โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
ฟุตบอลโลก บราซิล 2014 หนนี้ ใครรักทีมไหน ชอบทีมไหนก็เชียร์ทีมนั้น หรือใครชอบหลายทีมประเภทรักพี่เสียดายน้องก็เชียร์มันทั้งหมดนั่นแหละ
แต่สุดท้ายยังไงทีมแชมป์ย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว
ฟุตบอล-วัฒนธรรม
สำหรับบราซิลประเทศเจ้าภาพนั้น เป็นที่รู้กันดีว่ากีฬาฟุตบอลเป็นวิถีอยู่ในสายเลือด อยู่ใน DNA ของคนส่วนใหญ่ตั้งแต่ยาจกจนถึงเศรษฐีผู้มั่งคั่ง บางคนไม่มีอันจะกินไม่เป็นไรแต่ขอให้ได้เล่นฟุตบอลไว้ก่อน
นับเป็นประเทศแห่งฟุตบอลที่หลายๆคนยกให้เป็นเมกะแห่งฟุตบอล ซึ่งถ้าหากเอ่ยถึงความเป็นบราซิล “ฟุตบอล” ถือหนึ่งในอัตลักษณ์ที่บ่งบอกความบราซิลได้อย่างชัดเจน
นอกจากฟุตบอลแล้วบราซิลยังมีลีลา“แซมบ้า”เป็นอีกหนึ่งตัวตนอันเด่นชัดของประเทศนี้ จนสื่อมวลชนยกฉายาให้กับทีมชาติบราซิลว่า“ทีมแซมบ้า”อันลือลั่น
แซมบ้า เป็นแนวดนตรีและการเต้นรำอันสนุกสนานขึ้นชื่อ ถือกำเนิดใน รัฐบาเยีย ประเทศบราซิล โดยมีรากมาจากเมืองรีโอเดจาเนโรและแอฟริกา(ผ่านการค้าทาส) ที่เป็นการผสมวัฒนธรรมอเมริกาใต้กับแอฟริกาเข้าด้วยกัน
แซมบ้านับเป็นอีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรมล้ำค่ายิ่งของบราซิล ซึ่งวันนี้ได้มีการต่อยอดกลายเป็นท่าเต้นเทรนด์ใหม่อันสุดมัน คือ “แซมบ้าโรบิค” ที่เป็นที่นิยมของผู้รักสุขภาพในต่างประเทศก่อนระบาดเข้ามาฮอตฮิตในบ้านเราถึงขนาดมีการเต้นแซมบ้าโรบิคทำลายสถิติโลกในบ้านเรากันเลยทีเดียว
อีกหนึ่งแนวดนตรีที่ถือกำเนิดในบราซิลแล้วกระจายระบาดไปทั่วโลก รวมถึงในบ้านเราก็ได้รับอิทธิพลมาเป็นอย่างมากนั่นก็คือ แนวเพลง “บอสซาโนว่า” หรือที่เรียกสั้นๆว่า “บอสซ่า”
บอสซาโนว่า เป็นการผสมผสานดนตรีแจ๊ซของแอฟริกัน-อเมริกัน กับดนตรีแซมบา ดนตรีพื้นบ้านของบราซิล มีหลักฐานว่าถือกำเนิดขึ้นในประเทศบราซิล ในช่วงปี ค.ศ. 1958 โดยอังโตนีอู การ์ลูช โชบิง, วีนีซีอุช จี โมไรช์ และชูเอา ชิลเบร์ตู
บอสซาโนว่า ได้ชื่อว่าเป็นดนตรีฟังเพลินสบายๆ ฟังแล้วได้กลิ่นอายแห่งท้องทะเล ชวนพักผ่อน ซึ่งศิลปินแนวบอสซ่าระดับโลกชาวบราซิลที่เป็นตำนานก็คือ “อันโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม” (Antonio Carlos Jobim)หรือ“ทอม โจบิม” กับ “เจา กิลเบอร์โต้”(Joao Gilberto)
ส่วนอีกหนึ่งมรดกวัฒนธรรมบันเทิงที่มีชื่อเสียงก้องโลก ก็คือ “เทศกาลคาร์นิวัล” ที่เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นในหลายประเทศของผู้ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก สำหรับที่บราซิลจัดขึ้นที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร จึงถูกเรียกขานกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ริโอ คาร์นิวัล”
