ปี 2558 โครงการ “12 เมืองต้องห้าม...พลาด” แคมเปญท่องเที่ยวสำคัญของ“การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)”ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว
ปี 2559 ททท.จึงต่อยอดความสำเร็จดังกล่าวด้วยโครงการ “12 เมืองต้องห้าม...พลาด PLUS”(12 เมืองต้องห้าม...พลาดพลัส) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงเส้นทางท่องเที่ยวของ 12 จังหวัดเมืองรองที่มีจุดเด่นใกล้เคียงกับ 12 จังหวัดเมืองต้องห้าม...พลาด เพื่อให้เกิดการเดินทางระหว่างจังหวัดและการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น
ที่สำคัญคือกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองไทยที่ยังมีอีกหลายแง่มุมให้ค้นหา สะดุดตา และชวนหลงรัก
สำหรับจังหวัดเพชรบูรณ์ 1 ใน 12 เมืองต้องห้าม...พลาด ที่มีสโลแกนเก๋ไก๋ “ภูดอกไม้สายหมอก” ได้จับคู่เชื่อมโยงกับจังหวัดพิษณุโลก เกิดเป็น “เพชรบูรณ์ Plus พิษณุโลก ภูดอกไม้สายหมอก”ขึ้น ซึ่งนอกจากจะมากไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากหลายแล้ว มนต์เสน่ห์ของขุนเขา สายหมอก ดอกไม้ ของทั้ง 2 เมืองนั้นช่างสวยงามตรึงตราน่าประทับใจ โดยเฉพาะกับคุณสุภาพสตรีทั้งหลายที่ต่างก็ชื่นชอบในสีสันความงดงามของดอกไม้ และความโรแมนติกของสายหมอกขาวโพลนอันชวนฝัน
นั่นจึงเป็นที่มาของ “เส้นทางดอกไม้และสายหมอก Lady Check-in เพชรบูรณ์-พิษณุโลก” ที่จัดขึ้นโดย ททท.ภูมิภาค ภาคเหนือ และททท. สำนักงานพิษณุโลก ที่“ตะลอนเที่ยว” ได้มีโอกาสไปสัมผัสในความงามของดอกไม้สายหมอก และสิ่งน่าสนใจอันหลากหลายในเส้นทางดังกล่าว ซึ่งใครไปเที่ยวแล้วต้องห้ามพลาด“เช็คอิน”ด้วยประการทั้งปวง
ไร่กำนันจุล - อร่อยสุดฟิน อุโมงค์มัลเบอร์รี่
จุดเช็คอินจุดแรกเราออกสตาร์ทตั้งต้นกันที่ “ไร่กำนันจุล”(สาขา 2) ที่ตั้งอยู่ที่ ต.วังชมภู(สามแยกวังชมภู) อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
ไร่แห่งนี้มีสโลแกนว่า “ไร่กำนันจุล คุณค่าธรรมชาติ” ก่อตั้งโดย นาย“จุล คุ้นวงศ์”(กำนันจุล)ชาวกรุงเทพฯผู้มีใจรักด้านการเกษตรที่ได้เข้ามาบุกเบิกทำไร่ส้มเขียวหวานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 ก่อนจะมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นแหล่งปลูกส้มเขียวหวานที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ พร้อมๆกับมีการงานพัฒนาด้านการเกษตรภายในไร่ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องจนมีมาตรฐานสูงในระดับสากล
ปัจจุบันไร่กำนันจุลมีธุรกิจแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ“การผลิตเส้นไหมและการทำการเกษตร” โดยในส่วนของการผลิตเส้นไหม ไร่กำนันจุลเป็นแหล่งส่งออกเส้นไหมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยและเป็นโรงงานสาวไหมที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน รวมถึงยังได้รับการรับรองด้าน“ไหมออร์แกนิก”(Organic Silk)เป็นรายแรกของโลก
ขณะที่ส่วนของด้านการทำการเกษตร ไร่กำนันจุลโดดเด่นในเรื่องของเกษตรแบบผสมผสานบนพื้นที่กว่า 10,000 ไร่ มีการบริหารจัดการพื้นที่อย่างเป็นระบบ มีการเปิดพื้นที่ไร่บางส่วนเป็นแหล่งท่องเที่ยวเรียนรู้ทางการเกษตรสำหรับผู้ที่สนใจ
ภายในไร่กำนันจุลมีแปลงปลูกผลไม้หลากหลาย อาทิ มะละกอ กล้วย ส้ม มะขาม มะพร้าว องุ่นไร้เมล็ด อีกทั้งยังมีการแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งสำหรับเลี้ยงปลา โดยปลาส่วนหนึ่งจับส่งขาย อีกส่วนหนึ่งนำมาทำเป็น “ปลาส้มกำนันจุล”ที่ขึ้นชื่อในเรื่องคุณภาพและความอร่อย รวมถึงเป็นแหล่งปลูก“หม่อน”ขึ้นชื่อ มีทั้งหม่อนใบและหม่อนกินผลหรือ“มัลเบอร์รี่” (Mulberry) ซึ่งในช่วงฤดูหนาวของทุกปีจะมีการจัดงาน“เทศกาลหม่อน”หรือ“มัลเบอร์รี่เฟส”(Mulberry Fest)ขึ้น
