ASTV ผู้จัดการรายวัน - ตลาดหุ้นไทย ชี้นักลงทุนต่างชาติมั่นใจเศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นหลังคสช.ยึดอำนาจ พบขนเงินกลับมาเข้าเทรดมากขึ้น คาดวอลุ่มเทรดทั้งปีเฉลี่ย3.5 หมื่นล้านบาท/วัน ล่าสุดดัชนีพักฐานปิดลบ 5 จุด ยังไร้ปัจจัยใหม่ผลักดัน ส่วน RS เทรดสนั่น 1.6 พันล้าน รับผลชนะสิทธิ์ฟุตบอลโลก โบรกฯชี้แค่ปัจจัยบวกระยะสั้น ระยะยาวยังเสี่ยงอีกทั้งราคาเต็มมูลค่าไปแล้ว
นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า มูลค่าการซื้อขายหุ้นไทยที่สูงถึง 50,000 ล้านบาทต่อวัน ตั้งแต่วันที่มีการประกาศกฎอัยการศึก สะท้อนให้เห็นว่านอกจากต่างชาติจะเชื่อมั่นหุ้นไทยแล้ว นักลงทุนรายย่อยก็ไม่ได้กังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง และ ดัชนีหุ้นไทยก็ปรับตัวกลับขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,400 จุดได้ โดยในสิ้นเดือนพฤษภาคม ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,415.73 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากสิ้นปี 2556 สูงกว่าประเทศสิงคโปร์ และ ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ โดยมีระดับราคาต่อกำไรสุทธิที่ 13.75 เท่า ต่ำกว่าในหลายประเทศ แต่อัตราการจ่ายเงินปันผลยังสูงถึงร้อยละ 3.20
“ถือว่าตลาดหุ้นไทยยังมีศักยภาพ และมีเสถียรภาพดี สามารถต้านทานต่อปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนได้ อย่างไรก็ตามมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้ น่าจะอยู่ที่ 35,000 -36,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 40,000 ล้านบาท สาเหตุเพราะในช่วงไตรมาสแรก มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างต่ำ จากปัญหาการเมือง”
นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.เข้ามาควบคุมการปกครองให้อยู่ในความสงบและมีนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น สะท้อนจากแรงซื้อกลับของผู้ลงทุนต่างชาติ ที่ซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย. ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 11 มิ.ย. 2557 เป็นยอดซื้อสุทธิประมาณ7,000 ล้านบาท ทำให้ล่าสุดยอดการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติอยู่ที่ 4.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17 จาก 3.6 ล้านล้านบาท ในเดือนมกราคม 2557 หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ โดยมาจากการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยร้อยละ 11-12 และ การถือครองหุ้นไทยของต่างชาติประมาณร้อยละ 33.7 ใกล้เคียงกับปี 2555 และ 2556 แม้เกิดการยึดอำนาจการปกครองทางการเมือง
ล่าสุดปิดตลาดวานนี้(11มิ.ย.) ดัชนีหลักทรัพย์ปิดที่ระดับ 1,463.71 จุด ลดลง 5.48 จุด หรือ 0.37% มูลค่าการซื้อขาย 64,760 ล้านบาท ปรับฐานจากวันก่อนที่ปรับขึ้นไปมาก โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,470.85 จุด และต่ำสุดที่ 1,456.74 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวไซด์เวย์และซึมลงมา นักลงทุนยังเลือกเล่นเป็นรายกลุ่มตามประเด็นข่าว จากภาพรวมกลุ่มที่กดดัชนีลงมายังเป็นสื่อสารขนาดใหญ่ แต่ก็มีตัวบวกเข้ามาด้วย เช่น TRUE ทำให้ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ (11มิ.ย.) น่าจะเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับวันนี้ โดยปัจจัยในประเทศ เรื่องแผนโรดแมพนั้นตลาดรับรู้ไปแล้ว ส่วนการใช้จ่ายงบประมาณในช่วงไตรมาส 2-3 คงจะมีออกมาเป็นระยะ และจากนี้ไปคงมีข่าวเกี่ยวกับแต่ละกลุ่มออกมา แต่ไม่ได้มีผลไปทั้งหมด หากยังเคลื่อนไหวในลักษณะซึมไปซึมมาแบบนี้ แนะให้ตั้งรอที่แนวรับ 1,450 จุด ขณะที่แนวต้านนั้น หลังจากที่ยังไม่ผ่าน 1,470 หรือ 1,475 จุดก็ให้เป็นแนวต้านไป