ริโอ คาร์นิวัล เป็นมหกรรมแห่งความบันเทิงที่เต็มไปด้วยสีสัน อู้ฟู้ น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก จนได้รับการยอมรับว่าเป็นเทศกาลคาร์นิวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ริโอ คาร์นิวัล จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1930 โดยจัดขึ้นรวมเวลา 5 วัน ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนจะเริ่มเทศกาลมหาพรต (Lent) ของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก หลังจากนั้นชาวคริสต์จะเข้าสู่ฤดูถือบวช 40 วัน
ในเทศกาลคาร์นิวัล บราซิล ผู้เข้าร่วมงานจะได้เพลิดเพลินกับขบวนพาเหรดของชาย หญิง และสาวประเภทสองในชุดแฟนซีสุดแซ่บ สีสันสดใส ที่ต่างมาด้วยความคึกคัก มาเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกตามเพลง โดยเฉพาะกับจังหวะแซมบ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวบราซิล
ขณะที่ศิลปะการต่อสู้อย่าง“คาโปเอร่า”(Capoeira) นั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งประเทศบราซิลภาคภูมิใจ โดยมีการนำแสดงโชว์ในพิธีเปิดฟุตบอลโลกหนนี้ด้วย กับการผสมผสานกันระหว่างศิลปะการต่อสู้ ลีลาการเต้น ดนตรี วัฒนธรรม และปรัชญา นับเป็นหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ประจำชาติบราซิลที่กำลังมาแรง ได้รับความนิยมไปในหลายประเทศทั่วโลก
อเมซอน-อีกัวซู
จากอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม มาดูไฮไลท์ทางด้านการท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อระบือโลกกันบ้าง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในบราซิลจะมีสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจากการจัดอันดับใหม่อยู่มากถึง 3 แห่งด้วยกัน
เริ่มกันจาก 2 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ จากการจัดอันดับจากผลโหวตของมูลนิธิ “7 สิ่งมหัศจรรย์ใหม่ของโลก” ซึ่งได้แก่
“ป่าอเมซอน” ป่าขนาดยักษ์ที่มีขนาดเนื้อที่ 6.4 ล้านตารางกิโลเมตร กินพื้นที่กว้างถึง 2 ใน 5 ของทวีปอเมริกาใต้ ครอบคลุมพื้นที่ 9 ประเทศ ได้แก่ เปรู, โคลอมเบีย, เวเนซุเอลา, เอกวาดอร์, โบลิเวีย, กายอานา, ซูรินาม, เฟรนช์เกียนา และบราซิลที่เป็นเจ้าแห่งป่าอเมซอน เพราะกว่า 60 % ของป่าผืนนี้อยู่ในบราซิลถิ่นแซมบ้า
พื้นที่ป่าอเมซอนกว่าครึ่งเป็นป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลกนี้ นับเป็นเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ยักษ์ที่สุดในโลก ซึ่งวันนี้ป่าอเมซอนก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากป่าจำนวนมากทั่วโลกนั่นก็คือถูกคนรุกรานตัดไม้ทำลายป่าล่าสัตว์ ที่แม้ว่าป่าผืนนี้จะใหญ่แค่ไหนแต่สุดท้ายก็พ่ายน้ำมือมนุษย์อยู่ดี
ป่าอเมซอนแบ่งเป็นป่าตอนเหนือกับป่าตอนใต้ มีสิ่งแบ่งแยกสำคัญคือ “แม่น้ำอเมซอน” ที่มีต้นน้ำจากเทือกเขาแอนดีส(Andes) ประเทศเปรู ไหลจากตะวันตกไปตะวันออกผ่านหลายประเทศ ก่อนไหลลงมหาสมุทรแอตแลนติกที่ปากแม่น้ำประเทศบราซิล
