โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
ช่วงนี้ฉันมีโอกาสได้เห็นเพื่อนๆ ปั่นจักรยานคู่ใจ ตะลอนเที่ยวไปที่นั้นที่นี่ทั่วกรุงเทพมหานคร เมื่อได้เห็นแล้วฉันก็คิดว่าการปั่นจักรยานเที่ยวตามตรอกซอกซอยในเมืองกรุงนั้น เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย และฉันก็ควรที่จะลองสักครั้งในชีวิต เปลี่ยนอิริยาบถสักนิดชีวิตสดใส
ในสุดสัปดาห์นี้ฉันจึงได้ตัดสินใจมาเข้าร่วมกิจกรรม “ปั่น-ฟื้น-เมือง” ซึ่งเป็นโครงการสร้างสรรค์ของทีเอ็มบี ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับอาสาสมัครทีเอ็มบี และ “เดอะ เจอ-นี่” (The Jour-ney) ชุมชนสาทรใต้ โดยเป็นกิจกรรมปั่นจักรยานท่องเที่ยว ลัดเลี้ยวเข้าตรอกซอกซอยชมวิถีชีวิตในย่านสาทรใต้ สัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาอันงดงาม ของหลากหลายศาสนาในย่านนี้
จุดเริ่มต้นของการปั่นจักรยานท่องเที่ยวย่านสาทรใต้ของฉันในครั้งนี้ เริ่มขึ้นที่ “โบสถ์เซ็นต์หลุยส์” ที่ตั้งอยู่ติดกับถนนสาทรใต้ และอยู่ด้านข้างโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ เป็นโบสถ์ของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งหลังจากที่ คุณพ่อหลุยส์ โชแรง ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชปกครองมิสซังกรุงเทพฯ ท่านโชแรงได้ย้ายบ้านพักพระสังฆราชจากวัดอัสสัมชัญ มาสร้างที่บริเวณใกล้กับโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ และท่านก็ได้สังเกตว่าคริสตังแถบนี้มีจำนวนมากและไม่มีสถานที่ในแถบนี้ให้ ร่วมพิธีกรรม ท่านจึงตั้งใจที่จะสร้างโบสถ์เซนต์หลุยส์ขึ้นในปี พ.ศ. 2498 และตั้งชื่อตามนามของผู้สร้างโบสถ์นี้ เมื่อแล้วเสร็จก็ได้เปิดโบสถ์ในปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา
เมื่อชมความงามของโบสถ์เซ็นต์หลุยส์เสร็จแล้ว ฉันและทางคณะก็ได้ปั่นจักรยานไปสถานที่ต่อไปคือ “วัดยานนาวา” ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ห่างไปไม่ไกลมากจากท่าเรือและสถานีรถไฟฟ้า วัดยานนาวานั้นเป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา เดิมชื่อ “วัดคอกควาย” เนื่องจากมีชาวทวายมาลงหลักปักฐานอาศัยอยู่ที่บริเวณนี้ และนำกระบือที่เลี้ยงไว้มาทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรีได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง เรียกชื่อใหม่ว่า “วัดคอกกระบือ” และในรัชกาลที่ 1 ทรงสร้างพระอุโบสถใหม่ขึ้น
เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และสร้างเรือสำเภาพระเจดีย์แทนพระสถูปเจดีย์ทั่วไป เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการที่พระองค์ทรงใช้เรือสำเภาขนส่งสินค้าไปทำมาค้าขายถึงเมืองจีนและประเทศต่างๆ และเพื่อให้คนรุ่นหลังได้เห็นรูปแบบเรือสำเภาซึ่งกำลังจะหมดไปจากเมืองไทย จึงเปลี่ยนชื่อจากวัดคอกกระบือเป็น “วัดยานนาวา” ภายในวัดนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่และสบายตา มีอาคารสำคัญที่ถูกตกแต่งผสมผสานในแบบทรงไทยให้ได้ชม และยังเป็นที่ตั้งของ พระบรมราชานุสาวรีพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ให้ได้สักการะและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของท่าน
หลังจากไหว้พระขอพรแล้วสถานที่ท่องเที่ยวแห่งถัดไป ฉันก็ต้องปั่นจักรยานไปพิสูจน์ตำนานผีดุที่สุดในเมืองกรุงที่ “ป่าช้าวัดดอน” ที่สร้างโดยมังจันจ่าเจ้าพระยาชาวทวาย ผู้มาสวามิภักดิ์รัชกาลที่ 1 โดยปัจจุบันสุสานแห่งนี้อยู่ในความดูแลของ 3 องค์กร คือ สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มูลนิธิปอเต็กตึ้ง และสมาคมไหหลำด่านเกเต้ มีศพถูกฝังอยู่บริเวณนี้มากกว่าหมื่นศพ ทั้งศพที่ฝังในลักษณะของฮวงซุ้ย ศพที่บรรจุเฉพาะอัฐิ รวมไปถึงศพที่ไม่มีญาติบรรจุรวมกันไว้
