัทธาจากมหาชนที่เดินทางมาสักการะเทพแชกุงกันเป็นจำนวนมาก จนตัววัดเดิมไม่สามารถรองรับได้
ภายในวัดแชกุงจะมีโถงบูชาหลัก เป็นที่ตั้งของรูปปั้นเทพแชกงหรือแม่ทัพแชกุงองค์โต ในท่ายืนถือดาบหน้าตาขึงขัง ด้านข้างๆ มีกลองระฆังยักษ์ และ“กังหันแห่งโชคลาภ” ที่เชื่อกันว่าถ้าหมุนครบ 3 รอบ จะนำพาโชคลาภมาให้
นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าถ้ามาถวายกังหันลมที่วัดแห่งนี้ กังหันจะปัดเป่าช่วยพัดพาสิ่งชั่วร้ายโรคภัยไข้เจ็บออกไปจากตัวเรา และพัดพาสิ่งที่ดีงามเข้ามา ที่วัดแห่งนี้จึงมีกังหันทั้งเล็กใหญ่วางขายให้เรานำไปทำบุญอยู่เป็นจำนวนมาก บางคนนอกจากจะทำบุญถวายกังหันแล้ว ยังซื้อกังหันติดตัวกลับมาด้วยเพราะเชื่อว่าจะทำมาค้าขายรุ่งเรือง มีโชคดีติดตัวตามมา
สำหรับการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดแชกุงนั้น พี่“มาลี ถามรางกุล” มัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์มากประสบการณ์แห่งการท่องเที่ยวฮ่องกงที่นำผมกับเพื่อนๆออกตระเวนทัวร์ธรรมมะ ได้ให้คำแนะนำว่า การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นี่หากอยากได้สิริมงคลสูงล้นตามความเชื่อของชาวฮ่องกง มีขั้นตอนการไหว้ดังนี้
เริ่มจากไหว้ขอพรรูปปั้นเทพแชกุงหรือแม่ทัพแชกุงที่เป็นเทพประทานก่อน จากนั้นต่อด้วยการไหว้เทพเต๋าโม(เต๋าโหม่ว)-เทพแห่งกาลเวลา และไหว้พระประจำปีนี้คือปีวอก(ปีลิง) แล้วปิดท้ายด้วยการไหว้พระประจำปีเกิด(ราศีเกิด)ของตัวเอง ซึ่งจากโถงบูชาหลักจะมีเส้นทางเดินนำไหว้พระต่างเหล่าๆนี้ อย่างไรก็ดีหากใครไปกับทัวร์ให้ไกด์พาไปไหว้ถือว่าสะดวกและดีที่สุด
วัดหมั่นโหม่
จากนั้นเราไปต่อกันที่ “วัดหมั่นโหม่”(วัดหมั่นโหม่ว)(Man Mo Temple) วัดเล็กๆที่ตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางตึกสูงตระหง่าน
วัดหมั่นโหม่เป็น 1 ใน 24 วัดดังอันเก่าแก่ของฮ่องกง สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2390 วัดแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่เทพบู๊กับบุ๋น คือ เทพวรรณกรรม(หมั่น-บุ๋น) และเทพแห่งสงคราม(โหม่-บู๊)
ภายในวัดซึ่งเป็นที่ประดิษฐานขององค์เทพประธาน มีรูปปั้นของเทพทั้งสองตั้งอยู่เคียงคู่กัน พร้อมกับสัญลักษณ์รูปหล่อทองเหลืองมือจับพู่กันของเทพวรรณกรรมในฝ่ายบุ๋น และง้าวทองเหลืองของเทพสงครามในฝ่ายบู๊ ซึ่งเชื่อกันว่าเมื่อไปลูบที่ง้าวและมือจับพู่กันก็สมหวังในพรที่ขอไป
สำหรับวัดหมั่นโหม่นั้นมีความว่าเด่นในการขอพรด้านการศึกษา(บุ๋น) และด้านการค้าธุรกิจ การต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรค และการทำงาน(บู๊) นอกจากนี้ที่ด้านข้างติดกับวัดหมั่นโหม่ก็ยังมีองค์เจ้าแม่กวนอิมศักดิ์สิทธิ์ให้การะบูชากัน
วัดหว่องไทซิน