แม่น้ำอเมซอนถือเป็นอีกหนึ่งแม่น้ำมหัศจรรย์ของโลก มีความยาวถึง 6,450 กิโลเมตร (4,010 ไมล์) ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากแม่น้ำไนล์(ยาว 6,670 กม.) แต่เป็นเป็นแม่น้ำที่กว้างที่สุดในโลก โดยส่วนที่กว้างที่สุดกว้างถึง 320 กิโลเมตรเลยทีเดียว
ขณะที่สิ่งสำคัญมากของแม่น้ำอเมซอนก็คือ 1 ใน 5 ของปริมาณน้ำจืดในโลกมาจากแม่น้ำแห่งนี้ ซึ่งมีแม่น้ำสาขากว่า 1,100 สาย โดยมีแม่น้ำสาขา 17 สายที่มีคามยาวมากถึงกว่า 1,000 ไมล์
ทั้งป่าอเมซอนและแม่น้ำอเมซอนถือเป็นดินแดนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นแดนดงดิบอันลี้ลับอันตราย เป็นแหล่งรวมสัตว์ประหลาด สัตว์แปลกๆของโลกมากมาย อาทิ กบแก้ว คางคกสุรินาม ลิงหัวล้าน เขียดงู ปลาไหลไฟฟ้า แมงมุมกินนกโกไลแอธ กบลูกดอกพิษ และพวกปลานักล่า เช่น ปลาปารายา ปลาเปคู รวมถึงสัตว์ประหลาดชื่อดัง อย่าง “อนาคอนดา”(Anaconda) เจ้างูยักษ์บันลือโลก, “คาปีบารา”(Capybara) สัตว์ประเภทหนูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก, “สล็อธ” สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เชื่องช้าที่สุดในโลก และ “ปลาปิรันย่า” (Piranha) ปลานักล่าสุดโหดกับฟันอันแหลมคมกริบที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หลายเรื่องด้วยกัน
นอกจากนี้ก็ยังมีสัตว์มาแรงอย่างเจ้า “ฟูเลโก”(Fuleco) ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวมาสค็อตของฟุตบอลโลก 2014 ครั้งนี้
ฟูเลโก เป็นตัวนิ่มพันธุ์ทรีแบนเดด ที่ใกล้สูญพันธุ์ หลงเหลืออยู่ในโลกนี้น้อยเต็ม เจ้าตัวนิ่มฟูเลโกมันดูน่ารักยามม้วนตัวหลบอันตราย จะกลายเป็นก้อนกลมดูคล้ายลูกบอล ซึ่งเหตุที่ทางบราซิลเลือกมันมาเป็นมาสค็อตนั้นก็เพราะ ต้องการให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ ระบบนิเวศ และต้องร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงอยู่
จากป่าอเมซอนป่ามหัศจรรย์มาสู่อีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติแห่งบราซิล(และอาร์เจนตินา)นั่นก็คือ “น้ำตกอีกัวซู” น้ำตกใหญ่ที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน
น้ำตกอีกัวซู เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกยุคใหม่ เป็นน้ำตก 2 แผ่นดินตั้งอยู่บนรอยต่อของประเทศบราซิลกับอาร์เจนติน่า เต็ง 1 กับ เต็ง 2 ในฟุตบอลโลกหนนี้
น้ำตกอีกัวซูมีต้นกำเนิดจากแม่น้ำอีกัวซูที่ไหลมาจากที่ราบสูงปารานา ตกจากขอบที่ราบสูงขนาดใหญ่ลงสู่พื้นที่ราบเกินเป็นน้ำตกขนาดใหญ่มหึมา มีความสูงถึงกว่า 269 ฟุต มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร(บ้างก็ว่า 2.7 กม.) ซึ่งมีคนคำนวณว่าน้ำตกอีกัวซูขนาดใหญ่กว่าน้ำตกไนแองการ่าถึง 30 เท่า
สายน้ำตกอีกัวซูประกอบด้วยน้ำตกย่อยใหญ่-น้อยมากถึง 275 แห่ง มีปริมาณน้ำมากในช่วงเดือน พ.ย.-ม.ค. ส่วนช่วงเดือน เม.ย. - ต.ค. น้ำจะน้อย แต่ก็เป็นน้ำตกที่มีสายน้ำไหลถาโถมอลังการอยู่ตลอดทั้งปี โดยบริเวณรอบๆน้ำตก จะมีละอองน้ำฟุ้งกระจายอยู่ตลอด ยามต้องแสงแดดจะเกิดเป็นละลองรุ่งทอดตัวสวยงาม อีกทั้งยังมีเสียงดังสนั่นไปไกลถึง 24 กม. นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมน้ำตกอีกัวซูได้ทั้งฝั่งชายแดนบราซิลและอาร์เจนติน่า โดยทางฝั่งบราซิลจะสามารถมองเห็นน้ำตกได้ทั่วถึงและสวยงามแบบเต็มๆตา ส่วนทางฝั่งอาร์เจนฯสามารถเข้าชมน้ำตกได้ใกล้ชิดกว่า