โดยฤดูกาลนี้ทางไร่กำนันจุลได้จัดงานเทศกาลหม่อนภายใต้ชื่อ “Mulberry Fest 2015 Big Farm Big Fun" ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 58 - 31 ม.ค. 59
ภายในงานมีโซนกิจกรรมน่าสนใจได้แก่ Chul Art Farm กับจุดชมงานศิลปะสวยๆในสวนช่วยกระตุ้นจินตนาการ, Chul Mini Zoo ที่สามารถชมความน่ารักของสัตว์ต่างๆ ได้แก่ บ้านเป็ดเชอร์รี่ บ้านไก่แจ้ แพะ-แกะ บ้านนกยูง และบ่อเต่า,จุดให้ความรู้เกี่ยวกับผลไม้ตามฤดูกาล และส่วนสาธิตการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ที่มีให้ชมกันตั้งแต่เป็นฟองไข่เล็กๆ ไปจนถึงการเติบโตเป็นหนอนไหม รังไหม ดักแด้ ไปจนเป็นผีเสื้อ นับเป็นหนึ่งในจุดที่มีคนสนใจชมกันเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้งานมัลเบอร์รี่เฟส 2015 ยังมี“จุล ฟาร์ม ทัวร์”(Chul Farm Tour) กับกิจกรรมนั่งรถไถชมไร่กำนันจุลพาสัมผัสบรรยากาศของไร่ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา ชมแปลงผลไม้สวนเกษตรผสมผสาน พร้อมกับมีวิทยากรบรรยายเล่าเรื่องราว วิธีคิดของกำนันจุลที่สามารถก่อร่างสร้างไร่กำนันจุลแห่งนี้จนปัจจุบันประสบความสำเร็จอย่างสูง เป็นแหล่งทำการเกษตรขนาดใหญ่ที่สามารถสร้างงานให้คนในท้องถิ่นนับหมื่นชีวิต
กิจกรรมนั่งรถราง จุล ฟาร์ม ทัวร์ มี 3 สถานีให้แวะลงทำกิจกรรม เริ่มจากสถานีแรก“แก้มลิง”เป็นจุดชมวิถีประมง ชมพันธุ์ปลา(สตาฟฟ์)ที่ทางไร่เลี้ยงไว้ทำปลาส้มกำนันจุล เช่น ปลายี่สก ปลาจีน ปลาตะเพียน รวมถึงเป็นจุดทำกิจกรรมสนุกๆอย่าง “เกมซ่าท้าจับปลาช่อน” ที่ทางไร่สร้างเป็นบ่อปูนเล็กๆเลี้ยงปล่อยปลาช่อนไว้ให้ผู้กล้าลงไปไล่จับปลาในบ่อกันอย่างตื่นเต้นเร้าใจ
ส่วนสถานีที่ 2 เป็น“มัลเบอร์รี่” ถือเป็นจุดไฮไลท์กับ“อุโมงค์มัลเบอร์รี่” ที่ทางไร่จัดสรรแปลงปลูกมัลเบอร์รี่ส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำกิจกรรมเก็บมัลเบอร์รี่สดๆจากต้น แบบอิ่มไม่อั้น เก็บไปกินไป ใครที่ติดใจ สามารถเก็บกลับไปกินที่บ้านได้โดยทางไร่คิดราคากล่องละ 99 บาท ให้เราได้เก็บบรรจุใส่กล่องกันแบบจัดเต็ม(คุ้มกว่าที่ซื้อแยกเป็นขีดๆ) ส่วนใครไม่อยากเสียเวลาเก็บใส่กล่อง(เพราะกำลังเก็บกินเพลิน)ก็สามารถซื้อลูกมัลเบอร์รี่สดๆกันได้ที่ร้านไร่กำนันจุลที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของไร่
มาถึงสถานีที่ 3 “จามจุรี” จุดแวะสุดท้ายใต้ต้นจามจุรีต้นใหญ่ฟอร์มสวยงาม กับการสาธิตการทำแยมมัลเบอร์รี่โฮมเมดสูตรสุขภาพคือไม่ใส่น้ำตาล ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆที่รักสุขภาพเป็นอย่างมาก นอกจากแยมมัลเบอร์รี่แล้วก็ยังมี แยมสรอว์เบอร์รี่ แยมส้ม ที่ทางไร่ทำไว้บริการให้นักท่องเที่ยวตักบรรจุใส่กระปุกๆกับมีจุดปั๊มลวดลายและติดสติ๊กเกอร์ให้เราได้สร้างสรรค์กระปุกแยมกันตามใจชอบ โดยสิ่งที่เหนือกว่าแยมคือความภูมิใจที่ได้จากการสร้างสรรค์เป็นกระปุกแยมโฮมเมดหนึ่งเดียวในโลก
สำหรับผู้มาเที่ยวไร่กำนันจุล ก่อนกลับสามารถเลือกซื้อของฝากติดมือกลับบ้านได้ที่“ร้านไร่กำนันจุล” ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของไร่กำนันจุล ที่มีสินค้าผลิตภัณฑ์ต่างๆมากมายให้เลือกซื้อ
นอกจากนี้ก็ยังมีที่ “ตลาดนัดในสวน” (Green Market) ที่อยู่บริเวณภายนอกร้าน ซึ่งทางไร่เปิดขายเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ โดยให้ชาวบ้านในพื้นที่นำของดีชุมชน ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร สินค้าโอทอป มาวางขายในรูปแบบตลาดนัด ควบคู่ไปกับผลิตภัณฑ์จากไร่กำนันจุล ให้นักช้อปได้เลือกซื้อกันอย่างจุใจ
และนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ของไร่กำนันจุล ที่วันนี้ดำเนินตามปณิธานของกำนันจุล คุ้นวงค์ ผู้ก่อตั้ง ซึ่งได้กล่าวคำพูดเอาไว้ว่า
“เราไม่ใช่คนพื้นที่ มาทำมาหากินต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน”
วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว - งดงามอลังการผสานพลังแห่งศรัทธา
จุดต่อไปเราเดินทางไปเช็คอินต่อกันที่ “วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว”(บ้านทางแดง ต.แคมป์สน อ.เขาค้อ)ดินแดนแห่งธรรมอันงดงามวิจิตร ซึ่ง“พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส” ได้ทิ้งปริศนาธรรมไว้มากมายให้บรรดาผู้มาเยือนได้นำไปขบคิดและประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน
ภายในวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วมี 2 ส่วนสำคัญให้ผู้มาเยือนได้เที่ยวชม ได้แก่
-“มหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์” กับงานพุทธสถาปัตย์พระพุทธรูปองค์ใหญ่สีขาวเด่น สร้างเป็นรูปพระพุทธรูป 5 พระองค์ ซ้อนไล่เรียงจากองค์เล็กขึ้นไปสู่องค์ใหญ่ ดูอลังการงดงามเปี่ยมล้นด้วยพลังแห่งศรัทธา ซึ่งมหาวิหารแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อร่วมน้อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองพระชนมพรรษา 85 พรรษาขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจกับเป็นที่พักของผู้เข้าปฏิบัติธรรม
-“เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต” ที่สร้างอย่างยิ่งใหญ่สวยงามด้วยรูปทรงดอกบัวซ้อน 7 ชั้น โดยมีการนำเครื่องถ้วยเบญจรงค์ อัญมณี แก้วแหวนเงินทอง มาประดับตกแต่งอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น เสา ผนัง เพดาน หรือแม้กระทั่งพื้นทางเดินก็ยังมีการตกแต่งเป็นลวดลายอย่างสวยงาม เป็นอีกหนึ่งความโดดเด่นของมหาเจดีย์แห่งนี้
ขณะที่ภายในเจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้วฯ แบ่งเป็นชั้นต่างๆ มีพระพุทธรูปประดิษฐานให้สักการะ มีบันไดเวียนเดินชมโมบายลูกแก้วอันสวยงาม ขณะที่บริเวณด้านนอกองค์เจดีย์มีเส้นทางเดินสู่ชั้นบน ที่ถือเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ชั้นเยี่ยมของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว สามารถมองเห็นมหาวิหารพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ และซุ้มองค์พระต่างๆ ได้อย่างสวยงาม
นอกจากนี้ที่วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วยังมีสิ่งน่าสนใจอื่นๆ อาทิ พระพุทธเลิศรัตนโชติมณี(พระหยกเขียว) พระพุทธรัตนสัมฤทธิ์ผล(พระหยกขาว) และพระสีวลีที่ลานพระศีวลีให้สักการะบูชา
และด้วยการผสานพลังแห่งศรัทธากับงานพุทธศิลป์ที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างอลังการงดงามวิจิตร ทาง ททท. จึงได้ชูวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วให้เป็น 1 ใน 10 แหล่งท่องเที่ยวในโครงการ “Dream Destination 1” กาลครั้งหนึ่ง...ต้องไป ซึ่งวันนี้วัดพระธาตุผาซ่อนแก้วถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวต้องห้ามพลาดสำหรับผู้มาเยือนเพชรบูรณ์
เขาค้อ - สายหมอกดอกไม้ งามตราตรึง
จากวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว“ตะลอนเที่ยว”ยังคงฟินต่อกันในพื้นที่“เขาค้อ” ดินแดนแห่งขุนเขาสายหมอกที่มีสโลแกนอันแสนกิ๊บเก๋ว่า“นอนเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี” เพราะที่นี่มีอากาศดี เย็นสบายตลอดทั้งปี สามารถสูดโอโซนได้อย่างชุ่มปอด อีกทั้งยังมีโรงแรมรีสอร์ทที่พักให้เลือกพักมากมายในหลากหลายรูปแบบหลากหลายราคา ซึ่งหากใครอยากพักผ่อนสบายๆท่ามกลางบรรยากาศแห่งดอกไม้สายหมอก“เนริสา รีสอร์ท”คือหนึ่งในตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะที่นี่เป็นรีสอร์ทที่มีแปลงดอกไม้ปลูกหมุนเวียนออกดอกสวยงามไปตลอดทั้งปี พร้อมทั้งยังมีมุมสวยๆให้ถ่ายรูปกันในหลายจุดด้วยกัน
