“1,864”
นี่ไม่ใช่เลขเด็ด เลขดัง หากแต่เป็นตัวเลขบอกจำนวนโค้งของถนนสาย 108 (ทางหลวงหมายเลข 108) ที่เชื่อมระหว่างจังหวัดเชียงใหม่ไปถึงแม่ฮ่องสอน ซึ่งทาง “การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)” ภูมิภาคภาคเหนือ มุ่งส่งเสริมประชาสัมพันธ์ในฐานะเส้นทางท่องเที่ยวสำคัญของภาคเหนือ เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ งามๆ ให้แวะเที่ยวชมกันมากมายตลอดเส้นทาง
นับเป็นหนึ่งในเส้นทางขับรถเที่ยวยอดนิยม (สายคลาสสิก) ที่หนาวนี้ “ตะลอนเที่ยว” มีโอกาสขึ้นเหนือไปผจญเส้นทางพันกว่าโค้งจากเชียงใหม่สู่แม่ฮ่องสอน บนถนนสาย 108 อีกครั้ง
ถนนแม้เป็นเส้นทางสายเก่า...แต่ทุกๆ ครั้งในการเดินทางของเรามันคือประสบการณ์แปลกใหม่ที่เป็นดังน้ำทิพย์ชุ่มชโลมให้จิตใจชุ่มชื่นเบิกบานอยู่เสมอ...
ฮอด
บนถนนสาย 108 มีจุดเริ่มต้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดออกสตาร์ทในการขับรถเที่ยวของ “ตะลอนเที่ยว” ในทริปนี้ โดยจากเชียงใหม่ เราขับผ่าน อ.หางดง, สันป่าตอง, ดอยหล่อ และ อ.จอมทอง ก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่ “อ.ฮอด” ที่เป็นจุดเริ่มต้นของ “โค้งแรก” ใน 1,864 โค้ง และก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดประเดิมเที่ยวในทริปนี้ ที่ “อุทยานแห่งชาติออบหลวง” เพื่อเที่ยวชม “ออบหลวง” ที่เป็นช่องแคบ(ผาหิน) ขนาดใหญ่ มีลำน้ำแม่แจ่มไหลผ่านระหว่างกลาง
ด้านบนช่องแคบมีสะพานไม้โครงเหล็กสายสั้นๆ พาดผ่านเชื่อมหน้าผาเข้าด้วยกัน เมื่อยืนอยู่บนสะพานมองลงไปจะเห็นลำน้ำแม่แจ่มบีบตัวไหลเชี่ยวกรากแทรกผ่านไปในโตรกผาหิน เต็มไปด้วยละอองน้ำฟุ้งกระจายในเบื้องล่าง นับเป็นจุดชมวิวกลางหน้าผาอันสวยงามแปลกตา แถมปนหวาดเสียวเล็กน้อย ซึ่งหากใครเป็นโรคกลัวความสูงเราขอแนะนำให้เดินผ่านไปโดยเร็วที่สุดจะดีกว่า
จากออบหลวงเมื่อขับรถต่อไปอีกไม่ไกลก็จะเป็น “สถานีวนวัฒนวิจัยบ่อแก้ว” หรือที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันดีในนาม “สวนสนบ่อแก้ว” กับบรรยากาศสวนสนริมถนนสาย 108 ที่ปลูกเรียงอย่างเป็นระเบียบสวยงาม ภายในสวนสนมีถนนทอดผ่านนำสายตาเข้าไปในดงสนสูงใหญ่ นับเป็นจุดถ่ายภาพของนักท่องเที่ยว ซึ่งในช่วงเช้าและเย็น แสงแดดอ่อนๆ จะส่องลำแสงละมุนสาดกระทบกับต้นสน ทิวสน เกิดเป็นภาพสวนสนสุดโรแมนติก จนหลายๆ คนยกให้สวนสนบ่อแก้วเป็นดัง “เกาะนามิ(เกาหลี) เมืองไทย” ที่เราๆ ท่านๆ สามารถมาเซลฟี่ในมุมโรแมนติกใต้ดงสนแสนสวยแห่งนี้ได้โดยไม่ต้องบินไปไกลถึงเกาหลี
แม่สะเรียง