พระเยซู-ริโอเดจาเนโร
จาก 2 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ มารู้จักกับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น(Man Made)ในบราซิลกันบ้างนั่นก็คือ “รูปปั้นพระเยซูคริสต์” แห่งเมือง “ริโอ เดอ จาเนโร”(Rio de Janeiro)อดีตเมืองหลวงของบราซิล(เมืองหลวงปัจจุบันของบราซิลคือ บรสซิเลีย)
รูปปั้นพระเยซูคริสต์ หรือ รูปปั้นพระคริสต์ผู้ไถ่บาป (Christ the Redeemer) หรือที่เรียกว่า “กริชตูเรเดงโตร์” ที่ออกแบบโดย เอโตร์ ดา ซิลวา กอชตา ชาวบราซิล และสร้างโดยปอล ลันดอฟสกี ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2474
รูปปั้นพระเยซูองค์นี้ มีความสูงถึง 38 เมตร ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทิจูคา ยอดเขากอร์โกวาโด ที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกลและเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองและประจำประเทศ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และเป็นไฮไลท์สัญลักษณ์อันโด่งดังของบราซิล ที่ใครพอเห็นก็รู้ว่านี่คือประเทศบราซิล ซึ่งถูกคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
รูปปั้นพระเยซูคริสต์คือหนึ่งในไฮไลท์แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองริโอฯ ซึ่งสามารถนั่งรถหรือนั่งรถไฟฟ้าขึ้นไป สักการะท่าน พร้อมกับชมอันทิวทัศน์งดงามของเมืองริโอฯ บนมุมสูงที่เมื่อมองลงมาจะเห็นวิวทิวทัศน์ของภูเขาและชายหาดที่อยู่ล้อมรอบบ้านเมือง รวมถึงสนามเอสตาดิโอ โด มาราคานา หนึ่งในสนามหลักของการแข่งขันฟุตบอลโลกคราวนี้ ที่วันนี้ภาพของรูปปั้นพระเยซูกับสนามเอสตาดิโอฯ ถือเป็นอีกหนึ่งภาพยอดฮิตที่ได้รับการเผยแพร่กันอย่างกว้างขวาง
นอกจากรูปปั้นพระเยซูคริสต์แล้ว ในเมืองริโอ เดอ จาเนโร ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์ หาดอีปาเนมา หาดโคปากาบานา รวมถึง“ฟาเวลา” ที่เป็นถิ่นกำเนิดนักเตะชื่อดังหลายคนของบราซิล เช่น โรนัลโด โรนัลดินโญ ซึ่งแม้ที่นี่จะเป็นย่านชุมชนแออัด แต่นักท่องเที่ยวจำนวนมากกลับต้องการที่จะมาทัวร์ยังที่แห่งนี้เพื่อสัมผัสกลิ่นอายวิถีฟุตบอลแห่งดินแดนแซมบ้า
และนั่นก็เป็นไฮไลท์สำคัญที่มีทั้งเอกลักษณ์ สัญลักษณ์ และอัตลักษณ์แห่งความเป็นบราซิล ประเทศเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งงานนี้ลีลาแซมบ้าจะพาทีมชาติบราซิลไปถึงฝั่งฝัน ครองแชมป์โลกสมัยที่ 6 ในบ้านตัวเองได้หรือเปล่า? หรือทีมอื่นจะได้แชมป์? หรือทีมจากยุโรปจะล้างอาถรรพ์คว้าแชมป์มาครองในอเมริกาใต้ได้เป็นครั้งแรก คงต้องติดตามกันต่อไป
เพราะอีกไม่นานได้รู้กัน!?!