และฉันก็ได้รู้ว่า “ส่วนที่ว่าเฮี้ยนนักเฮี้ยนหนาก็คือในส่วนของ มูลนิธิปอเต็กตึ้งที่มีพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ นั้น ถูกเช่าเป็นที่ฝังศพไม่มีญาติ ศพที่ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือโรคร้ายแรงต่างๆ สรุปก็คือศพเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นการตายที่ไม่ปกติ ความเฮี้ยนที่ร่ำลือกันจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความเท่าเทียมกันของมวลมนุษย์ไม่ว่ายากดีมีจน เมื่อตายแล้วทุกคนก็เท่าเทียมกัน เอาอะไรไปไม่ได้ แม้แต่ร่างกายของเราเอง”
หลังจากพินิจพิเคราะห์ชีวิตหลังความตายกันเสร็จแล้ว ฉันก็ปั่นมาชมความขลังของ “สุสานแต้จิ๋ว” สุสานจีนที่ใหญ่ที่สุดในย่านสาทรใต้ ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเท่าที่ฉันได้ทัศนาโดยรอบแล้ว ก็ไม่เห็นภาพของความน่าสะพรึงกลัวในความเป็นสุสานอยู่อีกเลย จะเห็นก็แต่ความร่มรื่นเขียวขจีรู้สึกสบายตาสบายใจ
และเหตุผลที่สุสานแห่งนี้ได้เปลี่ยนมาเป็นที่ร่มรืนก็เพราะว่า ได้มีการล้างป่าช้าทำบุญอุทิศส่วนกุศล และไม่มีการนำศพเข้ามาฝังในป่าช้าวัดดอนอีกแล้ว พร้อมกับมีการปรับปรุงสภาพป่าช้าบริเวณโดยรอบ จนเป็นที่มาของโครงการ "สวนสวยในป่าช้า" หรือ "สวนสวยสมาคมแต้จิ๋ว" จนเป็นสวนสาธารณะให้คนได้เข้าไปใช้ทำกิจกรรมต่างๆ
และฉันก็ปั่นลัดเลาะสู่ “วัดวิษณุ” วัดในศาสนาฮินดู ที่สร้างโดยชาวอุตตรประเทศ จากอินเดียที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย ซึ่งเป็นวัดศาสนาพราหมณ์ฮินดูแห่งเดียวในเอเชียที่มีเทวรูปศักดิ์สิทธิ์สร้างด้วยหินอ่อนแกะสลักด้วยมือจากประเทศอินเดีย 24 องค์ ภายในวัดยังมีโบสถ์ย่อยและเทวรูปจากอินเดียมากมาย ซึ่งฉันก็ได้มีโอกาสสักการะเทวรูปและทำพิธีกรรมแบบฮินดู เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตยิ่งนัก
ใกล้ๆ กันนั้น ก็เป็นที่ตั้งของ “วัดปรก” สถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายที่ในเส้นทางปั่นจักรยานชมเมืองของฉัน วัดแห่งนี้เป็นวัดสำคัญของชาวมอญดั้งเดิมที่อพยพมาจากกรุงหงสาวดี ภายในวัดมีความงามของสถาปัตยกรรมแบบหงสาวดีให้ได้ชม อาทิ เจดีย์ทรงลังกา , พระพุทธรูปหยกขาว พระพุทธรูปศิลปะมอญ ที่พระโอษฐ์ (ปาก) สีแดง และประทางเข้าที่มีหงส์ประดับแบบสถาปัตยกรรมมอญขนานแท้ อีกทั้งในวัดยังมีการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีแบบมอญ เช่น การนั่งวิปัสสนา การสวดมนต์เทศนาแบบภาษามอญ ในวันแรม 1 ค่ำเดือน 3 ของทุกปีเป็นวันชาติมอญ จะมีการเลี้ยงพระและสอนประวัติศาสตร์มอญ
ในที่สุด ฉันก็มีโอกาสได้มาปั่นจักรยานชมเมืองเหมือนเพื่อนๆ สักที ซึ่งมันก็เป็นอารมณ์ในการท่องเที่ยวที่แตกต่างจากอารมณ์เดิมๆ สนุกและมีความสุขไปอีกแบบ ได้ทั้งเที่ยว ได้ทั้งความรู้ อีกทั้งยังได้ออกกำลังกายไปในตัว ฉันขอแนะนำเลยว่าทุกๆ คน ต้องมาลองปั่นจักรยานชมเมืองสักครั้งในชีวิตแล้วจะติดใจ
*******
“ทริปปั่น-ฟื้น-เมือง” ชมย่านสาทรใต้ สามารถติดต่อข้อมูลเพิ่มเติม ได้ทางอีเมล์ Staff.TheJourney@gmail.com หรือทางเฟสบุ๊ค www.facebook.com/เด็กฟื้นเมือง โดยจะมีค่าบริการ 1,800 บาท ที่รวมจักรยาน อุปกรณ์ป้องกันอุบัติเหตุ อาหาร 2 มื้อ อาหารว่างและประกันอุบัติเหตุ
* * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com