วันที่ 12 มิ.ย.นี้แล้ว ที่มหกรรมฟุตบอลที่คนทั่วโลกรอคอยนั่นก็คือ มหกรรมฟุตบอลโลก 2014 หรือ FIFA World Cup 2014 จะเปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยในการแข่งขันครั้งนี้ ถือเป็นการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 20 จัดขึ้น ณ ประเทศบราซิล ในระหว่างวันที่ 12 มิ.ย.-13 ก.ค. 2557
สนามที่ใช้แข่งขันนั้นจะกระจายตัวอยู่ตามเมืองต่างๆ 12 เมือง ได้แก่ ริโอ เดอ จาเนโร, มาเนาส์, ฟอร์ตาเลซา, นาตาล, เรซิเฟ, ซัลวาดอร์, กูยาบา, บราซิเลีย, เบโล โฮริซอนเต, เซา เปาโล, คูริติบา และ ปอร์โต้ อเลเกร
ในช่วงที่มีมหกรรมฟุตบอลโลกนี้ คอบอลทั้งหลายก็ต่างหลั่งไหลมายังประเทศบราซิลเพื่อเข้าร่วมชมการแข่งขันฟุตบอลเป็นจำนวนมาก และต่างก็ตั้งตารอที่จะเชียร์ทีมโปรดให้ได้รับชัยชนะ แต่นอกเหนือจากช่วงเวลาที่จะเข้าไปเชียร์ฟุตบอลในสนามแล้ว ส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะไปเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ด้วยเช่นกัน
สำหรับประเทศบราซิลนั้นถือเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของการเดินทางท่องเที่ยว โดยเฉพาะที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร (Rio De Janeiro) นั่นก็เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งแต่ละแห่งนั้นก็งดงามอลังการ และน่าตื่นตาตื่นใจ
แหล่งท่องเที่ยวสำคัญในเมืองริโอ เดอ จาเนโร เริ่มจาก รูปปั้นพระเยซูคริสต์ หรือ รูปปั้นพระคริสต์ผู้ไถ่บาป (Christ the Redeemer) ซึ่งตั้งอยู่เหนือยอดเขากอร์โกวาโด ในเขตอุทยานแห่งชาติทิจูคา รูปปั้นพระเยซูคริสต์มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดย เอโตร์ ดา ซิลวา กอชตา ชาวบราซิล และสร้างโดยปอล ลันดอฟสกี ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี โดยทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2474
หากสนใจจะขึ้นไปชมรูปปั้นพระเยซูคริสต์ สามารถนั่งรถขึ้นไป หรือใช้บริการรถไฟฟ้า ก็จะได้ขึ้นไปชมทิวทัศน์งดงามของเมืองริโอ เดอ จาเนโร จากมุมสูง ที่จะมองเห็นทั้งภูเขาและชายหาดที่อยู่ล้อมรอบเมือง ซึ่งนอกจากที่นี่จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งหากว่ามาถึงเมืองริโอ เดอ จาเนโร แล้ว รูปปั้นพระเยซูคริสต์ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำเมือง และได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่อีกด้วย
สำหรับสถานที่ตั้งของรูปปั้นพระเยซูคริสต์ ตั้งอยู่ในเขตของอุทยานแห่งชาติทิจูคา (Tijuca Forest National Park) ซึ่งที่นี่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองริโอ เดอ จาเนโร ภายในเขตอุทยานจะเป็นพื้นที่ป่าดงดิบเดิมที่เคยถูกทำลายลงไปเพื่อทำไร่กาแฟ และมีการปลูกขึ้นมาใหม่จนกลายเป็นป่าดังที่เห็นในปัจจุบัน นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปเยี่ยมชม เดินเล่น หรือปั่นจักรยานตามเส้นทางที่มีการเตรียมไว้
กลับมาที่รูปปั้นพระเยซูคริสต์ ที่หากมองออกไปยังทิวทัศน์ด้านหน้าองค์พระ จะสามารถมองเห็น ภูเขาซูการ์โลฟ (Pao De Acucar) หรือภูเขาก้อนน้ำตาลที่ตั้งอยู่เคียงข้างกับยอดเขากอร์โกวาโด แต่มีความสูงเพียงครึ่งหนึ่งของรูปปั้นพระเยซูคริสต์ แต่ผู้คนก็ยังนิยมที่จะขึ้นไปชมความงามของทิวทัศน์เมืองริโอ เดอ จาเนโร โดยเฉพาะช่วงเวลาพระอาทิตย์อัสดง ที่แสงสีส้มยิ่งขับความงดงามของทิวทัศน์รอบๆ เมืองออกมาให้น่าดูยิ่งขึ้น
นอกจากจะมีธรรมชาติที่งดงามแล้ว ในเมืองริโอ เดอ จาเนโร ก็ยังมีสวนพฤกษศาสตร์ขนาดใหญ่ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมด้วยเช่นกัน ที่นี่มีชื่อว่า Botanical Garden หรือที่รู้จักกันในนาม Jardim Botanico สวนแห่งนี้ตั้งอยู่ติดกับแนวป่าของอุทยานแห่งชาติทิจูคา โดยภายในสวนนั้นเริ่มปลูกต้นไม้ต้นแรกเมื่อต้นปี ค.ศ.1800