บนเขาค้อยังมีอีกหนึ่งจดเด่นสำคัญนั่นก็คือ จุดชมชมพระอาทิตย์ขึ้น-ตก จุดชมทะเลหมอกและจุดชมวิวทิวทัศน์สวยๆงามๆต่างๆที่มีให้เลือกชมกันอย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น จุดชมวิวที่ทำการไปรษณีย์, จุดชมวิวฐานอิทธิ และจุดชมวิวตะเคียนโง๊ะ เป็นต้น
ขณะที่บริเวณร้านกาแฟ“พิโน ลาเต้”(Pino Latte) ร้านกาแฟสุดชิคที่ตั้งอยู่ในทำเลอันแสนงดงามนั้น วันนี้ถือเป็นจุดชมวิวน้องใหม่สุดแรงแห่งเขาค้อ เพราะเมื่อมองจากร้านกาแฟลงไปเบื้องล่างจะเห็นทัศนียภาพด้านหลังของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ตั้งตระหง่านโดดเด่นกลางทิวทัศน์แห่งขุนเขา ดูสวยงามน่าประทับใจเป็นยิ่งนัก
นอกจากนี้บนเขาค้อยังมี “จุดชมวิวทะเลหมอกเขาค้อ” ที่ตั้งอยู่ติดริมถนน กับลักษณะของจุดชมวิวที่เมื่อมองลงไปเบื้องล่างจะเป็นแอ่งกระทะรายล้อมไปด้วยขุนเขา โดยที่บริเวณเนินเขารอบข้างมีทั้งบ้านเรือน รีสอร์ท ที่พัก ร้านค้า และแปลงปลูกสตรอว์เบอร์รี่(เสียค่าเข้า 10 บาท) ภายในแปลงสตรอว์เบอรี่ยังมีแปลงดอกไม้ที่ปลูกอยู่บนริมเนินจุดชมวิวที่เมื่อมองลงไปจะเห็นวิวทิวทัศน์ของทะเลหมอกขาวโพลนลอยอ้อยอิ่งในแอ่งกระทะ โดยมีกลุ่มดอกไม้ที่ชาวบ้านปลูกไว้ในแปลงอย่างดอกเสี้ยนฝรั่ง ดอกกระดาษ ดอกเยอบีร่า เป็นฉากหน้า มองดูงดงามชวนประทับใจสมกับเป็น “ภูดอกไม้สายหมอก”
จุดชมวิวหน่วยทับเบิก - ชมวิว เติมพลัง
หลังนอน 1 คืน อายุยืน 1 ปีที่เขาค้อแล้ว โปรแกรมในวันถัดไปเราเดินทางจากเพชรบูรณ์เข้าสู่พิษณุโลก เพื่อมาเช็คอินต่อกันที่ “อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า” โดยใช้เส้นทางเขาค้อ-หล่มเก่า แล้วไปเข้าอช.ภูหินร่องกล้าทาง“หน่วยทับเบิก” ซึ่งก่อนเข้าเขตอุทยานฯ เราแวะชมวิวทิวทัศน์กันที่ “จุดชมวิวหน่วยทับเบิก” ที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้าด่านเก็บเงินหน่วยทับเบิก อช.ภูหินร่องกล้า
จุดชมวิวหน่วยทับเบิก ตั้งอยู่บนระดับความสูง 1,667 เมตรจากระดับน้ำทะเล บนนี้เมื่อมองลงไปเบื้องล่างจะเห็นวิวทิวทัศน์ของขุนเขาน้อยใหญ่ แนวเทือกเขาเพชรบูรณ์ แนวถนนที่ลดเลี้ยวเคี้ยวโค้งสวยงาม และมองเห็นภูทับเบิกสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮอตอันดับต้นๆของเมืองไทย
บริเวณจุดชมวิวหน่วยทับเบิกถือเป็นจุดพักรถสำคัญสำหรับผู้ที่ขับรถขึ้นเขาฝ่าถนนที่ลดเลี้ยวเคี้ยวโค้งขึ้นมา ที่นี่มีห้องน้ำบริการ มีร้านค้าชุมชนขายพืชผลทางการเกษตร ของที่ระลึก ชา กาแฟ และอาหารกินรองท้อง ให้ผู้มาแวะพักรถได้ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่น หายเมาโค้ง และเติมพลังก่อนจะออกเดินทางท่องเที่ยวกันต่อไป
โครงการฯพระราชดำริภูหินร่องกล้า-งดงามทุ่งดอกกระดาษหลากสีสัน
จากนั้น“ตะลอนเที่ยว”ตีตั๋วเข้าสู่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและประวัติศาสตร์ชื่อดังของจังหวัดพิษณุโลก
อุทยานฯภูหินร่องกล้า มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้เที่ยวชมสัมผัสในมนต์เสน่ห์และความงาม ไม่ว่าจะเป็น “โรงเรียนการเมือง การทหาร” ที่เคยเป็นสถานที่ให้การศึกษาของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มีทั้งห้องเรียน บ้านพัก สถานพยาบาล ครัว กระจายตัวอยู่ใต้แมกไม้ใหญ่อันร่มรื่นแน่นหนา, “ลานหินปุ่ม” ที่เป็นลานหินมีก้อนหินมนๆผุดกระจายเต็มไปทั่วลาน,“ลานหินแตก” ที่เป็นลานหินกว้างมีรอยแตกคล้ายแผ่นดินแยก, “ผาชูธง” ผาสูงวิวสวย มองเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล ซึ่งในอดีต พคท.จะขึ้นไปชูธงแดงทุกครั้งเมื่อรบชนะทหารของรัฐบาล
