“ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้มาพิชิตโมโกจู” “ตะลอนเที่ยว” คิดอยู่ในใจเมื่อได้เหยียบเท้าลงบนจุดที่สูงที่สุดแห่งผืนป่าตะวันตกเมื่อปีก่อน ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างระหว่างทางในการขึ้นไปพิชิตยอดเขานั้น ถูกตราตรึงไว้ในใจไม่เคยลืมเลือน จนกระทั่งในปีนี้ มีข่าวประกาศว่า ระยะเวลาการเดินป่าขึ้นไปพิชิตยอดเขาโมโกจูถูกลดลงเหลือ 3 วัน 2 คืน จากเมื่อปีก่อนที่ต้องใช้ระยะเวลาเดินทางถึง 5 วัน 4 คืน
ในครั้งนี้ “ตะลอนเที่ยว” จึงไม่พลาดที่จะกลับมาสัมผัสผืนป่าตะวันตกอีกครั้ง เพราะหวนคิดถึงป่าดงพงไพรอันงดงาม และอยากรู้ว่า ในระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ของการเดินป่าขึ้นไปพิชิตเขาโมโกจูจะเป็นอย่างไร และจะแตกต่างจากครั้งก่อนอย่างไรบ้าง
แต่ก่อนจะเริ่มออกเดินทางนั้น ขอทบทวนถึงเรื่องราวของ “ยอดเขาโมโกจู” ให้ได้ฟังกันก่อน ยอดเขาโมโกจูเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งผืนป่าตะวันตก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,964 เมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอปางศิลาทอง จังหวัดกำแพงเพชร และอำเภอแม่วงก์ และอำเภอแม่เปิน จังหวัดนครสวรรค์ ในส่วนคำว่า “โมโกจู” นั้น เป็นภาษากะเหรี่ยงที่แปลว่า “คล้ายว่าฝนจะตก” เพราะบรรยากาศบริเวณยอดเขานั้นมีไอหมอกปกคลุมครึ้มอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับว่าฝนกำลังจะตก
ที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ เป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของ “ตะลอนเที่ยว” ในครั้งนี้ โดย ณ จุดนี้ เรามาเพื่อติดต่อกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ผู้ที่จะเป็นคนนำทางและดูแลเราตลอดเส้นทาง อีกทั้งเรายังต้องฝากสัมภาระบางส่วนให้ลูกหาบ ชั่งน้ำหนักสัมภาระ จัดแจงว่าสิ่งไหนที่เราจะแบกไปเอง สิ่งไหนจะให้ลูกหาบแบกขึ้นไป
เมื่อตรวจตราทุกอย่าง และพร้อมทุกสิ่ง แทนที่จะเริ่มเดินก้าวแรกจากที่ทำการมุ่งหน้าสู่ยอดโมโกจูแบบครั้งที่แล้ว ในครั้งนี้เราก้าวขึ้นไปนั่งบนหลังกระบะที่ถูกพ่วงท้ายรถอีแต๊กไว้แทน นี่แหละคือยานพาหนะที่จะพาเราบุกบั่นผ่าน 16 กม.แรกไปจนถึงแคมป์แม่กระสา และสิ่งนี้เองคือจุดเปลี่ยนของการเดินทางขึ้นสู่โมโกจู จาก 5 วัน เหลือ 3 วัน เพราะเราไม่ต้องเดินเท้าในระยะทาง 16 กม. อันยาวนานนั่นเอง
สำหรับเหตุผลที่ระยะเวลาได้ลดลงนั้นก็เนื่องจากขณะนี้กำลังมีการก่อสร้าง “จุดสกัดแม่กระสา” ซึ่งเป็นหน่วยพิทักษ์อุทยานอีกแห่งหนึ่ง จึงไม่สะดวกที่จะให้นักท่องเที่ยวพักค้างแรมที่แคมป์แม่กระสา อีกทั้งทางเจ้าหน้าที่ยังบอกอีกว่า