หลังถ่ายรูปปล่อยอารมณ์ในบรรยากาศเกาะนามิเมืองไทยกันเป็นที่เพลิดเพลิน “ตะลอนเที่ยว” ออกเดินทางต่อมุ่งหน้าเข้าสู่เขตจังหวัดแม่ฮ่องสอนที่ “อ.แม่สะเรียง” ระหว่างทางก่อนถึงที่พัก เราแวะไปเที่ยวยัง “สวนป่าสาละวิน (ออป.) และบ่อน้ำพุร้อนแม่อุมลอง” ที่แยกจากถนน 108 ไปอีกประมาณ 10 กม. โดยในเส้นทางช่วงสุดท้ายประมาณ 1 กม. เป็นถนนลูกรังลัดเลาะไปตามไหล่เขา ในช่วงหน้าฝน รถเก๋งเข้าไม่ได้ ส่วนในช่วงหน้าหนาวเช่นนี้ หากใครขับรถเก๋งเข้าไปก็ต้องใช้ความระมัดระวังให้ดี เพราะถ้าวันไหนมีฝนหลงฤดูตกลงมา ถนนจะลื่นเละเป็นโคลน รถเก๋งไม่ควรขับเข้าไป แต่ถ้าเป็นรถกระบะ รถขับเคลื่อน 4 ล้อนั้นผ่านฉลุย
สวนป่าสาละวินเป็นพื้นที่พักผ่อนในบรรยากาศธรรมชาติอันร่มรื่นสวยงามและมีความเป็นส่วนตัวสูง ปากทางเข้าพื้นที่สวนป่าต้องนำรถไปจอดไว้ แล้วเดินข้ามสะพานแขวนที่ทอดข้ามลำธารน้ำอันแสนเท่เข้าไป
ภายในสวนป่าที่มีการจัดแต่งภูมิทัศน์อย่างเป็นระเบียบมีไฮไลต์อยู่ที่ “บ่อน้ำพุร้อนแม่อุมลอง” บ่อน้ำพุร้อนธรรมชาติที่น้ำพุผุดขึ้นมาจากลำธารซอกหิน มีอุณหภูมิอยู่ที่ 76 องศาเซลเซียส สามารถต้มไข่ให้สุกได้
นอกจากนี้ในสวนป่ายังมีบ้านพัก ที่กางเต็นท์ ซึ่งล่าสุดทาง ออป.กำลังดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ (คาดว่าจะแล้วเสร็จอีกไม่นานราวต้นปี 58) สร้างที่พักเพิ่มเติมในบรรยากาศอวลธรรมชาติอีกหลายหลัง พร้อมทั้งยังสร้างห้องอาบน้ำแร่ แช่ตัว แช่เท้า ในลักษณะของออนเซนท่ามกลางบรรยากาศแห่งขุนเขาแมกไม้อันน่าสนใจยิ่ง
หลังสัมผัสกับความร้อนไอระอุและกินไข่ต้ม ต้มจากบ่อน้ำพุแล้ว เราก็มุ่งหน้าสู่ตัวอำเภอแม่สะเรียงหนึ่งในจุดพักหลักของเราในทริปนี้
แม่สะเรียงเป็นอำเภอเล็กๆ อันสงบงาม ถือเป็นจุดพักระหว่างทางที่วันนี้กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่นิยมเดินทางมาพักสัมผัสกับบรรยากาศชิลๆ สงบ ไม่พลุกพล่าน
เมืองแม่สะเรียงได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่ง “พระธาตุ 4 จอม” เพราะมีการสร้างพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองไว้ ณ 4 มุมเมือง คือ “พระธาตุจอมกิตติ”, “พระธาตุจอมทอง”, “พระธาตุจอมแจ้ง”, และ “พระธาตุจอมมอญ” ซึ่งพระธาตุทั้งสี่นั้นอยู่ไม่ไกลกันมากนัก สามารถเดินทางไปกราบไหว้ได้อย่างสบายๆ
ในตัวเมืองแม่สะเรียงก็ยังมีอีก 2 วัดสำคัญคือ “วัดจองสูง” (วัดอุทธยารมย์) กับ “วัดศรีบุญเรือง” 2 วัดงามที่รั้วของวัดติดกัน สามารถเดินทะลุไป-มาหาสู่กันได้ โดยวัดจองสูงจะโดดเด่นไปด้วยพระธาตุเจดีย์เก่าแก่อันสวยงามคลาสสิก ส่วนวัดศรีบุญเรืองนั้นเป็นวัดที่งดงามไปด้วยลวดลายฉลุไม้ในหลายๆ จุดของวัด ขณะที่ภายในโบสถ์นั้นก็ดูงดงามไปด้วยพระพุทธรูปศิลปะไทใหญ่และพม่าอันขรึมขลังมลังเมลืองเปี่ยมศรัทธา