นอกจากนี้อุทยานฯภูหินร่องกล้า ยังมี “โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า” ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน ที่นี่มีไฮไลท์อยู่ที่เหล่าหน้าผาชมวิวชื่อสุดกิ๊บเก๋ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น “ผาไททานิค”, “ผาพบรัก",“ผาบอกรัก”,“ผาคู่รัก”, “ผารักยืนยง” และ“ผาสลัดรัก” ที่เป็นแนวหน้าผาหินตั้งตระหง่านไล่เรียงกันไป ให้เราได้ไปยืนชมทัศนียภาพอันงดงามของขุนเขาพงไพรแห่งผืนป่าภูหินร่องกล้า
โครงการฯพระราชดำริภูหินร่องกล้ายังมีอีกหนึ่งจุดเด่นนั่นก็คือ แปลงปลูกไม้ดอก ไม้เมืองหนาว หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น “สตรอว์เบอร์รี่”(แปลงสาธิต) พันธุ์พระราชทาน 80 รสหวานกรอบ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเดินชมแปลงสตรอว์เบอร์รี่ที่ปลูกไล่เรียงอย่างสวยงามไปตามลาดชันของพื้นที่ได้(แต่ไม่อนุญาตให้ลงไปเก็บผลสตรอว์เบอร์รี่ในแปลง), “กาแฟพันธุ์อราบิก้า”ที่จะออกเมล็ดสีแดงน้ำตาลสวยงามในยามหน้าหนาว และถ้าหากใครอยากกินกาแฟสดที่เพิ่งเก็บสดใหม่จากต้น ภายในโครงการฯก็มี“ร้านกาแฟพบรัก” ให้บริการเลือกซื้อกาแฟ ชา และเครื่องดื่มอื่นๆกันตามใจชอบ ซึ่งชื่อร้านกาแฟแห่งนี้ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของสาวๆที่ไร้คู่กันเป็นพิเศษ
ส่วนอีกหนึ่งความพิเศษของโครงการฯพระราชดำริภูหินร่องกล้าก็คือ ในช่วงหน้าหนาวที่นี่จะมีการปลูก “ดอกกระดาษ” หรือ “บานไม่รู้โรยฝรั่ง” ประดับตกแต่งพื้นที่ในบริเวณริมผาและทางเดินด้านล่างของหน้าผา ซึ่งทางโครงการฯได้ปลูกเป็นแปลงใหญ่เกิดเป็น“ทุ่งดอกกระดาษ” หลากสีสันสวยงาม ทั้ง แดง ส้ม เหลือง ชมพู ขาว(ช่วงเวลาที่สวยงามที่สุดจะอยู่ในช่วงเดือน พ.ย.-ต้นก.พ.)นับเป็นอีกหนึ่งจุดดึงดูดต้องห้ามพลาดแห่งใหม่สำหรับผู้มาเที่ยวพิษณุโลก
ภูลมโล - หุบเขาสีชมพู
นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆตามที่กล่าวมาแล้ว ในทุกๆกลางฤดูหนาวของทุกปีอุทยานฯภูหินร่องกล้า ยังมีไฮไลท์สำคัญอยู่ที่“ภูลมโล” ที่เป็นแหล่งชมทุ่ง“ดอกนางพญาเสือโคร่ง”หรือ“ซากุระเมืองไทย”อันเลื่องชื่อในอันดับต้นๆของเมืองไทย
ภูลมโล เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มียอดสูง 1,680 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภูลมโลมีอาณาเขตพื้นที่ติดต่อกันถึง 3 จังหวัด คือพิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ซึ่งแม้พื้นที่ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ใน ต. กกสะทอน อ.ด่านซ้าย จ.เลย แต่ก็สามารถขึ้นไปเที่ยวได้จากฝั่งจังหวัดพิษณุโลก ที่“บ้านร่องกล้า” ต.เนินเพิ่ม อ.นครไทย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเส้นทางขึ้นสู่ภูลมโลที่นักท่องเที่ยวนิยมกันเป็นจำนวนมาก
ในอดีตภูลมโลเป็นพื้นที่สีแดง เพราะเคยเป็นสมรภูมิรบระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายพรรคคอมมิวนิสต์ ครั้นเมื่อเหตุการณ์สงบชาวม้งได้เข้ามาครอบครองพื้นที่ หักร้างถางพง ทำไร่เลื่อนลอย จนภูลมโลกลายเป็นเขาหัวโล้น ต่อมาทางอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าที่ประกาศจัดตั้งในปี พ.ศ. 2527 ได้ทำการขอพื้นที่คืน โดยตกลงให้ชาวม้งปลูกพืชไร่ควบคู่ไปกับต้นพญาเสือโคร่งเป็นระยะเวลา 3 ปี ก่อนออกจากพื้นที่ หลังจากนั้นภูลมโลได้ค่อยๆพลิกฟื้นธรรมชาติให้กลับคืนมา