“เนื่องจากใน 16 กม.แรกนั้น เป็นระยะทางที่ค่อนข้างยาวและเสียเวลาในจุดนี้ค่อนข้างมาก และทัศนียภาพยังไม่ค่อยมีอะไรให้นักท่องเที่ยวได้ชมมากนัก อีกทั้งนักท่องเที่ยวบางคน ไม่สามารถลางานเพื่อมาร่วมกิจกรรมพิชิตโมโกจูได้นาน ทางอุทยานฯ จึงวางแผนการเดินป่าเหลือ 3 วัน 2 คืนในปีนี้”
แม้จะมีรถอีแต๊กเป็นพาหนะทุ่นแรงแล้ว ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะง่ายเสมอไป เพราะเส้นทางนั้นทั้งชันทั้งขรุขระ ระหว่างทางเราก็จะโยกซ้ายโยกขวา เด้งหน้าเด้งหลัง ปวดเมื่อยช่วงล่างไปตามๆ กัน อีกทั้งยังต้องคอยหลบกิ่งไม้นานาชนิดตลอดเวลา เพราะถ้าหากพลาดไปโดนแล้วหละก็ อาจจะสลบไสลได้ฝันกลางวันกันเป็นแน่ แต่ถึงอย่างไร ระหว่างเส้นทางในการเดินทาง ตลอดระยะทาง 16 กม. ก็ยังคงงดงามและร่มรื่นอยู่เหมือนเช่นเคย โดยเป็นป่าหญ้าสลับป่าไผ่ และคลองต่างๆ ให้ได้ชม
เราใช้เวลาในการนั่งรถอีแต๊กถึง 3 ชม.ในระยะทาง 16 กม. โดยเริ่มออกจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 9 โมงกว่าๆ จนกระทั่งมาถึงแคมป์แม่กระสาในเวลาเกือบเที่ยง ซึ่งก็เป็นช่วงเวลาเติมพลังด้วยการกินข้าวเที่ยงพอดี หลังเสร็จจากการกินข้าวเที่ยวแล้ว ตะลอนเที่ยวก็ไม่ลืมที่จะไปเดินชมคลองแม่กระสา ที่ยังมีน้ำใสไหลเย็นอยู่เช่นเคย แต่ในครั้งนี้เราได้เพียงแค่นั่งดู เพราะเราจะไม่ได้พักค้างแรมกันที่นี่ เหมือนในครั้งก่อน หลังจากเพลิดเพลินและเต็มอิ่มกับการชมวิวทิวทัศน์ของคลองแม่กระสา ก็ได้เวลาเริ่มต้นการเดินทางด้วยสองเท้ากันแล้ว
จากนี้ไปคือการเดินเดินย้ำด้วยสองเท้า โดยระยะทางแรกคือ 4 กม. จากแคมป์แม่กระสาไปแคมป์แม่เรวา โดยเราจะต้องเดินข้ามสะพานไม้ไผ่ที่ทอดยาวข้าวคลองแม่กระสาไปสู่อีกฝั่ง ตลอดเส้นทางเป็นป่าไผ่ ที่มีต้นไม้สูงใหญ่พุ่งทะยานทิวไผ่ให้ชมเป็นระยะ เดินลัดเลาะมาได้สักพัก ก็จะมาเจอกับสะพานต้นไม้ข้าม “คลองแม่กี” อันเป็นที่พักระหว่างทางของเรา เมื่อได้นั่งพักริมน้ำและได้กวักน้ำใสๆ ที่คลองแห่งนี้ มาล้างหยาดเหงื่อก็ทำให้หายเหนื่อยขึ้นมาได้บ้าง หลังจากใช้เวลาในการแวะพักเล็กน้อย ก็ได้เวลาเดินต่อไปจนถึงแคมแม่เรวา โดยใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็จะมาถึงแคมป์แม่เรวา จุดที่เหล่าลูกหาบได้กางเต็นท์รอเราไว้แล้ว และจะเป็นที่ค้างแรมในค่ำคืนกลางพนาไพรของพวกเราผู้ที่จะพิชิตโมโกจู
