โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
จากอดีตแดนนรก ปัจจุบันหมู่เกาะ“ตะรุเตา” จ.สตูล กลายเป็นแดนสวรรค์ที่นักท่องเที่ยวถวิลหา
ความสวยงามของหมู่เกาะตะรุเตาในวันนี้ ส่วนใหญ่ยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติอันพิสุทธิ์ จะมีก็แต่เกาะหลีเป๊ะที่วันนี้ดูเติบโตเร็วแบบก้าวกระโดดจากชื่อเสียงทางการท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง
1...
เสน่ห์ความงามของทะเลตะรุเตานั้นอยู่ในขั้นชั้นเลิศของท้องทะเลไทย ที่นี่มากไปด้วยธรรมชาติเฉพาะตัวอันเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกาะเล็กเกาะน้อยหลายเกาะต่างมีลักษณะของธรรมชาติเฉพาะตัวให้สัมผัสกันอย่างอิ่มตาจุใจ ไม่ว่าจะเป็น
“เกาะไข่” เป็นเกาะเล็กๆ หน้าหาดมีหาดทรายยาวขาวเนียนทอดตัวไปสู่ “ซุ้มประตูหิน” ดูแข็งแกร่งแต่แฝงความอ่อนน้อมอยู่ในทีกับรูปทรงโค้งงาม ซุ้มประตูหินแห่งนี้ถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์แห่งตะรุเตาและสัญลักษณ์ของจังหวัดสตูล ที่ตอนหลังมีการผูกสร้างเรื่องราวความเชื่อเพื่อการท่องเที่ยวเข้ามาว่า ถ้าคู่รักได้มาเดินควงคู่กันลอดซุ้มประตูหินแห่งนี้ ความรักก็จะสมหวังยั่งยืน
“เกาะหินซ้อน” เป็นดังกองหินโผล่กลางทะเล แต่มีความโดดเด่นด้วยก้อนหินใหญ่ที่วางซ้อนกัน หากเข้าไปดูใกล้ๆ จะพบว่าหินก้อนล่างนั้นแตก ส่วนหินก้อนบนวางแบบเหลื่อมๆ เหมือนจะตกไม่ตกแหล่ แต่ก็ไม่เคยตกสักที
“เกาะรอกลอย” เกาะเล็กจิ๋วที่อยู่ตรงข้ามกับเกาะดง ทิวทัศน์ที่เกาะนี้งดงามนัก โดยเฉพาะทะเลน้ำตื้นระหว่างเกาะทั้งสองนั้นสวยงามจับใจ น้ำทะเลใสแจ๋วออกสีมรกตอ่อนๆ มองเห็นพื้นทรายน่าแหวกว่ายเป็นยิ่งนัก ประหนึ่งดังสระเปิดกลางท้องทะเล
“เกาะจาบัง” เป็นเกาะหินที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่โลกใต้น้ำที่นี่ที่เรียกว่าร่องน้ำจาบังนั้นสุดยอดทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยฝูงปลา ปะการังอ่อน ดอกไม้ทะเล โดยเฉพาะกลุ่มปะการังเจ็ดสีที่นี่ถือว่าสวยงามมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล
2...
ที่หมู่เกาะตะรุเตายังมีเกาะพิเศษอีกหนึ่งเกาะนั่นก็คือ “เกาะหินงาม”ที่มีธรรมชาติไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
เกาะหินงามเป็นเกาะเล็กๆ ที่ดูไกลเหมือนมีหาดทรายสีดำ แต่เมื่อเข้าไปใกล้จะพบว่าเกาะนี้ไม่มีหาดทราย หากแต่ว่าหาดสีดำนั้นคือก้อนหินที่ปรากฏไปทั่วบริเวณ นับเป็นความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมา
หินที่เกาะหินงามเป็นหินกลมมน สีเทาดำ ยามถูกน้ำจะดำแวววาววับ นักท่องเที่ยวจึงนิยมไปวักน้ำใส่แนวหิน เพื่อให้ถ่ายรูปออกมาดูดีสวยงาม
การเกิดของหินงามที่นี่ บ้างสันนิษฐานว่า เกิดจากกระแสน้ำที่ขึ้นลงอยู่บริเวณรอบเกาะ บีบตัวเข้ามาทางช่องแคบระหว่างเกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหลีเป๊ะ และหมู่เกาะดง ก่อให้เกิดกระแสน้ำที่เชี่ยวจัด โดยเฉพาะในหน้ามรสุม ส่งผลให้ผาหินของเกาะหินงามถูกคลื่นลม น้ำกัดเซาะ จนค่อยๆ พังลงมาแล้วถูกกระแสน้ำแรงกระแทกหินให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ จากนั้นถูกแรงของน้ำกัดเซาะ พัดให้หินเสียดสีกัน จนเหลี่ยมคมหาย กลายเป็นหินกลมมนสวยงามทั่วบริเวณชายหาด ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานเป็นพันเป็นหมื่นปี
บ้างก็สันนิษฐานว่า หินที่นี่เป็นหินที่มีทับถมอยู่ใต้ท้องทะเลมายาวนาน ความกลมมนเงางามของมันนั้นเกิดจากแรงกัดกร่อนจากคลื่นนับล้านๆ ปี จนเกิดเป็นหาดหินงามดังเช่นทุกวันนี้
หินงามที่เกาะหินงามยังมีอีกเรื่องราวที่ถูกกล่าวขานกันมานั่นก็คือ ความเชื่อที่ว่า หินทุกก้อนบนเกาะหินงามต้องคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตา (รูปเคารพเจ้าพ่อตะรุเตาประดิษฐานอยู่บนเกาะตะรุเตา) ใครที่นำหินเหล่านี้ออกจากเกาะไป จะต้องมีอันเป็นไป!!! โดยมีคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตาติดไว้เตือนใจและเตือนจิตสำนึกของนักท่องเที่ยวว่า
“...ผู้ใดบังอาจเก็บหินจากเกาะนี้ไป ผู้นั้นจะพบแต่ความหายนะ นานาประการ จะกลับไม่ถึงบ้าน จะประสบอุบัติเหตุ จะหลุดพ้นจากหน้าที่การงาน จะพบภัยพิบัติไม่มีที่สิ้นสุด...”