ขณะเดียวกัน วานนี้ มีเรื่องศาลตัดสินกรณีการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกของ บมจ.อาร์เอส (RS) กับ กสทช. ซึ่งผลสรุป RS เป็นฝ่ายชนะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเมื่อเวลา เมื่อเวลา 10.14 น.ความเคลื่อนไหวหุ้น RS ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.27% อยู่ที่ 9.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท และปิดตลาดที่ระดับ 9.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บา หรือ 3.41% มูลค่าการซื้อขาย 1,679.72 ล้านบาท
นายดิษฐนพ วัธนเวคิน นักวิเคราะห์การลงทุน บล.เคเคเทรด ระบุศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ RS ชนะคดี Must Have กรณีถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย World Cup 2014 ไม่ต้องถ่ายทอดสดทางฟรีทีวีหมดทั้ง 64 แมตช์ แต่กฎมัสต์แฮฟยังใช้ต่อไป ด้าน กสท. น้อมรับคำตัดสินศาลปกครองรับทำหน้าที่ดีที่สุด ทั้งนี้ บล.เคเคเทรดประเมินเป้าหมายกำไรของ RS หากชนะคดีมีโอกาสที่กำไรจะดีกว่าคาด เนื่องจากล่าสุด RS ขายสิทธิ์ช่องฟุตบอลโลกเพิ่มให้กับ True Visions ในราคา 26 ล้านบาทเข้ามาเพิ่ม ทำให้เป้าหมายการทำกำไรในปี 2557 ของผู้บริหารปรับเพิ่มขึ้นเป็น 476 ล้านบาท คิดเป็น EPS 0.47 บาท ประเมินจาก EPS เทียบกับ P/E ที่ 20 – 25 เท่า จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 9.30 – 11.60 บา
“ระยะสั้นยังมองบอลโลกเป็นปัจจัยบวก ดังนั้นหากราคาหุ้นอ่อนตัวเป็นโอกาสเข้าเก็งกำไรตามกรอบช่วงการแข่งขัน 12 มิ.ย. – 13 ก.ค. ขณะที่ตามปัจจัยพื้นฐานระยะยาวเรายังกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงกำไรอ่อนตัวในครึ่งปีหลัง จึงยังคงคำแนะนำเพียง “ถือ”
ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่าการที่ RS ชนะ เป็น sentiment บวกและเป็นโอกาสในการขายเพราะราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น P/E 17.6 เท่าในปีนี้และ 21 เท่าในปีหน้า ซึ่งราคาหุ้นเต็มมูลค่าอยู่ที่ 8.30 บาทอยู่ดี ยังคงแนะนำขาย
นายภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า มูลค่าการซื้อขายหุ้นไทยที่สูงถึง 50,000 ล้านบาทต่อวัน ตั้งแต่วันที่มีการประกาศกฎอัยการศึก สะท้อนให้เห็นว่านอกจากต่างชาติจะเชื่อมั่นหุ้นไทยแล้ว นักลงทุนรายย่อยก็ไม่ได้กังวลต่อสถานการณ์ทางการเมือง และ ดัชนีหุ้นไทยก็ปรับตัวกลับขึ้นมายืนเหนือระดับ 1,400 จุดได้ โดยในสิ้นเดือนพฤษภาคม ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,415.73 จุด เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากสิ้นปี 2556 สูงกว่าประเทศสิงคโปร์ และ ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่ โดยมีระดับราคาต่อกำไรสุทธิที่ 13.75 เท่า ต่ำกว่าในหลายประเทศ แต่อัตราการจ่ายเงินปันผลยังสูงถึงร้อยละ 3.20
“ถือว่าตลาดหุ้นไทยยังมีศักยภาพ และมีเสถียรภาพดี สามารถต้านทานต่อปัจจัยที่มีความไม่แน่นอนได้ อย่างไรก็ตามมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปีนี้ น่าจะอยู่ที่ 35,000 -36,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 40,000 ล้านบาท สาเหตุเพราะในช่วงไตรมาสแรก มูลค่าการซื้อขายค่อนข้างต่ำ จากปัญหาการเมือง”