ปัจจุบัน ภายในสวนพฤกษศาสตร์มีการปลูกต้นไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ที่นำเข้าจากหลากหลายประเทศทั้งในแถบละตินอเมริกา อเมริกา และยุโรป ซึ่งมีการจัดแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ และมีจุดเด่นอยู่ที่ บัววิกตอเรียขนาดใหญ่ และทิวแถวของต้นปาล์มที่ถูกไว้เป็นแนวสวยงาม
นอกจากริโอ เดอ จาเนโร จะเป็นเมืองสำคัญอันดับต้นๆ ของประเทศบราซิลแล้ว ก็ยังเป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยเฉพาะที่ 2 หาดสำคัญที่มีชื่อเสียงโด่งดัง และนักท่องเที่ยวต่างต้องการจะไปลองสัมผัสสักครั้ง นั่นก็คือ หาดโกปากาบานา และหาดอีปาเนมา
หาดโคปากาบานา (Copacabana Beach) ชายหาดแห่งนี้มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร มีทางเดินเลียบชายหาดสไตล์โปรตุเกสที่ปูกระเบื้องเป็นรูปคล้ายลอนคลื่นในทะเล ส่วนทิวทัศน์รอบข้างก็มีเสน่ห์ด้วยทิวเขาสูงสลับซับซ้อน ที่สำคัญ หาดแห่งนี้ยังถือเป็นย่านหรูของเมือง มีโรงแรมห้าดาว ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ร้านรวง และร้านอาหารต่างๆ มากมาย
หากมองลงมาจากด้านบนจะเห็นหาดโคปาคาบานาเป็นชายหาดโค้งรับกับหาดทรายขาวและน้ำทะเลสีฟ้าสดใส แต่สิ่งที่ทำให้ชายหาดดูมีสีสันก็คงเป็นสาวๆ แซมบ้าแสนเซ็กซี่กำลังอาบแดดบนชายหาดในชุดบิกินี ส่วนหนุ่มกล้ามโตผิวสีน้ำตาลสวยในกางเกงว่ายน้ำก็น่าดูไม่แพ้กัน โดยกิจกรรมบนชายหาดแห่งนี้นอกจากจะมาอาบแดดและเล่นน้ำทะเลกันแล้ว วอลเลย์บอลและฟุตบอลชายหาดก็เป็นกิจกรรมที่นิยมไม่แพ้กัน
แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยชอบความวุ่นวายมากนัก ต้องมาที่ หาดอีปาเนมา (Ipanema Beach) ที่แม้ว่าจะมีความสวยงามคล้ายคลึงกัน แต่ก็มีนักท่องเที่ยวน้อยกว่า โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นชาวท้องถิ่นที่เข้ามาพักผ่อน มีการแบ่งพื้นที่ของหาดออกเป็นส่วนของครอบครัว และส่วนของชาวเกย์
เดินเล่นย่านหรูๆ กันแล้ว ไปดูย่านชุมชนแออัดเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้างดีกว่า ที่ ฟาเวลา (Favela) ที่เป็นบ้านเรือนปลูกไล่กันไปบนภูเขาหลายร้อยหลายพันหลัง ดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ แต่ส่วนมากคนที่มาที่นี่มักจะซื้อทัวร์มา หรือมากับไกด์ทัวร์เพราะจะปลอดภัยที่สุด แม้จะเป็นถิ่นอันตราย แต่นักเตะชื่อดังหลายคนก็เติบโตมาจากที่นี่ ทั้งโรนัลโด โรนัลดินโญ ขวัญใจใครหลายคน
เมื่อพูดถึงนักเตะ หลายคนอาจจะอยากไปสัมผัสบรรยากาศของฟุตบอลโลกเต็มแก่แล้ว ซึ่งที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร ก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่เป็นสถานที่ในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนี้ และจะมาเตะกันที่ สนามเอสตาดิโอ โด มาราคานา (Estadio do Maracana) หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สนามมาราคานา
สนามฟุตบอลแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลก 1950 ที่ประเทศบราซิลเป็นเจ้าภาพ โดยในนัดชิงชนะเลิศที่ บราซิล แพ้ อุรุกวัย 2-1 ก็ใช้สนามนี้ในการแข่งขัน และอุรุกวัยก็คว้าแชมป์โลกในครั้งนั้นไปครอง โดยในครั้งแรกที่สร้างสนามนั้นสามารถจุผู้ชมได้ถึง 180,000 คน แต่เมื่อมีการปรับปรุงสนามขึ้นใหม่เพื่อให้สามารถชมเกมการแข่งขันได้ชัดเจนขึ้นและเพื่อความปลอดภัยในการเข้าชม ก็ลดขนาดความจุคนลงมาได้เพียง 73,916 คน แต่หากรวมที่ยืนด้วยจะจุคนได้ 103,022 คน ซึ่งในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ครั้งนี้ สนามแห่งนี้ก็ใช้แข่งขันในรอบชิงชนะเลิศด้วยเช่นกัน
หากใครไปท่องเที่ยวที่เมืองริโอ เดอ จาเนโร หรือในประเทศบราซิลในช่วงเวลานี้ คงจะได้สัมผัสกับบรรยากาศการเชียร์ฟุตบอลโลกอย่างเข้มข้นในทั่วทุกพื้นที่ และหากไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แล้ว การเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลโลกด้วยตาตัวเองสักครั้ง ก็คงจะได้รับประสบการณ์ที่ดีไม่น้อยเลยทีเดียว
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com