ปัจจุบันภูลมโลกลายเป็นแหล่งปลูกนางพญาเสือโคร่งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีจำนวนนับหลายหมื่นต้น บนพื้นที่กว่า 1,200 ไร่ จนได้รับการคัดสรรให้เป็น 1 ใน 22 เส้นทางชมดอกไม้งามทั่วไทยในเดือนมกราคม จากโครงการ “Dream Destinations 2 กาลครั้งนั้น ความฝันผลิบาน” กับความงามของ“ดอกนางพญาเสือโคร่ง”ที่พากันเบ่งบานเป็นสีชมพูสะพรั่ง จนได้รับฉายาว่า “หุบเขาสีชมพู” อันสวยงามน่าตื่นตื่นตื่นใจ
สำหรับปีนี้(2559)คาดว่าทุ่งดอกนางพญาเสือโคร่งภูลมโลจะบานเต็มที่ตั้งแต่ราววันที่ 20 ม.ค. ไปจนถึงช่วงประมาณกลางเดือน ก.พ. นักท่องเที่ยวที่สนใจสามารถเดินทางไปเที่ยวชมในความงามของหุบเขาสีชมพูแห่งภูลมโลกันได้
นครไทย - ไหว้พ่อขุนบางกลางท่าว
จากอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าเราเดินทางกลับลงจากบนภูสู่ อ.นครไทย อีกหนึ่งอำเภอสำคัญแห่งจังหวัดพิษณุโลก
อำเภอนครไทยเดิมชื่อ “เมืองบางยาง” เป็นเมืองโบราณเก่าแก่มีอายุกว่า 700 ปี นับเป็นอีกหนึ่งเมืองที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์ชาติไทย เพราะในยุคก่อนกรุงสุโขทัยราชธานี “พ่อขุนบางกลางท่าว”(พ่อขุนบางกลางหาว) ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพระชัยศิริราชาวงศ์แห่งเชียงราย ได้อพยพหนีการรุกรานของขอมจากเวียงไชยปราการ(เชียงราย) มาตั้งไพร่พลอยู่ที่เมืองบางยาง ก่อนจะร่วมมือกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด(ปัจจุบันคือ อ.หล่มสัก จ.เพชรบูรณ์) ยกกองกำลังไปตีเมืองศรีสัชนาลัยและเมืองสุโขทัยคืนจากขอมสบาดโขลญลำพง
ภายหลังรบได้ชัยชนะ พ่อขุนผาเมืองได้ยกเมืองสุโขทัยให้พ่อขุนบางกลางท่าวปกครอง พ่อขุนบางกลางท่าวจึงปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์องค์แรกแห่งราชวงศ์พระร่วง กรุงสุโขทัย ทรงมีพระนามว่า “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” ซึ่งถือเป็นปฐมกษัตริย์แห่งสยามประเทศ
ด้วยความสำคัญของอำเภอนครไทย อดีตเมืองบางยาง ทำให้ปัจจุบันทางอำเภอนครไทยได้สร้าง “พระบรมราชานุสาวรีย์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์”(พ่อขุนบางกลางท่าว)ขึ้นในปี 2556 ณ บริเวณ เนินหนองปู่ ต.นครไทย(ข้างสำนักงานเกษตร อ.นครไทย) ให้ผู้ที่ไปเยือน อ.นครไทย หรือผู้ที่ผ่านไป-มาได้สักการะบูชา พระปฐมบรมกษัตริย์ไทย
นอกจากอนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าวเนินหนองปู่แล้ว ใน อ.นครไทย ยังมีอนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าวให้สักการะกันที่“โรงเรียนนครไทย”, “โรงเรียนราชประชานุเคราะห์” และที่ “วัดกลาง”(วัดกลางศรีพุทธาราม) ที่ถือว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากในอดีตเป็นศูนย์กลางของเมืองบางยางพ่อขุนบางกลางท่าวทรงเคยใช้พื้นที่แห่งนี้ตั้งฐานที่มั่นสั่งสมกำลังพล จนสามารถรบชนะขอมสบาดโขลญลำพงในครั้งนั้นได้
ที่วัดกลางมีอนุสาวรีย์พ่อขุนบางกลางท่าวอยู่ 3 องค์ โดยที่ด้านหลังอนุสาวรีย์มี “ต้นจำปาขาว”ต้นใหญ่ ตั้งเด่นตระหง่าน จำปาขาวต้นนี้มีความเชื่อว่าพ่อขุนบางกลางท่าวเป็นผู้ปลูก โดยพระองค์ได้ตั้งสัตยาธิษฐานว่า ถ้าตีเมือง สุโขทัยสำเร็จขอให้ต้นจำปาขาวไม่ตาย และให้ออกดอกเป็นสีขาว เจริญเติบโตคู่บ้านคู่เมือง
จำปาขาวใหญ่ต้นนี้มีอายุเก่าแก่กว่า 700 ปี(จากการพิสูจน์วงปีทางวิทยาศาสตร์) มีความแตกต่างจากต้นจำปาทั่วไปที่ออกดอกเป็นสีเหลือง แต่จำปาต้นนี้ออกดอกเป็นสีขาวนวลจึงได้ชื่อว่าจำปาขาว เวลาออกดอกจะมีกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณวัด
วัดกลาง วัดใต้ - ไหว้พระสุขใจ