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
ฟุตบอลโลก บราซิล 2014 หนนี้ ใครรักทีมไหน ชอบทีมไหนก็เชียร์ทีมนั้น หรือใครชอบหลายทีมประเภทรักพี่เสียดายน้องก็เชียร์มันทั้งหมดนั่นแหละ
แต่สุดท้ายยังไงทีมแชมป์ย่อมมีเพียงหนึ่งเดียว
ฟุตบอล-วัฒนธรรม
สำหรับบราซิลประเทศเจ้าภาพนั้น เป็นที่รู้กันดีว่ากีฬาฟุตบอลเป็นวิถีอยู่ในสายเลือด อยู่ใน DNA ของคนส่วนใหญ่ตั้งแต่ยาจกจนถึงเศรษฐีผู้มั่งคั่ง บางคนไม่มีอันจะกินไม่เป็นไรแต่ขอให้ได้เล่นฟุตบอลไว้ก่อน
นับเป็นประเทศแห่งฟุตบอลที่หลายๆคนยกให้เป็นเมกะแห่งฟุตบอล ซึ่งถ้าหากเอ่ยถึงความเป็นบราซิล “ฟุตบอล” ถือหนึ่งในอัตลักษณ์ที่บ่งบอกความบราซิลได้อย่างชัดเจน
นอกจากฟุตบอลแล้วบราซิลยังมีลีลา“แซมบ้า”เป็นอีกหนึ่งตัวตนอันเด่นชัดของประเทศนี้ จนสื่อมวลชนยกฉายาให้กับทีมชาติบราซิลว่า“ทีมแซมบ้า”อันลือลั่น
แซมบ้า เป็นแนวดนตรีและการเต้นรำอันสนุกสนานขึ้นชื่อ ถือกำเนิดใน รัฐบาเยีย ประเทศบราซิล โดยมีรากมาจากเมืองรีโอเดจาเนโรและแอฟริกา(ผ่านการค้าทาส) ที่เป็นการผสมวัฒนธรรมอเมริกาใต้กับแอฟริกาเข้าด้วยกัน
แซมบ้านับเป็นอีกหนึ่งมรดกทางวัฒนธรรมล้ำค่ายิ่งของบราซิล ซึ่งวันนี้ได้มีการต่อยอดกลายเป็นท่าเต้นเทรนด์ใหม่อันสุดมัน คือ “แซมบ้าโรบิค” ที่เป็นที่นิยมของผู้รักสุขภาพในต่างประเทศก่อนระบาดเข้ามาฮอตฮิตในบ้านเราถึงขนาดมีการเต้นแซมบ้าโรบิคทำลายสถิติโลกในบ้านเรากันเลยทีเดียว
อีกหนึ่งแนวดนตรีที่ถือกำเนิดในบราซิลแล้วกระจายระบาดไปทั่วโลก รวมถึงในบ้านเราก็ได้รับอิทธิพลมาเป็นอย่างมากนั่นก็คือ แนวเพลง “บอสซาโนว่า” หรือที่เรียกสั้นๆว่า “บอสซ่า”
บอสซาโนว่า เป็นการผสมผสานดนตรีแจ๊ซของแอฟริกัน-อเมริกัน กับดนตรีแซมบา ดนตรีพื้นบ้านของบราซิล มีหลักฐานว่าถือกำเนิดขึ้นในประเทศบราซิล ในช่วงปี ค.ศ. 1958 โดยอังโตนีอู การ์ลูช โชบิง, วีนีซีอุช จี โมไรช์ และชูเอา ชิลเบร์ตู
บอสซาโนว่า ได้ชื่อว่าเป็นดนตรีฟังเพลินสบายๆ ฟังแล้วได้กลิ่นอายแห่งท้องทะเล ชวนพักผ่อน ซึ่งศิลปินแนวบอสซ่าระดับโลกชาวบราซิลที่เป็นตำนานก็คือ “อันโตนิโอ คาร์ลอส โจบิม” (Antonio Carlos Jobim)หรือ“ทอม โจบิม” กับ “เจา กิลเบอร์โต้”(Joao Gilberto)
ส่วนอีกหนึ่งมรดกวัฒนธรรมบันเทิงที่มีชื่อเสียงก้องโลก ก็คือ “เทศกาลคาร์นิวัล” ที่เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นในหลายประเทศของผู้ศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิก สำหรับที่บราซิลจัดขึ้นที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร จึงถูกเรียกขานกันอีกชื่อหนึ่งว่า “ริโอ คาร์นิวัล”