นายเกียรติพงศ์ อริยปรัชญา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช.เข้ามาควบคุมการปกครองให้อยู่ในความสงบและมีนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีความมั่นใจต่อเศรษฐกิจไทยมากขึ้น สะท้อนจากแรงซื้อกลับของผู้ลงทุนต่างชาติ ที่ซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 2 มิ.ย. ที่ผ่านมา จนถึงวันที่ 11 มิ.ย. 2557 เป็นยอดซื้อสุทธิประมาณ7,000 ล้านบาท ทำให้ล่าสุดยอดการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติอยู่ที่ 4.2 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17 จาก 3.6 ล้านล้านบาท ในเดือนมกราคม 2557 หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่าตลาดหลักทรัพย์ โดยมาจากการปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยร้อยละ 11-12 และ การถือครองหุ้นไทยของต่างชาติประมาณร้อยละ 33.7 ใกล้เคียงกับปี 2555 และ 2556 แม้เกิดการยึดอำนาจการปกครองทางการเมือง
ล่าสุดปิดตลาดวานนี้(11มิ.ย.) ดัชนีหลักทรัพย์ปิดที่ระดับ 1,463.71 จุด ลดลง 5.48 จุด หรือ 0.37% มูลค่าการซื้อขาย 64,760 ล้านบาท ปรับฐานจากวันก่อนที่ปรับขึ้นไปมาก โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,470.85 จุด และต่ำสุดที่ 1,456.74 จุด
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้แกว่งตัวไซด์เวย์และซึมลงมา นักลงทุนยังเลือกเล่นเป็นรายกลุ่มตามประเด็นข่าว จากภาพรวมกลุ่มที่กดดัชนีลงมายังเป็นสื่อสารขนาดใหญ่ แต่ก็มีตัวบวกเข้ามาด้วย เช่น TRUE ทำให้ทิศทางตลาดหุ้นไทยวันนี้ (11มิ.ย.) น่าจะเคลื่อนไหวเช่นเดียวกับวันนี้ โดยปัจจัยในประเทศ เรื่องแผนโรดแมพนั้นตลาดรับรู้ไปแล้ว ส่วนการใช้จ่ายงบประมาณในช่วงไตรมาส 2-3 คงจะมีออกมาเป็นระยะ และจากนี้ไปคงมีข่าวเกี่ยวกับแต่ละกลุ่มออกมา แต่ไม่ได้มีผลไปทั้งหมด หากยังเคลื่อนไหวในลักษณะซึมไปซึมมาแบบนี้ แนะให้ตั้งรอที่แนวรับ 1,450 จุด ขณะที่แนวต้านนั้น หลังจากที่ยังไม่ผ่าน 1,470 หรือ 1,475 จุดก็ให้เป็นแนวต้านไป
ขณะเดียวกัน วานนี้ มีเรื่องศาลตัดสินกรณีการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกของ บมจ.อาร์เอส (RS) กับ กสทช. ซึ่งผลสรุป RS เป็นฝ่ายชนะทำให้ราคาหุ้นของบริษัทวานนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเมื่อเวลา เมื่อเวลา 10.14 น.ความเคลื่อนไหวหุ้น RS ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.27% อยู่ที่ 9.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท และปิดตลาดที่ระดับ 9.10 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บา หรือ 3.41% มูลค่าการซื้อขาย 1,679.72 ล้านบาท
นายดิษฐนพ วัธนเวคิน นักวิเคราะห์การลงทุน บล.เคเคเทรด ระบุศาลปกครองสูงสุดตัดสินให้ RS ชนะคดี Must Have กรณีถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย World Cup 2014 ไม่ต้องถ่ายทอดสดทางฟรีทีวีหมดทั้ง 64 แมตช์ แต่กฎมัสต์แฮฟยังใช้ต่อไป ด้าน กสท. น้อมรับคำตัดสินศาลปกครองรับทำหน้าที่ดีที่สุด ทั้งนี้ บล.เคเคเทรดประเมินเป้าหมายกำไรของ RS หากชนะคดีมีโอกาสที่กำไรจะดีกว่าคาด เนื่องจากล่าสุด RS ขายสิทธิ์ช่องฟุตบอลโลกเพิ่มให้กับ True Visions ในราคา 26 ล้านบาทเข้ามาเพิ่ม ทำให้เป้าหมายการทำกำไรในปี 2557 ของผู้บริหารปรับเพิ่มขึ้นเป็น 476 ล้านบาท คิดเป็น EPS 0.47 บาท ประเมินจาก EPS เทียบกับ P/E ที่ 20 – 25 เท่า จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 9.30 – 11.60 บา
“ระยะสั้นยังมองบอลโลกเป็นปัจจัยบวก ดังนั้นหากราคาหุ้นอ่อนตัวเป็นโอกาสเข้าเก็งกำไรตามกรอบช่วงการแข่งขัน 12 มิ.ย. – 13 ก.ค. ขณะที่ตามปัจจัยพื้นฐานระยะยาวเรายังกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงกำไรอ่อนตัวในครึ่งปีหลัง จึงยังคงคำแนะนำเพียง “ถือ”
ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่าการที่ RS ชนะ เป็น sentiment บวกและเป็นโอกาสในการขายเพราะราคาหุ้นปัจจุบันคิดเป็น P/E 17.6 เท่าในปีนี้และ 21 เท่าในปีหน้า ซึ่งราคาหุ้นเต็มมูลค่าอยู่ที่ 8.30 บาทอยู่ดี ยังคงแนะนำขาย