หลังสักการะพ่อขุนบางกลางท่าวและชมความใหญ่โตของต้นจำปาขาว 700 ปีที่บริเวณด้านหน้าวัดกลางแล้ว “ตะลอนเที่ยว”เดินเข้าไปชมโบสถ์เก่าแก่ของวัดกลางที่มีลักษณะเป็นโบสถ์โบราณทรงโรงอันคลาสสิกสมส่วน(โบสถ์หรือวิหารทรงโรงมีผังเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังคาจั่ว มีการชัก“ปีกนก”(ชายคา)โดยรอบ เกิดเป็นรูปแบบเฉพาะตัว)
ภายในโบสถ์ประดิษฐาน“หลวงพ่อทอง” องค์พระประธานที่ดูงดงามในแบบพุทธศิลป์ถิ่นล้านนา ที่ฝาผนังมีภาพจิตกรรมฝาผนังสมัยใหม่ที่ลงสีสดใสวาดได้อย่างอ่อนช้อยสวยงาม แสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติ โดยมีความแปลกตาสอดแทรกในบางจุดกับภาพร่วมสมัย อาทิ รูปผีตาโขน ภาพยักษ์ถือปืนกล็อกคล้องสายสะพายลูกกระสุนปืนเต็มบ่า ยักษ์ประทับปืนไรเฟิลติดกล้องเตรียมยิง ยักษ์ยกขวดวิสกี้ดื่ม ภาพยมทูตกำลังใช้โทรศัพท์มือถืออยู่ข้างกระทะทองแดง เป็นต้น
ในอำเภอนครไทยยังมีอีกหนึ่งวัดสำคัญคือ “วัดนครไทยวราราม” หรือ “วัดหัวร้อง”(วัดใต้) ที่บริเวณลานด้านหน้าวัดมี“ต้นพระศรีมหาโพธิ์ 25 พุทธศตวรรษ” ซึ่งเป็นต้นโพธิ์ลังกาที่สืบหน่อมาจากพุทธคยา(อินเดีย) เพียงต้นเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่ในอำเภอนครไทย ให้ผู้มาเยือนได้ร่วมสรงน้ำกัน
ขณะที่โบสถ์และวิหารของวัดนี้มีลักษณะเป็นโบสถ์ทรงโรงเช่นเดียวกับที่วัดกลาง โดยภายในวิหารวัดประดิษฐานองค์“หลวงพ่อใหญ่” พระประธานเก่าแก่ศักดิ์สิทธิ์ปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ที่ทางวัดหัวร้องระบุว่า “หลวงพ่อใหญ่เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากไม้สักองค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” นอกจากนี้ก็ยังมีพระอัครสาวกซ้าย-ขวา ที่สร้างด้วยไม้ทั้งองค์ แต่ต่อมาภายหลังได้มีการพอกปูนและลงรักปิดทองทับ นับเป็นอีกหนึ่งของดีแห่ง อ.นครไทย ที่หากใครได้ผ่านไปที่อำเภอแห่งนี้ไม่ควรพลาดการไปกราบสักการะ
แก่งไฮ-ล่องแพสุดฟิน
สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวจุดสุดท้ายคือ “บ้านแก่งไฮ” หรือ “อ่างเก็บน้ำห้วยซำรู้”(ต.หนองกระท้าว อ.นครไทย) ที่เพิ่งเปิดตัวเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ในจังหวัดพิษณุโลกเมื่อไม่นานมานี้จากทางชุมชนในพื้นที่
อ่างเก็บน้ำห้วยซำรู้เป็นแหล่งน้ำชุมชน มีสายน้ำ 3 สาย จากห้วยซำรู้ ห้วยตามา และห้วยนาจาน ไหลมารวมกันมีเนื้อที่กว่า 600 ไร่ ถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ล่อเลี้ยงชุมชนกว่า 10 หมู่บ้านในละแวกนี้ ทั้งในด้านประมงและการเกษตร
อย่างไรก็ดีด้วยความที่อ่างเก็บน้ำแห่งนี้แต่เดิมโดยรอบมีหญ้าขึ้นรกร้าง ยามค่ำคืนเป็นที่มั่วสุมของวัยรุ่น นาย“อำนาจ กุลทอง” ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ต.หนองกระท้าว กับ นาย“สุรเชษฐ์ ด่อนดี” ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ต.เนินเพิ่ม จึงได้ปรึกษาหารือกันว่า ควรจะพัฒนาอ่างเก็บน้ำให้เกิดประโยชน์จึงพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ในชุมชน
โดยได้จัดกิจกรรม“ล่องแพแก่งไฮ”ขึ้นมา ซึ่งเป็นการล่องแพไม้ไผ่(มีเรือยนต์ลาก)ชมวิวทิวทัศน์ พร้อมกับรับประทานอาหารดื่มด่ำกินบรรยากาศบนแพ หรือใครจะมาตกปลา เล่นน้ำ ที่นี่ก็เปิดกว้างให้ โดยทางแพจะมีชูชีพและห่วงยางไว้ให้บริการเพื่อความปลอดภัย รวมถึงขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวในเรื่องการช่วยกันรักษาความสะอาดไม่ทิ้งขยะลงอ่างเก็บน้ำ หากแต่ให้ทิ้งลงในถุงขยะบนเรือนแพเพื่อนำกลับมากำจัดบนฝั่ง
แน่นอนว่างานนี้ “ตะลอนเที่ยว”ย่อมไม่พลาด โดยเราได้ไปล่องแพ พักผ่อน กินอาหารอร่อยแซ่บหลาย บนแพ ทั้งน้ำปลาเผา ลาบ ส้มตำ ต้มยำ กุ้งฝอย พร้อมๆกับนั่งชิลล์เอาขาแช่น้ำ ดื่มด่ำบรรยากาศอันสุดฟินในอ่างเก็บน้ำบนแพที่ล่องไปเอื่อยๆมีสายลมเย็นโชยบางๆปะทะร่าง ท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันสวยงามของอ่างเก็บน้ำที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขาแมกไม้