นอกจากนี้ใน อ.แม่สะเรียง ยังมี “พิพิธภัณฑ์แม่สะเรียง” กับอาคารสถาปัตยกรรมไทใหญ่ที่ภายในบอกเล่าประวัติความเป็นมาของแม่สะเรียง พร้อมข้าวของเครื่องใช้ศิลปวัตถุน่าสนใจอันบ่งบอกถึงวิถีแห่งแม่สะเรียง เป็นรากเหง้าแห่งชุมชนที่ยังความเป็นตัวตนมาสู่ในวันนี้
แม่ลาน้อย-ขุนยวม
หลังพักค้างและเที่ยวแม่สะเรียงกันอย่างจุใจแล้ว “ตะลอนเที่ยว” ออกเดินทางขึ้นเหนือสู่ อ.แม่ลาน้อย ที่มีจุดแวะเที่ยวสำคัญคือ “ถ้ำแก้วโกมล” ที่อยู่ห่างจากตัวอำเภอไปราวๆ 5 กม.
“ถ้ำแก้วโกมล” เป็นถ้ำผลึกแคลไซต์ที่สำรวจพบเพียง 1 ใน 3 แห่งของโลก (อีก 2 แห่งพบที่จีนและออสเตรเลีย) ภายในมีลักษณะคล้ายถ้ำน้ำแข็งอันแวววาวสดใส ยิ่งเมื่อยามต้องแสงไฟ ผลึกแร่จะดูงดงามราวกับเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งด้วยความสวยงามแปลกตาและมีลักษณะเฉพาะตัวทำให้ถ้ำแก้วโกมลถูกคัดเลือกจาก ททท. ให้เป็นหนึ่งใน “อันซีนไทยแลนด์” อันลือลั่น
จากถ้ำแก้วฯ แม่ลาน้อย “ตะลอนเที่ยว” เดินทางผ่าน อ.ขุนยวม ดินแดนแห่งทุ่งดอกบัวตองอันโด่งดัง เป็น 1 ใน 22 เส้นทาง ชมดอกไม้แสนสวยจากโครงการ “Dream Destinations 2 กาลครั้งนั้น...ความฝันผลิบาน” ของ ททท. ซึ่งทุกๆ ปีในช่วงเดือนพ.ย. ทุ่งบัวตองที่ “วนอุทยานดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ” อ.ขุนยวม จะพร้อมใจกันออกดอกเบ่งบานให้สีเหลืองสดใสกินพื้นที่มากกว่า 500 ไร่ ย้อมหุบเขาดอยแม่อูคอให้กลายเป็นสีเหลืองสะพรั่ง โดยจะบานไปจนถึงราวๆ กลางเดือน ธ.ค. (ช่วงนี้ดอกบัวตองได้ร่วงโรยไปมากแล้ว) ให้นักท่องเที่ยวได้ไปเพลิดเพลินลัลลากันบนทุ่งบัวตองสีเหลืองอร่ามแห่งนี้
นอกจากทุ่งดอกบัวตองไฮไลต์ประจำเดือน พ.ย. แล้ว อ.ขุนยวมยังมีที่เที่ยวน่าสนใจ อาทิ “วัดต่อแพ”, “วัดม่วยต่อ” รวมถึง “อนุสรณ์สถานมิตรภาพไทย-ญี่ปุ่น” ที่เป็นสถานที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ส่วนหนึ่งของสงครามมหาเอเชียบูรพาที่เกิดขึ้นในแถบ อ.ขุนยวม
ในสงครามครั้งนั้นรัฐบาลไทยยินยอมให้ทหารญี่ปุ่นเดินทัพผ่านและตั้งกองกำลังในไทย แต่หลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม ทหารญี่ปุ่นจำนวนนับแสนได้ทะลักเข้ามาในเขต อ.ขุนยวม พร้อมทั้งมีทหารผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ขณะที่ชาวขุนยวมส่วนใหญ่ต่างก็พยายามให้ความช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ในฐานะเพื่อนมนุษย์ ซึ่งนี่ก็ทำให้เกิดเรื่องราวความผูกพันระหว่างคนขุนยวมและทหารญี่ปุ่นสืบต่อมา รวมทั้งมีเรื่องราวของ “โกโบริ-อังศุมาลิน” แห่งขุนยวม ที่เป็นความรักอันสวยงามคลาสสิกไม่ต่างจากโกโบริ-อังศุมาลินแห่งบางกอกน้อย