หลังจากมาถึง “ตะลอนเที่ยว” และเหล่าผู้ร่วมผจญภัยได้นั่งพักนิดหน่อย พี่เจ้าหน้าที่ก็เริ่มถามว่ามีใครจะไป "น้ำตกแม่รีวา" กันบ้าง หากใครที่ต้องการไป ก็จะต้องเดินลัดเลาะป่าไผ่และคลองแม่เรวา ซึ่งระยะไป-กลับจากแคมป์แม่เรวาจนถึงน้ำตกแม่รีวานั้น มีระยะทางประมาณ 6 กม.ใช้เวลารวม 3 ชม. "น้ำตกแม่รีวา" เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ 5 ชั้น ความสูงประมาณ 100 เมตร ไหลเป็นสายขาวยาวไขว้สลับเป็นรูปตัวเอส (s) ตกลงมายังแอ่งกว้างเบื้องล่าง น้ำตกนี้เป็นต้นน้ำของคลองแม่เรวา ซึ่งไหลผ่านไปยังบริเวณแคมป์ที่พักของเรา และคลองแม่เรวานี้ก็ไหลต่อไปเป็นต้นน้ำของลำน้ำแม่วงก์ที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวนครสวรรค์
ตะลอนเที่ยวมีโอกาสชมความสวยงามของน้ำตก และได้หย่อนเท้าลงไปน้ำเย็นชื่นใจได้สักพัก ก็ได้เวลาเดินทางกลับแคมป์แม่เรวา เมื่อมาถึงแคมป์แม่เรวาต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปเก็บสัมภาระกันในเต็นท์ ก่อนพร้อมใจกันลงเล่นน้ำในคลองแม่เรวา เนื่องจากน้ำใสไหลเย็น อีกทั้งบรรยากาศโดยรอบก็สวยงาม จึงทำให้ใครหลายคนอยู่ในอาการปลาบปลื้ม ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้มาอาบน้ำท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร
หลังจากอาบน้ำประแป้งแต่งตัวกันเรียบร้อย ก็ได้เวลาล้อมวงกินข้าวมื้อเย็น ในวงล้อมการสนทนาระหว่างกินข้าวนั้น “ตะลอนเที่ยว” ก็มีเรื่องแปลกใจเพราะองค์พระพุทธรูปที่บริเวณใต้ต้นไทรที่แคมป์แม่เรวานั้นหายไป ช่วงล้อมวงกินข้าวเลยได้มีโอกาสถามพี่เจ้าหน้าที่อุทยานฯ ว่าหายองค์พระหายไปไหน เลยได้คำตอบว่า
“ช่วงปิดป่าในฤดูฝน จะมีโขลงช้างผ่านมาละแวกนี้ และได้ทำองค์พระท่านตกลงที่พื้นดินถึงสองครั้ง ทางเจ้าหน้าที่และลูกหาบจึงเห็นสมควรอาราธนาองค์พระพุทธรูปไปไว้ที่ “วัดปางข้าวสาร” ที่ตั้งอยู่ก่อนทางเข้าอุทยานฯ” หลังจากที่ทุกคนได้ฟังคำตอบและกินข้าวเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาแยกย้ายไปพักผ่อนเติมแรง เพื่อเผชิญกับหนทางอันหนักหนาของวันพรุ่งนี้
เข้าสู่เช้าวันที่สองในป่าใหญ่ วันที่ทุกคนในขณะจะใช้ทั้งแรงกายและแรงใจฟันฝ่า ทางเดินทอดยาวขึ้นไปสู่แคมป์ตีนดอย ในระยะทาง 8 กม. เส้นทางนั้นถือได้ว่าหฤโหดอย่างมาก เพราะเป็นทางลาดชันขึ้นเขาเกือบตลอดเส้นทาง อีกทั้งยังต้องเจอกับ “มอยาว” แบบไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้แรงกายเริ่มถดถอย จนต้องใช้แรงใจเข้าช่วย ผ่านไปได้ก็ต้องไปพบกับ “เนิน 45 องศา” ที่บางเวลาก็ต้องใช้มือคว้าดินพยุงตัวเองไม่ให้กลิ้งลงมา บางเวลาก็ต้องใช้มือช่วยจับต้นไม้ที่อยู่เบื้องหน้า แล้วก็ใช้พลังแขนเป็นตัวช่วยให้การดึงตัวให้ก้าวไปข้างหน้าได้อีก 2-3 ก้าว ทำเอาเหงื่อไหลไคลย้อยไปตามๆ กัน สมฉายาที่ได้รับการขนานนามว่า “8 กิโลนรก” จริงๆ