ริโอ คาร์นิวัล เป็นมหกรรมแห่งความบันเทิงที่เต็มไปด้วยสีสัน อู้ฟู้ น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก จนได้รับการยอมรับว่าเป็นเทศกาลคาร์นิวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ริโอ คาร์นิวัล จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1930 โดยจัดขึ้นรวมเวลา 5 วัน ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนจะเริ่มเทศกาลมหาพรต (Lent) ของชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก หลังจากนั้นชาวคริสต์จะเข้าสู่ฤดูถือบวช 40 วัน
ในเทศกาลคาร์นิวัล บราซิล ผู้เข้าร่วมงานจะได้เพลิดเพลินกับขบวนพาเหรดของชาย หญิง และสาวประเภทสองในชุดแฟนซีสุดแซ่บ สีสันสดใส ที่ต่างมาด้วยความคึกคัก มาเต้นโยกย้ายส่ายสะโพกตามเพลง โดยเฉพาะกับจังหวะแซมบ้าอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวบราซิล
ขณะที่ศิลปะการต่อสู้อย่าง“คาโปเอร่า”(Capoeira) นั้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งประเทศบราซิลภาคภูมิใจ โดยมีการนำแสดงโชว์ในพิธีเปิดฟุตบอลโลกหนนี้ด้วย กับการผสมผสานกันระหว่างศิลปะการต่อสู้ ลีลาการเต้น ดนตรี วัฒนธรรม และปรัชญา นับเป็นหนึ่งในศิลปะการต่อสู้ประจำชาติบราซิลที่กำลังมาแรง ได้รับความนิยมไปในหลายประเทศทั่วโลก
อเมซอน-อีกัวซู
จากอัตลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรม มาดูไฮไลท์ทางด้านการท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อระบือโลกกันบ้าง ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าในบราซิลจะมีสิ่งมหัศจรรย์ของโลกจากการจัดอันดับใหม่อยู่มากถึง 3 แห่งด้วยกัน
เริ่มกันจาก 2 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ จากการจัดอันดับจากผลโหวตของมูลนิธิ “7 สิ่งมหัศจรรย์ใหม่ของโลก” ซึ่งได้แก่
“ป่าอเมซอน” ป่าขนาดยักษ์ที่มีขนาดเนื้อที่ 6.4 ล้านตารางกิโลเมตร กินพื้นที่กว้างถึง 2 ใน 5 ของทวีปอเมริกาใต้ ครอบคลุมพื้นที่ 9 ประเทศ ได้แก่ เปรู, โคลอมเบีย, เวเนซุเอลา, เอกวาดอร์, โบลิเวีย, กายอานา, ซูรินาม, เฟรนช์เกียนา และบราซิลที่เป็นเจ้าแห่งป่าอเมซอน เพราะกว่า 60 % ของป่าผืนนี้อยู่ในบราซิลถิ่นแซมบ้า
พื้นที่ป่าอเมซอนกว่าครึ่งเป็นป่าดิบชื้นที่ยังเหลืออยู่บนโลกนี้ นับเป็นเป็นป่าดิบชื้นเขตร้อนขนาดใหญ่ยักษ์ที่สุดในโลก ซึ่งวันนี้ป่าอเมซอนก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากป่าจำนวนมากทั่วโลกนั่นก็คือถูกคนรุกรานตัดไม้ทำลายป่าล่าสัตว์ ที่แม้ว่าป่าผืนนี้จะใหญ่แค่ไหนแต่สุดท้ายก็พ่ายน้ำมือมนุษย์อยู่ดี
ป่าอเมซอนแบ่งเป็นป่าตอนเหนือกับป่าตอนใต้ มีสิ่งแบ่งแยกสำคัญคือ “แม่น้ำอเมซอน” ที่มีต้นน้ำจากเทือกเขาแอนดีส(Andes) ประเทศเปรู ไหลจากตะวันตกไปตะวันออกผ่านหลายประเทศ ก่อนไหลลงมหาสมุทรแอตแลนติกที่ปากแม่น้ำประเทศบราซิล
แม่น้ำอเมซอนถือเป็นอีกหนึ่งแม่น้ำมหัศจรรย์ของโลก มีความยาวถึง 6,450 กิโลเมตร (4,010 ไมล์) ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากแม่น้ำไนล์(ยาว 6,670 กม.) แต่เป็นเป็นแม่น้ำที่กว้างที่สุดในโลก โดยส่วนที่กว้างที่สุดกว้างถึง 320 กิโลเมตรเลยทีเดียว