บนฝั่งมีภาพของป่าเปลี่ยนสี ดอกหญ้าพัดพลิ้วปลิวตามสายลม ขณะที่ในอ่างเก็บน้ำยามปกติผืนแผ่นน้ำจะดูเรียบนิ่ง มีสั่นไหวระริกบ้างยามที่สายลมพัดผ่าน ส่วนถ้ามีเรือโยงแพแล่นผ่านก็จะมองเห็นเป็นแนวคลื่นเป็นระลอกริ้วดูพลิ้วไหวสวยงาม
นับเป็นอีกหนึ่งอารมณ์สโลว์ไลฟ์ที่หลายๆคนติดใจ อยากจะอยู่ดื่มด่ำกินบรรยากาศให้นานๆ
จากนั้น“ตะลอนเที่ยว”ไปจิบกาแฟชิลล์ชิลล์กันที่ “เดียร์ คอฟฟี” (Deer Coffee) ที่อยู่บนถนนหมายเลข 12 กม.42.5 (อ.วังทอง อยู่ห่างจากน้ำตกแก่งซอง 1 กม.) ที่นี่นอกจากจะมีร้านกาแฟบรรยากาศกิ๊บเก๋สุดชิคแล้ว ข้างๆยังมีร้าน“ภักดี ฟาร์ม”ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของเมนู“สเต๊กเนื้อกวาง” จาก“ภักดี ฟาร์ม”ฟาร์มกวางแห่งแรกและแห่งเดียวในพิษณุโลก
และนี่ก็คือจุดเช็คอินจุดสุดท้ายของ “ตะลอนเที่ยว” ก่อนอำลาทริป“ดอกไม้และสายหมอก Lady Check-in เพชรบูรณ์-พิษณุโลก” ซึ่งความสวยงามชวนประทับใจในมนต์เสน่ห์ของธรรมชาติ ดอกไม้ สายหมอก และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญในการชาร์ตแบบชีวิต เติมพลังให้เราได้ฟันฝ่าต่อสู้กับอุปสรรค
อีกทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆต่อไป
*****************************************
-ไร่กำนันจุล(สาขา 2) ตั้งอยู่ที่ ต.วังชมภู(สามแยกวังชมภู) อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ งานมัลเบอร์รี่เฟส 2015 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 พ.ย. 58 - 31 ม.ค. 59 ในงานมีรถไถชมไร่ให้บริการ ผู้ใหญ่(ความสูง 120 ซม.ขึ้นไป) 150 บาท เด็ก(90-120 ซม.) 80 บาท ต่ำกว่า 90 ซม. เข้าชมฟรี ตารางรอบรถ วันจันทร์-ศุกร์ 10.00 น./11.30 น./13.00 น./14.30 น. วันเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 9.30 น./10.30 น./11.30 น./12.30 น./13.30 น./14.30 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ 089-960-3481
-อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า 0 5535 6607,081-5965977
-โครงการพัฒนาป่าไม้ตามแนวพระราชดำริภูหินร่องกล้า 055-258-028
-ภูลมโล ต.กกสะทอน อ.ด่านซ้าย จ.เลย เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นได้ผ่านทางฝั่งพิษณุโลก อช.ภูหินร่องกล้า ที่“บ้านร่องกล้า”มีระยะทางประมาณ 8 กม. โดยสามารถนำรถมาจอดไว้ที่หมู่บ้านร่องกล้าแล้วต่อรถนำเที่ยวชุมชน คิดค่าบริการคันละ 800 บาท นั่งได้ไม่เกิน 10 คน สำหรับการเดินทางสู่ยอดภูลมโล ส่วนถ้าต้องการเดินทางสู่ภูขี้เถ้า คิดราคาคันละ 1,200 บาท
-ล่องแพแก่งไฮ อ่างเก็บน้ำห้วยซำรู้ ตั้งอยู่ที่ บ้านแก่งไฮ ต.หนองกระท้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ปัจจุบันมีแพให้บริการ 15 หลัง คิดค่าบริการล่องแพ วันจันทร์-ศุกร์ แพละ 300 บาท(เหมาวัน) วันเสาร์-อาทิตย์ ชั่วโมงแรก 300 บาท ชั่วโมงต่อไป ชั่วโมงละ 50 บาท เช่าเหมาวันช่วงเสาร์-อาทิตย์ แพละ 500 บาท สอบถามเพิ่มเติมที่ 087-200-9941(ควรสำรองแพก่อนล่วงหน้าเนื่องจากช่วงหน้าหนาวนี้มีนักท่องเที่ยวจองแพเต็มทุกวัน)
-สามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก ร้านอาหาร และการเดินทางในจังหวัดเพชรบูรณ์-พิษณุโลกเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพิษณุโลก (พื้นที่รับผิดชอบ พิษณุโลก, เพชรบูรณ์, พิจิตร) โทร.0-5525-2742-3, 0-5525-9907
* * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com