แม่ฮ่องสอน-ในเมือง
หลังซึมซับกับบรรยากาศอวลความรักแห่งขุนยวมกันจนชักเริ่มจะอิน “ตะลอนเที่ยว” ก็ได้เวลาออกเดินทางต่อสู่จุดหมายหลักคือตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ที่ถนนจากขุนยวมสู่แม่ฮ่องสอนในช่วงนี้มันช่างคดเคี้ยวมากโค้งเสียจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางเลี้ยวตามโค้งที่โชเฟอร์ห้ามลืมเลี้ยวแม้แต่โค้งเดียว ไม่อย่างนั้นมีอันได้ลงไปอยู่ก้นเหวแน่ๆ แต่เมื่อเราใช้สมาธิกับแต่ละโค้งอยู่พักใหญ่ เมืองแม่ฮ่องสอนก็ปรากฏให้เราเห็นจนได้
สำหรับผู้ที่เดินทางมาถึงแม่ฮ่องสอน ทั้งขับรถมาเอง นั่งร่วมรถมา หรือแม้แต่นั่งรถประจำทางมา สามารถแวะไปขอรับ “ใบประกาศนียบัตรผู้พิชิต 1,864 โค้ง” กันได้ที่หอการค้าจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเสียค่าใบประกาศคนละ 40 บาท นับเป็นของที่ระลึกในความระทึกของเส้นทางที่ใครเมื่อฝ่าฟันกว่าพันโค้งไปถึงแม่ฮ่องสอนแล้วไม่ควรพลาด เพราะคนที่ได้ก็ปลื้มใจ คนที่ให้ก็ยินดี ซึ่งในฤดูท่องเที่ยวอย่างนี้มีคนมาขอรับใบประกาศกันหลายร้อยรายต่อวันกันเลยทีเดียว
แม่ฮ่องสอนได้ชื่อว่าเป็นเมืองสามหมอก มีหมอกทั้ง 3 ฤดู ทั้งหมอกฝน หมอกหนาว และหมอกควันในหน้าร้อน แน่นอนว่าเมื่อมาถึงยังแม่ฮ่องสอนสิ่งที่ไม่ควรพลาดก็คือ การขึ้นไปกราบสักการะ “พระธาตุดอยกองมู” พระธาตุศักดิ์ศิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอน ที่โดดเด่นไปด้วยเจดีย์ 2 องค์ ใหญ่เล็ก ตั้งตระหง่านอยู่ริมยอดดอยของ “วัดพระธาตุดอยกองมู” วัดที่นอกจากเป็นศาสนสถานสำคัญแล้วยังเป็นจุดชมวิวของเมืองแม่ฮ่องสอนที่สวยงามอีกด้วย
เมื่อมองจากจุดชมวิววัดพระธาตุดอยกองมูลงไปจะเห็นเมืองแม่ฮ่องสอนทั้งเมือง รวมถึงมองเห็น “หนองจองคำ” บึงน้ำสาธารณะที่เป็นดังสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกายของคนเมือง มองเห็นยอดเจดีย์และหลังคาวัดแบบไทยใหญ่ของ “วัดจองคำและวัดจองกลาง” และยังเห็นไปถึงสนามบินแม่ฮ่องสอนที่ตั้งอยู่ในเมืองอีกด้วย
วัดจองคำ สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2370 เป็นวัดเก่าแก่ของเมืองแม่ฮ่องสอน ภายในวัดประดิษฐาน “หลวงพ่อโต” พระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามยิ่ง ส่วนวัดจองกลางนั้นดูโดดเด่นไปด้วย องค์พระธาตุเจดีย์สีขาว ยอดสีทอง อันสวยงามสมส่วน นอกจากนี้ภายในวิหารก็ยังมี “พระเจ้าอินทร์สาน” ที่เป็นพระพุทธรูปสานจากไม้ไผ่ฝีมือช่างภูมิปัญญาพื้นบ้านโบราณอันประณีตสวยงาม หาชมได้ยากยิ่ง