ขณะที่สิ่งสำคัญมากของแม่น้ำอเมซอนก็คือ 1 ใน 5 ของปริมาณน้ำจืดในโลกมาจากแม่น้ำแห่งนี้ ซึ่งมีแม่น้ำสาขากว่า 1,100 สาย โดยมีแม่น้ำสาขา 17 สายที่มีคามยาวมากถึงกว่า 1,000 ไมล์
ทั้งป่าอเมซอนและแม่น้ำอเมซอนถือเป็นดินแดนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นแดนดงดิบอันลี้ลับอันตราย เป็นแหล่งรวมสัตว์ประหลาด สัตว์แปลกๆของโลกมากมาย อาทิ กบแก้ว คางคกสุรินาม ลิงหัวล้าน เขียดงู ปลาไหลไฟฟ้า แมงมุมกินนกโกไลแอธ กบลูกดอกพิษ และพวกปลานักล่า เช่น ปลาปารายา ปลาเปคู รวมถึงสัตว์ประหลาดชื่อดัง อย่าง “อนาคอนดา”(Anaconda) เจ้างูยักษ์บันลือโลก, “คาปีบารา”(Capybara) สัตว์ประเภทหนูที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก, “สล็อธ” สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เชื่องช้าที่สุดในโลก และ “ปลาปิรันย่า” (Piranha) ปลานักล่าสุดโหดกับฟันอันแหลมคมกริบที่ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์หลายเรื่องด้วยกัน
นอกจากนี้ก็ยังมีสัตว์มาแรงอย่างเจ้า “ฟูเลโก”(Fuleco) ที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวมาสค็อตของฟุตบอลโลก 2014 ครั้งนี้
ฟูเลโก เป็นตัวนิ่มพันธุ์ทรีแบนเดด ที่ใกล้สูญพันธุ์ หลงเหลืออยู่ในโลกนี้น้อยเต็ม เจ้าตัวนิ่มฟูเลโกมันดูน่ารักยามม้วนตัวหลบอันตราย จะกลายเป็นก้อนกลมดูคล้ายลูกบอล ซึ่งเหตุที่ทางบราซิลเลือกมันมาเป็นมาสค็อตนั้นก็เพราะ ต้องการให้ผู้คนตระหนักถึงความสำคัญของธรรมชาติ ระบบนิเวศ และต้องร่วมกันอนุรักษ์ธรรมชาติให้คงอยู่
จากป่าอเมซอนป่ามหัศจรรย์มาสู่อีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ธรรมชาติแห่งบราซิล(และอาร์เจนตินา)นั่นก็คือ “น้ำตกอีกัวซู” น้ำตกใหญ่ที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน
น้ำตกอีกัวซู เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกยุคใหม่ เป็นน้ำตก 2 แผ่นดินตั้งอยู่บนรอยต่อของประเทศบราซิลกับอาร์เจนติน่า เต็ง 1 กับ เต็ง 2 ในฟุตบอลโลกหนนี้
น้ำตกอีกัวซูมีต้นกำเนิดจากแม่น้ำอีกัวซูที่ไหลมาจากที่ราบสูงปารานา ตกจากขอบที่ราบสูงขนาดใหญ่ลงสู่พื้นที่ราบเกินเป็นน้ำตกขนาดใหญ่มหึมา มีความสูงถึงกว่า 269 ฟุต มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร(บ้างก็ว่า 2.7 กม.) ซึ่งมีคนคำนวณว่าน้ำตกอีกัวซูขนาดใหญ่กว่าน้ำตกไนแองการ่าถึง 30 เท่า
สายน้ำตกอีกัวซูประกอบด้วยน้ำตกย่อยใหญ่-น้อยมากถึง 275 แห่ง มีปริมาณน้ำมากในช่วงเดือน พ.ย.-ม.ค. ส่วนช่วงเดือน เม.ย. - ต.ค. น้ำจะน้อย แต่ก็เป็นน้ำตกที่มีสายน้ำไหลถาโถมอลังการอยู่ตลอดทั้งปี โดยบริเวณรอบๆน้ำตก จะมีละอองน้ำฟุ้งกระจายอยู่ตลอด ยามต้องแสงแดดจะเกิดเป็นละลองรุ่งทอดตัวสวยงาม อีกทั้งยังมีเสียงดังสนั่นไปไกลถึง 24 กม. นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมน้ำตกอีกัวซูได้ทั้งฝั่งชายแดนบราซิลและอาร์เจนติน่า โดยทางฝั่งบราซิลจะสามารถมองเห็นน้ำตกได้ทั่วถึงและสวยงามแบบเต็มๆตา ส่วนทางฝั่งอาร์เจนฯสามารถเข้าชมน้ำตกได้ใกล้ชิดกว่า
