ในยุคที่นักท่องเที่ยวจีนบุกเมืองไทยจนคนไทยปั่นป่วนจากพฤติกรรม “ไม่น่ารัก” หลายๆ อย่าง ทำให้บางคนตั้งข้อรังเกียจถึงขนาดไม่อยากให้นักท่องเที่ยวชาวจีนเข้ามาสร้างความวุ่นวายในบ้านเรา
แต่ขณะที่เราวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมคนอื่น เมื่อหันกลับมามองตัวเอง การท่องเที่ยวในประเทศเราเอง ก็พบว่ามีวีรกรรมของนักท่องเที่ยวไทยไม่น้อย ที่กำลัง “ท่องเที่ยวเชิงทำลาย” มากกว่าจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์อย่างที่หลายหน่วยงานพยายามรณรงค์ให้เกิดขึ้นกัน
และไม่เพียงทำลายแหล่งท่องเที่ยวในบ้านตัวเองเท่านั้น ยังพาลไปทำลายแหล่งท่องเที่ยวในบ้านคนอื่นเสียอีก (ไม่แพ้นักท่องเที่ยวจีนที่สร้างปัญหาให้บ้านเรา) ดังที่เราได้รวบรวมพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทยที่เกิดเป็นกระแสข่าวในช่วงต้นปีที่ผ่านมานี้มาเพื่อเตือนสติกัน
ทุ่งหญ้าหิมะ...ราบเป็นหน้ากลอง
เพิ่งเป็นกรณีกันเมื่อไม่กี่วันมานี้ เมื่อพื้นที่ว่างด้านหลังนวมินทร์อเวนิว หน้าหมู่บ้านเสนานิเวศน์ 2 เขตลาดพร้าว กทม. กลายสภาพเป็น “ทุ่งหญ้าหิมะ” หรือทุ่งหญ้าคาที่แตกใบและออกดอกสีขาวเป็นปุยสวยงามเต็มท้องทุ่ง เป็นที่ตื่นตาของคนกรุงเทพฯ ซึ่งไม่ค่อยได้เคยเห็นทุ่งหญ้าสวยงามแบบนี้บ่อยนัก จนกลายเป็นกระแสแชร์ภาพต่อมาในโลกโซเซียลจนคนพากันแห่ไปชม ช่างภาพทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพต่างถือกล้องไปถ่ายรูป นายแบบนางแบบต่างบุกตะลุยลงไปในทุ่งหญ้าหามุมที่สวยที่สุด จนทุ่งหญ้าหิมะกลายสภาพเป็นทุ่งหญ้าที่ถูกเหยียบราบไว้ให้คนที่มาทีหลังได้ชม
ไม่เพียงเหยียบหญ้าจนราบ บางคนยังตัดดอกหญ้ามาถือกำถ่ายรูป บ้างเอาขนมน้ำดื่มไปกิน แต่ไม่ยอมเอากลับไปทิ้ง วางเป็นขยะเกลื่อนทุ่ง สิ่งเหล่านี้ทำให้เห็นว่า พอสถานที่ท่องเที่ยวใดเป็นที่นิยมขึ้นมา คนก็จะแห่กันไปตักตวงเที่ยวชม แต่ไม่ช่วยกันรักษาความงามนั้นให้คนที่มาทีหลังได้ชมบ้าง ผู้ที่ทำเช่นนั้นจะเรียกว่าเห็นแก่ตัวก็คงจะไม่ผิด
ต้นไม้แห่งปรัชญา...ถูกโค่น
หลายคนคงเคยได้ยินข่าวที่ชาวบ้านแถวอัมพวาตัดสินใจตัดต้นลำพูทิ้ง เพราะทนไม่ได้ที่ถูกรบกวนจากนักท่องเที่ยวที่นั่งเรือมาชมหิ่งห้อยจนไม่ได้หลับได้นอน ที่ประเทศญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกัน “ต้นไม้แห่งปรัชญา” (Tree of Philosophy) ต้นไม้เอียงบนเนินเขากลางทุ่งที่เมืองบิเอ จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ก็ถูกโค่นทิ้งแล้วเช่นกันเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