จุดต่อไปเราไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันที่“วัดหว่องไทซิน”(Wong Tai Sin Temple) หรือ “วัดซิกซิกหยวน หว่องไทซิน” หรือที่คนไทยนิยมเรียกว่า “วัดหวังต้าเซียน” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัดดังของฮ่องกงที่คนไทย ทัวร์ไทยนิยมไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันเป็นจำนวนมาก
วัดหวังต้าเซียน สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเทพหวังต้าเซียน ซึ่งตามตำนานเล่าท่านเป็นเด็กดี เป็นลูกที่กตัญญูมาก ในสมัยเป็นเด็กท่านช่วยพ่อแม่เลี้ยงแกะ(บ้างก็ว่าเลี้ยงแพะ) แล้ววันหนึ่งก็มีนักพรตมาพาท่านไปฝึกวิชาให้เป็นเซียน
เทพหวังต้าเซียนท่านร่ำเรียนวิชาและบำเพ็ญเพียรตั้งแต่เด็ก จนมีวิชาความรู้ วิชาการแพทย์ และมีตบะแก่กล้าเมื่อเติบใหญ่ สามารถนำความรู้ที่ร่ำเรียนมาช่วยรักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย รักษาโรคระบาด ช่วยเหลือชาวบ้าน จนท่านได้รับการยกย่องให้เป็นเทพ เมื่อเสียชีวิตไปก็มีคนตั้งศาลกราบไหว้บูชา
วัดหวังต้าเซียน ได้รับอิทธิพลมาทั้งจากศาสนาพุทธ ลัทธิเต๋า ขงจื้อ ตัววัดและสิ่งก่อสร้างต่างๆมีลักษณะคล้ายวัดจีนโบราณ อีกทั้งยังเด่นในด้านศาสตร์ฮวงจุ้ย ซึ่งที่นี่ถือว่ามีครบทั้ง 5 ธาตุ(ตามความเชื่อเรื่องธาตุแบบจีน) คือ ธาตุโลหะ-ศาลาสำริด,ธาตุไม้-หอเก็บคัมภีร์,ธาตุน้ำ-น้ำพุ,ธาตุไฟ-ศาลเจ้า และธาตุดิน-กำแพงดิน
เมื่อมาถึงที่วัดหวังต้าเซียน ที่ตรงเสาประตูด้านหน้าทางเข้าวัดจะมีตัว“ปี่เซียะ”สำริดตั้งเด่นอยู่ ซึ่งชาวฮ่องกงเชื่อกันว่าสามารถป้องกันสิ่งชั่วร้าย หากมาลูบจับจะมีโชคดี ได้โชคได้ลาภ จึงมีคนนิยมมาลูบตามตัว ตามท้อง และบริเวณใบหน้าของตัวปี่เซียะกันจนมันแผล่บ
จากนั้นเมื่อเดินเข้ามาภายในวัดจะพบกับศาลเทพเจ้าหวังต้าเซียนที่สร้างอย่างสวยงามอลังการ ภายในประดิษฐาน“ภาพวาดหวังต้าเซียน” อายุเก่าแก่เกือบ 100 ปี ที่อัญเชิญมาจากเมืองจีน ซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องของความศักดิ์สิทธิ์ โดยท่านเด่นในเรื่องการรักษาโรคภัยไข้เจ็บและเรื่องการทำมาค้าขาย
อย่างไรก็ดีชาวฮ่องกงนั้นเชื่อกันว่าเทพเจ้าหวังต้าเซียนที่นี่ เมื่อมาขอพรอะไรจากท่าน ท่านไม่เคยปฏิเสธ ถ้าคนนั้นคิดดี ปฏิบัติดี ดังนั้นผู้คนจึงเดินทางมาขอพรท่านกันในเรื่องสารพัดสารพัน ขอพรท่านกันทุกอย่างตามแต่ศรัทธา
วัดหวังต้าเซียนยังมีจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือในเรื่องของการเสี่ยงเซียมซี ซึ่งที่นี่ขึ้นชื่อว่าแม่นยำมาก
นอกจากศาลเทพหวังต้าเซียนแล้ว ที่นี่ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆให้กราบไหว้ อาทิ เจ้าแม่กวนอิม เทพเจ้ากวนอู ท่านขงจื้อ เทพเจ้าแห่งความรัก รวมถึงมีห้อง“ไทซิวตี่”หรือ“ไท่โส่ยเอี้ย” ที่ภายในห้องเต็มไปด้วยรูปเคารพของเหล่าพระต่างๆและทวยเทพ โดยมีการจัดแต่งที่มากไปด้วยสีสัน ดูงดงามตระการตา