ในส่วนบรรยากาศระหว่างทางที่เราเดินมานั้น ในช่วงแรกจะเป็นป่าไผ่ พอสูงขึ้นมาก็จะพบกับป่าดงดิบร่มรื่นและมีมอสเกาะตามต้นไม้ใหญ่ อีกทั้งเรายังพบร่องรอยขี้สัตว์ ลอยเล็บตะกุยดินหลังการพ่นสเปรย์ของเสือที่ฉีดทิ้งไว้ที่ต้นไม้เพื่อแสดงอาณาเขต
นอกจากจะพักเรื่อยๆ ระหว่างทางแล้ว บนเส้นทาง 8 กม. ก็จะมีจุดให้พักด้วยเช่นกัน โดยมี “จุดพักคลอง 1” เป็นจุดพักให้เราได้นั่งพักกินข้าว และเติมน้ำดื่มในลำธารด้านล่างที่ไหลเย็นใสสะอาด ใครที่ผ่านมาจุดนี้ได้ก็ถือว่ามาได้ครึ่งทางแล้ว หลังจากเติมพลังกายกันแล้ว ก็ต้องเดินฝ่าฟันต่อไปจนไปถึงจุดที่เรียกว่าคลอง 2 ที่มีลำธารเล็กๆ เย็นเฉียบให้แต่ละคนได้ตักตวงน้ำให้พอกินกันจนถึงพรุ่งนี้ เพราะนี่จะเป็นจุดเติมน้ำจุดสุดท้าย ก่อนขึ้นสู่แคมป์ตีนดอย
ก่อนจะขึ้นสู่แคมป์ตีนดอยได้นั้น ก็จะต้องผ่านเส้นทางที่เรียกว่า “หักงวงไอยรา” เส้นทางลาดชันมากๆ ที่ต้องใช้แรงใจล้วนๆ เพราะขาทั้งสองข้างนั้นต่างก็เหนื่อยล้าเริ่มก้าวไม่ออกและยังมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของน้ำที่นำมาจากคลอง 2 พูดได้ว่า ต้องใช้พลังใจอย่างล้นหลามเข้าสู้จริงๆ ในจุดนี้ และเมื่อผ่านมาได้แล้วก็จะพบกับแคมป์ดีนดอย จุดกางเต็นท์ในค่ำคืนที่ 2 กลางขุนเขาพนาไพร ใช้เวลาทั้งสิ้นในการเดินประมาณ 8 ชม.
แต่ทุกอย่างก็ยังไม่จบลงที่จุดนี้ เพราะจุดหมายปลายทางเราที่ต้องไปพิชิตนั้น อยู่เบื้องหน้าในเส้นทางอีกเพียงแค่ 1 กม.เท่านั้น หลังจากเดินลัดเลาะตามเส้น 1 กม.ฝ่าพงหญ้าและต้นไม้ จนขึ้นมาสู่ที่โล่งบนยอดเขาและเห็นวิวทิวทัศน์รอบตัว ทุกคนก็ต่างมีคำอุทานต่างๆ นานา หลุดออกมาจากปากของผู้ร่วมคณะพิชิต และทุกคนก็สามารถพูดได้เต็มปากว่า “ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ได้มาพิชิตโมโกจู”
สิ่งแรกที่เหล่าผู้พิชิตจะได้เห็นเมื่อขึ้นมาสู่ยอดเขาโมโกจูก็คือ ทัศนียภาพกว้างไกล 360 องศา ของทิวเขาสลับซับซ้อนและผืนป่าเขียวขจีอันกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาอยู่เบื้องล่าง เมื่อมองเลยไปอีกจะเห็นขอบฟ้าเส้นงาม และจะได้พบกับ “หินเรือใบ” กองหินที่มีรูปร่างเป็นฐานสี่เหลี่ยมที่มียอดแหลมพุ่งขึ้นฟ้า มองดูแล้วคล้ายๆ เรือใบ ที่กลายมาเป็นกองหินไฮไลต์ของยอดเขาโมโกจูแห่งนี้
“ตะลอนเที่ยว” และเหล่าชาวคณะนั่งสัมผัสสายลมได้สักพัก ในเวลาไม่นานก็จะได้เห็นดวงตะวันลาลับขอบฟ้าในยามอัสดง เป็นอีกหนึ่งวิวทิวทัศน์ที่งดงามตราตรึงใจ อีกหนึ่งรางวัลใหญ่ที่มอบให้แก่เหล่าผู้พิชิตโมโกจู หลังจากได้ชมความสวยงามกันแล้วทุกคนก็มุ่งหน้ากลับไปสู่แคมป์ตีนดอย เพื่อพักผ่อนและกินข้าวเย็น และนอนรอเวลาที่จะได้กลับขึ้นมาชมวิวและร่ำลาอีกในยามเช้า