นอกจากนี้หนองจองคำในยามค่ำคืนก็จะดูงดงามไปด้วยแสงสีประดับไฟและแสงเงาสะท้อนน้ำของวัดจองคำ-วัดจองกลาง ที่เป็นดังวัดคู่แฝดแห่งหนองจองคำ ขณะที่ในช่วงฤดูท่องเที่ยวเช่นนี้ ทางเมืองแม่ฮ่องสอนจัดให้มี “ถนนคนเดินรอบหนองจองคำ” ขึ้น ตั้งแต่ช่วงเย็นย่ำไปจนถึงยามค่ำคืนของทุกๆ วัน
ถนนคนเดินที่นี่มีทั้งของกิน ของที่ระลึกมากมาย โดยในส่วนโซนของกินก็ได้จัดการปูเสื่อและวางโต๊ะพับเล็กๆ ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกนั่งสั่งอาหารกันตามชอบใจ นั่งกินไปพลางชมทิวทัศน์ของวัดจองคำ-จองกลางที่ประดับไฟอย่างสวยงามไปพลาง พร้อมทั้งสัมผัสอากาศเย็นสดชื่นไปด้วย กินอิ่มแล้วก็พากันเดินเล่นซื้อของที่ระลึกในโซนของขายของฝาก นับเป็นถนนคนเดินเล็กๆ ที่อวลไปด้วยบรรยากาศน่ารัก น่าเดินสุดๆ
ในตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ยังมีวัดงามๆ ที่น่าสนใจ อีกได้แก่ "วัดพระนอน”,“วัดก้ำก่อ” และ “วัดม่วยต่อ" กลุ่ม 3 วัดที่อยู่ใกล้ๆ กัน สามารถเดินเที่ยวถึงกันได้อย่างสบาย นอกจากนี้ก็ยังมี “วัดหัวเวียง” (วัดกลางเวียง, วัดกลางเมือง) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองใกล้ๆ กับตลาดสายหยุด เป็นอีกหนึ่งวัดสำคัญกับงานพุทธศิลป์ระดับมาสเตอร์พีซที่เป็นไฮไลต์สำคัญของวัดนั่นก็คือ “พระเจ้าพาราละแข่ง” พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองสามหมอก ที่ทางวัดได้จำลองแบบมาจากองค์ “พระมหามัยมุนี” แห่งเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า
พระเจ้าพาราละแข่ง เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพม่าที่ได้รับการยกย่องว่ามีพุทธลักษณะงดงามมากที่สุดในเมืองไทย พระวรกายเพรียวงาม พระพักตร์อิ่มเอิบ ส่วนเครื่องทรงองค์ประกอบอื่นๆ ช่างสมัยโบราณก็สร้างอย่างสุดวิจิตรบรรจง นับเป็นอีกหนึ่งความงามคู่บ้านคู่เมืองแม่ฮ่องสอนที่เป็นมรดกตกทอดมาให้ลูกหลานได้กราบไหว้กันจนถึงทุกวันนี้
แม่ฮ่องสอน-นอกเมือง
จากแหล่งท่องเที่ยวในเมือง “ตะลอนเที่ยว” เปลี่ยนบรรยากาศออกไปสัมผัสกับสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจที่อยู่นอกเมืองกันบ้าง
จุดแรกคือ “พระตำหนักปางตอง” หรือ “ศูนย์บริการและพัฒนาที่สูงปางตองตามพระราชดำริ” ซึ่งเป็นที่ประทับแรมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถในยามเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมเยียนราษฎรในเขตพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน
พระตำหนักปางตอง ตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้อันร่มรื่น ภายในพระตำหนักมีหลายสิ่งให้ชมกัน อาทิ ฝูงแกะน่ารักๆ ที่ทางโครงการเลี้ยงไว้ สัตว์ป่าหายากจำพวกละอง ละมั่ง ไก่ฟ้าหลังขาว รวมถึงพืชพรรณ กล้วยไม้ ดอกไม้เมืองหนาว และสิ่งน่าสนใจอื่นๆ จากโครงการต่างๆ ภายในพระตำหนักแห่งนี้ ที่จัดตั้งเป็นสถานที่ทดลองค้นคว้าวิจัยอันหลากหลาย
สำหรับจุดน่าสนใจต่อไปถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์สำคัญแห่งเมืองสามหมอก คือ “ปางอุ๋ง” หรือ “โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง)” ที่มากี่ครั้งก็ไม่มีเบื่อ ด้วยทัศนียภาพที่งดงามด้วยทิวต้นสนที่ปลูกเรียงรายริมอ่างเก็บน้ำอันนิ่งสงบ ยามเช้าจะมีสายหมอกไหลเรี่ยผิวน้ำ เป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจยิ่งนัก ที่ปางอุ๋งนี้ยังมีที่พักให้เลือกทั้งบ้านพัก เต็นท์พักแรม หรือเกสต์เฮาส์ของชาวบ้านในหมู่บ้านรวมไทย
ส่วนถ้าเลยปางอุ๋งขึ้นเหนือไปอีกหน่อยก็จะเป็น “หมู่บ้านรักไทย” เป็นชุมชนชาวจีนยูนนานที่อพยพมาอยู่เมืองไทยเมื่อหลายสิบปีก่อน ที่นี่มีบรรยากาศคล้ายกับอยู่เมืองจีน ในหมู่บ้านมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบด้วยบ้านดินในสไตล์จีนหลังคามุงด้วยใบตองตึง นอกจากนี้ที่นี่ยังมีอาหารจีนยูนนานและน้ำชาที่ไม่ควรพลาดชิมกันอีกด้วย
เอาล่ะทีนี้ก็มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ที่กำลังมาแรงสุดๆ ของแม่ฮ่องสอน นั่นก็คือ “สะพานซูตองเป้” ที่ตั้งอยู่ที่บ้านกุงไม้สัก ห่างจากตัวเมืองไปราว 8 กม.
ซูตองเป้ เป็นภาษาไทยใหญ่ แปลว่า อธิษฐานสำเร็จสัมฤทธิผล มีลักษณะเป็นสะพานไม้ไผ่กว้างประมาณ 2 เมตร แต่ยาวมากถึง 500 เมตร สร้างทอดข้ามผ่านทุ่งนาจากบ้านกุงไม้สัก ข้ามผ่านแม่น้ำสะงา เชื่อมต่อไปสู่ “สวนธรรมภูสมะ” สถานปฏิบัติธรรมอันสงบ ปลีกวิเวก
สะพานซูตองเป้ เกิดจากแรงกายแรงใจของทั้งพระภิกษุสามเณร ชาวบ้านกุงไม้สัก และคณะศรัทธาต่างๆ ที่ร่วมกันสร้างขึ้นเพื่อให้พระภิกษุสามเณรจากสวนธรรมภูสมะ รวมถึงชาวบ้านในบริเวณนั้นได้สัญจรไป-มา
ภาพของสะพานไม้ไผ่ที่ทอดโค้งผ่านทุ่งนาก็งดงามมากอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อ “ตะลอนเที่ยว” ได้มาเห็นบรรยากาศยามเช้าตรู่ อากาศเย็นสดชื่น มีไอหมอกลอยฟุ้งไปทั่ว เห็นภาพของพระสงฆ์ที่ออกบิณฑบาตเดินเรียงแถวกันบนสะพานไม้ มีผู้ศรัทธามารอใส่บาตรบนสะพาน ก็ยิ่งเป็นภาพประทับใจที่ทำให้หลงรักเมืองแม่ฮ่องสอนมากยิ่งขึ้นไปอีก