พระเยซู-ริโอเดจาเนโร
จาก 2 สิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ มารู้จักกับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น(Man Made)ในบราซิลกันบ้างนั่นก็คือ “รูปปั้นพระเยซูคริสต์” แห่งเมือง “ริโอ เดอ จาเนโร”(Rio de Janeiro)อดีตเมืองหลวงของบราซิล(เมืองหลวงปัจจุบันของบราซิลคือ บรสซิเลีย)
รูปปั้นพระเยซูคริสต์ หรือ รูปปั้นพระคริสต์ผู้ไถ่บาป (Christ the Redeemer) หรือที่เรียกว่า “กริชตูเรเดงโตร์” ที่ออกแบบโดย เอโตร์ ดา ซิลวา กอชตา ชาวบราซิล และสร้างโดยปอล ลันดอฟสกี ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2474
รูปปั้นพระเยซูองค์นี้ มีความสูงถึง 38 เมตร ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติทิจูคา ยอดเขากอร์โกวาโด ที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกลและเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองและประจำประเทศ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และเป็นไฮไลท์สัญลักษณ์อันโด่งดังของบราซิล ที่ใครพอเห็นก็รู้ว่านี่คือประเทศบราซิล ซึ่งถูกคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
รูปปั้นพระเยซูคริสต์คือหนึ่งในไฮไลท์แหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองริโอฯ ซึ่งสามารถนั่งรถหรือนั่งรถไฟฟ้าขึ้นไป สักการะท่าน พร้อมกับชมอันทิวทัศน์งดงามของเมืองริโอฯ บนมุมสูงที่เมื่อมองลงมาจะเห็นวิวทิวทัศน์ของภูเขาและชายหาดที่อยู่ล้อมรอบบ้านเมือง รวมถึงสนามเอสตาดิโอ โด มาราคานา หนึ่งในสนามหลักของการแข่งขันฟุตบอลโลกคราวนี้ ที่วันนี้ภาพของรูปปั้นพระเยซูกับสนามเอสตาดิโอฯ ถือเป็นอีกหนึ่งภาพยอดฮิตที่ได้รับการเผยแพร่กันอย่างกว้างขวาง
นอกจากรูปปั้นพระเยซูคริสต์แล้ว ในเมืองริโอ เดอ จาเนโร ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเด่นๆ ได้แก่ สวนพฤกษศาสตร์ หาดอีปาเนมา หาดโคปากาบานา รวมถึง“ฟาเวลา” ที่เป็นถิ่นกำเนิดนักเตะชื่อดังหลายคนของบราซิล เช่น โรนัลโด โรนัลดินโญ ซึ่งแม้ที่นี่จะเป็นย่านชุมชนแออัด แต่นักท่องเที่ยวจำนวนมากกลับต้องการที่จะมาทัวร์ยังที่แห่งนี้เพื่อสัมผัสกลิ่นอายวิถีฟุตบอลแห่งดินแดนแซมบ้า
และนั่นก็เป็นไฮไลท์สำคัญที่มีทั้งเอกลักษณ์ สัญลักษณ์ และอัตลักษณ์แห่งความเป็นบราซิล ประเทศเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2014 ซึ่งงานนี้ลีลาแซมบ้าจะพาทีมชาติบราซิลไปถึงฝั่งฝัน ครองแชมป์โลกสมัยที่ 6 ในบ้านตัวเองได้หรือเปล่า? หรือทีมอื่นจะได้แชมป์? หรือทีมจากยุโรปจะล้างอาถรรพ์คว้าแชมป์มาครองในอเมริกาใต้ได้เป็นครั้งแรก คงต้องติดตามกันต่อไป
เพราะอีกไม่นานได้รู้กัน!?!
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com