ต้นไม้ต้นนี้เป็นต้นไม้ใหญ่ยืนต้นอยู่ในทุ่งกว้างซึ่งมีรั้วล้อมรอบ อยู่ในพื้นที่ของชาวบ้านคนหนึ่ง แต่มีนักท่องเที่ยวนิยมมาถ่ายรูปกันในช่วง 3-4 ปีมานี้ โดยนักท่องเที่ยวบางกลุ่มเดินบุกเข้าไปในทุ่งเพื่อหามุมถ่ายรูปแปลกๆ ใหม่ๆ จนทำให้แปลงผักของชาวบ้านในบริเวณนั้นเสียหาย โดยโทรทัศน์ของญี่ปุ่นได้ไปสัมภาษณ์เจ้าของที่ดินและต้นไม้ เจ้าของกล่าวว่า ต้องตัดทิ้งเพราะทนเสียงบ่นและร้องเรียนจากเพื่อนบ้านที่ทำสวนปลูกผักรอบๆ นั้นไม่ไหว โดยกล่าวว่า เพราะปัญหานักท่องเที่ยวต่างชาติ อย่างเช่น "คนไต้หวันและคนไทย" ที่ไม่รักษามารยาท มาถ่ายรูปกันแล้วเข้าไปในแปลงผักโดยไม่ได้รับอนุญาต และเหยียบทำลายแปลงผักของชาวบ้านรอบๆ ทั้งเตือนและปักป้ายห้ามหลายภาษาแล้วก็ไม่สนใจ จนต้องตัดสินใจตัดต้นไม้ทิ้งเพื่อตัดปัญหา เป็นเรื่องน่าเศร้าแทนต้นไม้ต้นนั้นเป็นอย่างยิ่ง
มือบอนจนเป็นข่าวฉาวที่ภูชี้ดาว-ถ้ำประตูผา
อาการ “มือบอน” เป็นอีกหนึ่งนิสัยนักท่องเที่ยวคนไทยที่ได้พบเจออยู่บ่อยๆ ตามแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าผา เพิงถ้ำ หรือตามต้นไม้ใบหญ้า ถ้ามีตรงไหนเขียนได้ก็มักจะเห็นลายมือสวยบ้างไม่สวยบ้างเขียนหรือสลักไว้ ด้วยข้อความทำนองว่า “...ได้มาเยือนที่แห่งนี้แล้ว” บ้างก็เขียนบอกรักกันให้โลกรู้ “เอกรักฝน”... “ต้นรักดาว” ซึ่งนอกจากจะเป็นการประกาศความรักแล้ว ยังเป็นการประจานตนเองถึงความไร้สำนึกต่อแหล่งท่องเที่ยวอีกด้วย ที่แย่ไปกว่านั้น เมื่อคนที่มาเห็นรอยจารึกเหล่านี้ ก็กลับทำนิสัยมือบอนตามกันไปเหมือนอุปทานหมู่อย่างไรอย่างนั้น
ดังเช่นกรณีที่เป็นข่าวล่าสุด ที่นักแสดงหนุ่มรายหนึ่งที่เดินทางไปเที่ยวยัง “ภูชี้ดาว” แหล่งท่องเที่ยวใหม่ใน จ.เชียงราย พร้อมทั้งได้ไปเขียนชื่อพร้อมลายเซ็น และอินสตาแกรมของตนเองไว้บนหลักกิโลเมตรบริเวณจุดชมวิวภูชี้ดาว โดยกล่าวว่า “เห็นว่ามีคนเขียนอยู่แล้ว” แถมยังถ่ายภาพข้อความที่เขียนนั้นลงอินสตาแกรมให้ชาวบ้านชาวช่องได้เห็น จนเกิดเป็นประเด็นโจมตีใหญ่โต จนภายหลังดาราหนุ่มต้องออกมาขอโทษในความ “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” พร้อมทั้งต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการขึ้นไปทาสีหลักกิโลทับลายมือของตนเองอีกด้วย