ในส่วนของห้องไท่โส่ยเอี้ย แม้ว่าจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวชาวไทยสักเท่าไหร่(เพราะต้องเสียเงินค่าเข้าสถานที่) แต่สำหรับชาวฮ่องกงนี่ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญแห่งวัดหวังต้าเซียนที่มีคนเข้าไปสักการะไหว้เทพต่างๆในห้องนี้กันเป็นจำนวนมาก
สำหรับการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในห้องไท่โส่ยเอี้ยนั้น พี่มาลีให้คำแนะนำว่า ตามความเชื่อของชาวฮ่องกงหากต้องการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในห้องนี้ให้ได้สิริมงคลอย่างเต็มที่ ให้เราไหว้ด้วยธูป 3 ดอก(ธูปเล็กๆที่ภายในห้องมีจัดไว้ให้) แล้วไหว้เทพตามลำดับ ได้แก่ ไหว้เทพเจ้าแห่งกาลเวลา(เต๋าโหมว) ไหว้พระประจำปี(ปีนี้คือปีลิงหรือปีวอก)ต่อจากนั้นให้ไหว้พระประจำปีเกิด(ราศีเกิด)ของตัวเอง โดยให้บอกปี ค.ศ.กับเจ้าหน้าที่วัด เพื่อจะดูในแผนภูมิว่าเราต้องไหว้พระประจำปีเกิดองค์ไหน เพราะแต่ละราศีแต่ละปีเปิดมีพระประจำปีอยู่ 5 องค์ด้วยกัน
พระใหญ่
มาถึงการไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ลำดับสุดท้ายในทริปนี้ของผมกับการไหว้ องค์“พระใหญ่”(Big Buddha) ที่ตั้งอยู่บนเขาที่ลานนองปิง บนเกาะลันเตา
ในอดีตการจะไปสักการะองค์พระใหญ่นั้นใช้เวลานานทีเดียวเพราะต้องข้ามเกาะแล้วนั่งรถขึ้นเขาไปอีก แต่หลังจากที่มีการสร้าง“กระเช้า”หรือ“เคเบิ้ลคาร์”ขึ้นมา นอกจากจะเป็นการย่นระยะทางและระยะเวลาแล้ว ยังเกิดเป็นกิจกรรมท่องเที่ยวอันโดดเด่นกับการนั่งการเช้าไปไหว้พระใหญ่และเที่ยวหมู่บ้านนองปิงบนเขา ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก
สำหรับการเปิดประสบการณ์นั่งกระเช้าของผมกับเพื่อนๆ เราไปขึ้นกระเช้ากันที่ “นองปิง 360” (Ngong Ping 360 Cable Car) สถานี Tung Chung เพื่อนั่งกระเช้าข้ามทะเลไปยังยอดเขาบนเกาะลันเตาสู่“หมู่บ้านนองปิง”(Ngong Ping Village) โดยกระเช้าที่มีให้เรานั่งมี 2 แบบ ด้วยกัน คือ แบบธรรมดาหรือแบบมาตรฐาน(Standard Cabin) กับแบบพิเศษ คือ กระเช้าพื้นคริสตัล (Crystal Cabin) หรือกระเช้าพื้นใส ที่เหมาะสำหรับคนไม่กลัวความสูงและผู้ที่ชื่นชอบในความตื่นเต้นท้าทาย(แต่ต้องจ่ายเงินเพิ่มกว่าการนั่งกระเช้าแบบธรรมดา)
แน่นอนว่างานนี้ผมเลือกนั่งกระเช้าแบบพิเศษที่พื้นเป็นคริสตัลใส เมื่อกระเช้าออกตัวเคลื่อนไป นอกจากเราจะชมวิวจากกระจกใสได้รอบตัวแล้ว ยังมีวิวมุมพิเศษจะพื้นใสที่เบื้องล่างใต้เท้าของเราให้ชมกันอย่างตื่นเต้นสวยงามและแอบลุ้นหวิวๆอยู่ไม่น้อย
โดยระหว่างทางจะเห็นวิวทิวทัศน์ฮ่องกงมุมสูงของตึกรามบ้านเรือน สะพาน สนามบิน ท้องทะเล ขุนเขาเบื้องหน้า และกระเช้าลูกอื่นๆที่กำลังลงสวนทางในขาขึ้นกับเรา ก่อนที่อีกไม่นานเราก็ได้เห็นองค์พระใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลจากสายตา
จากนั้นอีกไม่กี่อึดใจกระเช้าก็พาเรามาส่งยังหมู่บ้านนองปิง(ใช้เวลานั่งประมาณ 25 นาที ระยะทางยาว 5.6 กม.) ระหว่างทาง ที่เป็นการจำลองหมู่บ้านจีนโบราณมาไว้ในเส้นทางเดินสู่องค์พระใหญ่ มีร้านน้ำชา กาแฟ อาหาร ขนม ร้านขายของที่ระลึก เรียกว่าเป็นจุดดักเงินของนักท่องเที่ยวในระหว่างทางเดินไป-กลับ จากองค์พระใหญ่
เมื่อเดินผ่านหมู่บ้านไปก็จะเป็นลานกว้างนำทางไปสู่องค์พระใหญ่ ระหว่างทางมีซุ้มประตูแบบจีนและรูปปั้นเหล่าทวยทำให้ทัศนากัน ก่อนจะถึงยังลานนมัสการพระใหญ่ และบันไดทางขึ้น(268 ขั้น)สู่องค์พระใหญ่
บนนั้นนอกจากจะได้นมัสการและเห็นพระพักตร์องค์พระใหญ่อย่างใกล้ชิดแล้ว ยังสามารถชมวิวทิวทัศน์ของบริเวณรายรอบได้อย่างสวยงามอีกด้วย
สำหรับพระใหญ่หรือชื่อทางการ“พระพุทธรูปเทียนถาน” ประดิษฐานอยู่ที่“วัดโป๋หลิน”(โป่หลิน)(Po Lin)หรือ “อารามโป๋หลิน” บนยอดเขาโป๋หลินบนเกาะลันเตา องค์พระมีความสูง 26.4 เมตร ส่วนถ้าหากรวมรวมฐานดอกบัวด้วยก็จะมีความสูงถึง 34 เมตร ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพระพุทธรูปสำริดปางประทับนั่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว
พระใหญ่เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามมาก ดูอ่อนโยนและสง่างามอย่างลุ่มลึก มีพระพักตร์อิ่มเอิบอมยิ้มเล็กน้อย ส่วนพระหัตถ์ขวาที่ยกขึ้นนั้นเป็นการให้พรแก่คนทั่วไป
ทั้งนี้ชาวฮ่องกงเชื่อว่า หากใครได้มานมัสการขอพรองค์พระใหญ่แห่งวัดโป๋หลินแล้ว ชีวิตก็จะมีแต่ความโชคดี มีความสุขสมหวัง และประสบความสำเร็จในทุกๆด้าน ทำให้ที่ผ่านมามีทั้งชาวฮ่องกงและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงคนไทยเราเดินทางไปกราบไหว้ขอพรองค์พระใหญ่กันเป็นจำนวนมาก โดยชาวจีนและชาวฮ่องกงหลายๆคนนิยมมากราบไหว้ท่านแบบ “อัษฎางคประดิษฐ์” ที่เป็นการนอนราบกราบลงไปทั้งตัวดูเปี่ยมไปด้วยศรัทธาเป็นยิ่งนัก
นอกจากนี้พระใหญ่ยังถูกยกให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ที่ห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนฮ่องกงอีกด้วย
และนั่นก็คือการตระเวนไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังๆ(บางส่วน)ในเกาะฮ่องกง อันถือเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยเสริมทางด้านกำลังใจ พลังใจ ซึ่งสุดท้ายแล้ว ถ้าเราคิดดี ทำดี และลงมือทำในสิ่งที่ขอพรอย่างจริงจัง โดยไม่ย่อท้อต่อสู้กับอุปสรรคขวากหนาม
นี่ไยมิใช่ผลจากการขอพรอันประเสริฐที่สุด
*****************************************
หมายเหตุ : ชื่อเรียกสถานที่ต่างๆในภาษาไทย อ้างอิงจากเว็บไซต์“การท่องเที่ยวฮ่องกง”(ภาษาไทย)
สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในฮ่องกง สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.discoverhongkong.com/th
*****************************************
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com