เมื่อเสียงนาฬิการ้องบอกเวลา “ตะลอนเที่ยว” และเหล่าชาวคณะผู้พิชิต ได้ฟันฝ่าความหนาวเย็นแห่งขุนเขา เพื่อที่จะขึ้นไปชมความสวยงามในยามรุ่งอรุณและร่ำลายอดเขาสูงที่สุดแห่งผืนป่าตะวันตก เมื่อมาถึงยอดเขาทุกคนต่างก็เห็นแสงริบหรี่ที่ปลายขอบฟ้า และหมู่ดาวระยิบระยับที่ค่อยๆ เลือนราง นั่งอดทนในลมหนาวได้ไม่นาน ดวงตะวันก็เริ่มเคลื่อนคล้อยให้เราได้เห็นที่ปลายขอบฟ้า กลายเป็นอีกหนึ่งภาพที่ตราตรึงใจ ก่อนจะกล่าวคำร่ำลา เพื่อลงมากินข้าวเช้าและเก็บสัมภาระ เตรียมตัวเดินลงเขาไปสู่บ้านที่ได้จากมาไม่นาน
แต่ก่อนอื่น “ตะลอนเที่ยว” ขอบอกไว้ก่อนว่าทัศนียภาพบนยอดเขาโมโกจูนั้น ไม่สามารถคาดเดาได้ พูดได้ว่าขึ้นอยู่กับดวงจริงๆ บางวันงดงามราวความฝัน มีทะเลหมอกและปุยเมฆให้ได้ชม บางวันท่องฟ้าเปิดโล่งมองได้ไกลจนสุดสายตา หรือบางวันเมฆหมอกมหึมาหนักหนาจนไม่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ใดๆ ได้เลย
หลักจากกินข้าวเช้าและเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงช่วงเวลาแห่งการเดินลง ที่ต้องใช้แรงกายที่เหลืออยู่อย่างน้อยนิด และแรงใจที่ได้เติมเต็มจากวิวทิวทัศน์อันงดงามของยอดเขาโมโกจู เส้นทางเดินลงนั้นแม้จะใช้เวลาน้อย แต่ก็หนักหนาสาหัสไม่แพ้ช่วงขาขึ้น เพราะความลาดชันของเส้นทาง ทำให้น้ำหนักตัวกดลงที่ขา หัวเข่าและปลายนิ้วเท้า ทุกๆ คนต่างล้มลุกคลุกคลานผ่านจุดต่างๆ ที่เคยผ่านมาในช่วงขาขึ้น ในเรื่องการใช้เวลาช่วงขากลับนั้น ทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ไม่ได้จำกัดเวลา เพียงแต่ทุกคนจะต้องไปถึงจุดหมายปลายทางเดียวกันคือแคมป์แม่กระสา จุดที่รถอีแต๊กจอดรอ เพื่อรับเรากลับสู่โลกภายนอกผืนป่าพนาไพร
ในที่สุดคณะผู้พิชิตครั้งนี้ ก็มารวมตัวกันที่แคมป์แม่กระสา ครบทุกคนในเวลาประมาณบ่ายสี่โมง หลักจากนั้นทุกคนก็ย่างก้าวขึ้นรถอีแต๊กไป และร่วมกันผจญภัยกับกิ่งไม้นานาชนิด ทางขรุขระไปพร้อมๆ กันในเส้นทาง 16 กม. ที่เคยผ่านมา จนกระทั่งมาถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ในเวลา 06.15 น. ซึ่งพี่เจ้าหน้าที่เอ่ยปากบอกว่า คณะเราเป็นกลุ่มที่ทำเวลาได้เร็วที่สุดในปีนี้
การกลับมาพิชิตโมโกจู ในระยะเวลา 3 วัน 2 คืน ในครั้งนี้ของ “ตะลอนเที่ยว” นอกจากจะได้พิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดแห่งผืนป่าตะวันตก และได้พิชิตใจตัวเองอีกครั้ง แต่เหนือสิ่งอื่นใดในทุกๆ ย่างก้าว ก็มีโอกาสคิดทบทวนเรื่องราวชีวิตที่เกิดขึ้น และมีโอกาสได้ยินนิยามจากบทสนทนาของผู้ร่วมคณะระหว่างทาง การเดินทางบนเส้นทางอันงดงามและยากลำบากนี้ ให้อะไรอีกมากมาย ที่รอให้ทุกคนมาสัมผัสและรับรู้ความรู้สึกนั้นด้วยตนเอง เพราะฉะนั้นอย่ารอช้า ครั้งหนึ่งในชีวิต คุณจะได้เป็นผู้พิชิต “โมโกจู”