ครั้นเมื่อเดินถ่ายรูปมุมสวยๆ บนสะพานกันแล้ว ก็ไม่ควรพลาดการขึ้นไปกราบพระกันที่สวนธรรมภูสมะกันด้วย ที่นี่มีวิหารประดิษฐาน “หลวงพ่อซูตองเป้” พระพุทธรูปทรงเครื่องแบบพม่าสีทองอร่ามที่ตั้งอยู่ภายในวิหารโถงไม่มีผนัง เราสามารถกราบขอพรองค์พระ เดินชมวิว ชมบรรยากาศภายในธรรมสถานแห่งนี้กันได้ ซึ่งหากใครไปไปเยือนสวนธรรมภูสมะในวันเสาร์-อาทิตย์ ก็จะมี 2 ไกด์น้อยเด็กนักเรียนจากโรงเรียนใกล้ๆ มาคอยเล่าประวัติของสะพานให้ฟังกันอีกด้วยอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ชนิดที่ใครหลายๆ คนเห็นแล้วอดให้ทิป 2 น้องหนูไกด์น้อยนี้ไม่ได้
ทั้งหมดนี้ก็เป็นมนต์เสน่ห์ความงามส่วนหนึ่งของเส้นทางท่องเที่ยวสายถนน 108 “เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน” กับจำนวน “1,864 โค้ง” ที่หากใครได้ออกไปสัมผัสเปิดประสบการณ์ใหม่ แล้วก็จะรู้สึกหลงรักภาคเหนือ หลงรักประเทศไทยขึ้นมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
รู้แต่ว่าใจได้ถูกเส้นทางสายนี้ดึงดูดให้หลงใหลไปแบบยากที่จะถอนตัวแล้ว
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักเชียงใหม่ โทร.0-5327-6140-2
สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในจังหวัดแม่ฮ่องสอนได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานแม่ฮ่องสอน โทร.0-5361-2982-3, 0-5361-2984
อุทยานแห่งชาติออบหลวง ค่าเข้าอุทยาน คนละ 20 บาท รถคันละ 30 บาท สอบถามโทร.08-1602-1290, 0-5331-5302
วนอุทยานถ้ำแก้วโกมล ค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 08.30-16.30 น. เข้าชมรอบละไม่เกิน 20 คน โทร.0-5361-2078, โทร.08-1961-8848
อนุสรณ์สถานมิตรภาพ ไทย-ญี่ปุ่น ตั้งอยู่ตรงข้ามวัดม่วยต่อ ต.ขุนยวม อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน เปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่ 08.00-17.00 น. ปิดพักเที่ยง 12.00-13.00 น. ค่าเข้าชม คนไทย (ผู้ใหญ่) 20 บาท (เด็ก) 10 บาท ชาวต่างชาติ (ผู้ใหญ่) 50 บาท (เด็ก) 20 บาท สอบถามโทร. 0-5369- 1466
โครงการพระราชดำริปางตอง 2 (ปางอุ๋ง) นักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างคืน สามารถทำการจองผ่านระบบการลงทะเบียนได้ที่ศูนย์ศิลปาชีพจังหวัดแม่ฮ่องสอนในพระบรมราชินูปถัมภ์ ถนนขุนลุมประพาส ตำบลจองคำ อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โทรศัพท์ 0-5361-1244 โทรศัพท์มือถือ 08-5618-3303 โทรสาร 0-5361-1649 เมื่อทำการจองเรียบร้อยแล้ว สามารถติดต่อขอรับบัตรเข้าที่พักได้ที่ ศูนย์ศิลปาชีพจังหวัดแม่ฮ่องสอน ในพระบรมราชินูปถัมภ์ จุดบริการนักท่องเที่ยว โครงการจัดหมู่บ้านรวมไทย ตามพระราชดำริ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
กระดูกหมูเปื่อยนุ่ม น้ำซุปกลมกล่อม "ก๋วยเตี๋ยวป้าหอม" เมืองแม่ฮ่องสอน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com