และอีกหนึ่งกรณีมือบอนที่ต้องเรียกว่า “ไร้จิตสำนึก” ก็คือการมีผู้ไปเขียนชื่อ ข้อความ และวาดรูปภาพทับภาพเขียนสีโบราณบริเวณผนังถ้ำประตูผา จ.ลำปาง ซึ่งเป็นแหล่งโบราณคดีประเภทแหล่งฝังศพ และแหล่งเขียนสีของคนยุคประวัติศาสตร์ที่สำคัญในเขตภาคเหนือตอนบน สันนิษฐานว่ามีอายุราว 2,800-3,000 ปีมาแล้ว อีกทั้งยังเป็นสถานที่ซึ่งมีภาพเขียนสีมากที่สุด ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือและใหญ่ที่สุดในเอเชีย รวม 1,872 รูป ซึ่งในขณะนี้กำลังตามหาตัวคนทำกันอยู่ เชื่อว่าไม่นานคงตามตัวเจอได้ไม่ยากเพราะเขียนชื่อตัวเองบนผาหินลงไปด้วย
ปีน โน้ม ดึง...สารพัดท่าเพื่อรูปสวย
ดอกไม้สวยๆ ใครๆ ก็อยากชม อยากไปถ่ายรูปอย่างใกล้ชิด แต่บางคนก็อยากชิดมากเกินไป จนต้องโน้ม ดึง เด็ด ปีน ให้หน้าตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้กับดอกไม้มากที่สุด แต่ไม่ได้นึกเลยว่าหลังจากนั้นกิ่งไม้ดอกไม้จะร่วงหล่นหักพังเสียหายเพราะฝีมือตนเองอย่างไรบ้าง
เมื่อฤดูชมดอกนางพญาเสือโคร่งที่ผ่านมาก็เช่นกัน เรายังคงเห็นภาพของนักท่องเที่ยวเชิงทำลายที่ได้รูปภาพสวยๆ จากการปีนขึ้นไปบนต้นนางพญาเสือโคร่ง ดึงโน้มกิ่งลงมาใกล้ใบหน้า ดอกไม้ที่บอบบางแค่ลมพัดดอกก็ร่วง เมื่อมาเจอแรงมนุษย์ที่ทั้งโน้มทั้งดึงแบบนี้ไม่นานก็คงไม่เหลือดอกสวยๆ ไว้ให้คนที่มาทีหลังได้ชื่นชมกัน
นอกจากพฤติกรรมนักท่องเที่ยวไทยซึ่งเป็นประเด็นสดๆ ร้อนๆ ที่กล่าวไว้ด้านบนนี้ ก็ยังมีเรื่องของการทิ้งขยะตามแหล่งท่องเที่ยวหลายๆ แห่งแทบทุกแห่ง หรือการปฏิบัติตัวไม่ถูกกาลเทศะ ไม่สำรวมต่างๆ
แต่ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า โลกโซเชียลก็มีส่วนทำให้นักท่องเที่ยวพยายามสรรหามุมแปลก มุมสวยมาโพสต์เรียกจำนวนคนกดไลค์ นักท่องเที่ยวหลายคนจึงอยากได้ภาพที่ไม่เหมือนใคร ภาพที่สวยหรือแปลกกว่าใคร จนกลายมาเป็นความพยายามที่ “ทำลาย” ความสวยงามและธรรมชาติอันควรจะเป็นของแหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ ซึ่งกับพฤติกรรมแย่ๆบางอย่างของนักท่องเที่ยวไทยตามที่ปรากฏเป็นข่าว บางครั้งก็เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ก็มีหลายครั้งที่เกิดจากความไร้สำนึกของนักท่องเที่ยว เกิดจากนิสัยแย่ๆ ที่ไม่ยอมเคารพในกฏ กติกา มารยาท
เป็นไทยแลนด์โอนลี่ที่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์กับสันดานไม่ดีกับความไร้จิตสำนึกนั้นมีเพียงเส้นแบ่งบางๆ ขวางกั้น
* * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com