*****************************************************************
อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ มีพื้นที่ 558,750 ไร่ ครอบคลุม 2 จังหวัดคือ นครสวรรค์ กำแพงเพชร ภายในอุทยานฯ นอกจากยอดเขาโมโกจูแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ อาทิ น้ำตกแม่กระสา น้ำตกแม่กี จุดชมวิวมออีหืด แก่งลานนกยูง กิจกรรมล่องแก่ง ปั่นจักรยาน และช่องเย็น สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่มีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี
การเดินป่าในเส้นทางพิชิตยอดเขาโมโกจูจะเปิดให้เดินทางได้เฉพาะเดือน พ.ย.-ก.พ. โดยทางอุทยานจะเป็นผู้กำหนดช่วงวันในการเดินป่า และกิจกรรมเดินป่าระยะไกล โดยปีนี้อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ได้กำหนดกิจกรรมการเดินป่าระยะไกล มีจุดหมายปลายทางตามแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ได้แก่ ยอดเขาโมโกจู และน้ำตกแม่รีวา โดยใช้เวลาเดินเท้าไปกลับ 2 คืน 3 วัน มีรถรับ-ส่ง (ที่ทำการฯ-แคมป์แม่กระสา) ราคา 12,000 บาท/กลุ่ม (ไม่รวมค่าลูกหาบและค่าเสบียง) และรับจำนวน 2 กลุ่ม/ทริป/สัปดาห์ ในส่วนค่าลูกหาบนั้น อยู่ในอัตราราคาคนละ 500 บาทต่อวัน จำกัดน้ำหนัก 20 กก.ต่อคน
ผู้ที่สนใจกิจกรรมเดินป่าระยะไกล สามารถดูรายละเอียดได้ที่ เฟซบุ๊ก : อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ หรือ www.facebook.com/maewong.np พร้อมทั้งสามารถดาวน์โหลดแบบฟอร์มการขออนุญาตร่วมกิจกรรมการเดินป่าระยะไกลประจำปี 2557-2558 ได้ในเพจเฟซบุ๊ก หรือสอบถามรายละเอียดได้ทางเพจเฟซบุ๊ก หรือที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ โทร.09-0457-9291 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป
ส่วนเรื่องที่นักท่องเที่ยวต้องระวังเป็นพิเศษก็คือเรื่องของตัวคุ่นและเห็บลมที่จะพบมากในวันที่ 3-4 ดังนั้นจึงควรเตรียมยาทา สเปรย์กันแมลงไปป้องกัน (สามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง) และควรสวมใส่เสื้อผ้าแขนขายาวปกคลุมให้มิดชิด
นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถสอบถามข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร ที่พัก ในจังหวัดสุโขทัย กำแพงเพชร เชื่อมโยงกับอุทยานฯ แม่วงก์ ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย (รับผิดชอบพื้นที่สุโขทัย, กำแพงเพชร) โทร. 0-5561-6228-9, 0-5561-6366
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com