เดิมข้อคำสาปนี้มีเฉพาะภาษาไทย แต่ปัจจุบันมีบอกเตือนกันถึง 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ และจีน
เรื่องนี้แม้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ที่ผ่านมาก็ได้ยินข่าว ได้ยินเรื่องเล่าถึงผู้ที่แอบลักลอบหยิบฉวยหินงามเหล่านี้กลับไป นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนนำกลับบ้านไปยังเมืองนอกเมืองนาที่อยู่ไกลโพ้นทะเล แต่สุดท้ายก็ต้องนำมาคืน หรือส่งคืนทางพัสดุเพราะอยู่ไม่เป็นสุข
ดังนั้นใครที่ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่และห้ามนำหินเหล่านี้กลับไป เพราะไม่ว่าผลทางด้านคำสาปจะเป็นอย่างไรแต่นั่นคือการทำผิดกฎหมายของอุทยานฯ ส่วนเรื่องคำสาปนั้น ถ้าไม่มีความเชื่อเรื่องคำสาป เกาะหินงามอาจถูกนักท่องเที่ยวหยิบฉวยก้อนหินงามๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้านไปคนละก้อนสองก้อน กลายเป็นเกาะหินหมดก็เป็นได้
3...
นอกจากเรื่องของความงาม คำสาปแล้ว เกาะหินงามยังมีความเชื่อในเรื่องของการเรียงหินเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นและสีสันของเกาะแห่งนี้ ซึ่งต้นทางดั้งเดิมของความเชื่อเรื่องการเรียงหินที่เกิดขึ้นในบ้านเรานั้น ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่ามาจากไหน แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นของเอเชีย บ้างว่ามาจากเกาหลี บ้างว่ามาจากญี่ปุ่น และบ้างก็ว่าจากพี่ไทยเราเองนี่แหละ โดยส่วนใหญ่จะเชื่อกันว่าถ้าได้เรียงหินต่อเป็นชั้นๆ ขึ้นไป เป็นเจดีย์หินแล้วอธิษฐานขอพรก็จะสมมาดปรารถนา
เดิมความเชื่อเรื่องการเรียงหินในเมืองไทยปรากฏแรกๆ เพียงไม่กี่แห่ง หนึ่งในนั้นก็คือที่เกาะหินงาม ก่อนที่ปัจจุบันมันจะระบาดไปทั่วเมืองไทย นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งเจอหินที่ไหน พวกเก็บหินตามธรรมชาติจับไปเรียงกันหมด เกาะตาชัยก็มี ภูกระดึงก็มี ในถ้ำก็มี บนเขาก็มี หรือแม้แต่ตามโบราณสถานก็ยังอุตส่าห์ไปเดินหาอิฐเก่าๆ มาเรียงกัน เอากับพวกเขาสิ (นอกจากเรียงหินแล้วก็ยังมีความเชื่อเรื่องไม้ค้ำหินใหญ่ ที่เชื่อว่าค้ำแล้วจะอายุยืนยาว ตามแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งจึงมีการนำกิ่งไม้ไปค้ำหินกันเพียบ โดยกิ่งไม้จำนวนมากนั้นถูกนักท่องเที่ยวหักทำลายมาเพื่อภารกิจเฉพาะคือค้ำหิน ขณะที่ต้นไม้ต้องถูกหักทำลายลงไป)
สำหรับการเรียงหินที่เกาะหินงามนั้น มีความเชื่อเล่าขานกันว่า ถ้าใครเรียงต่อกันขึ้นไปเป็นเจดีย์หิน เป็นคอนโดหินได้ 13 ชั้น 13 ก้อน บ้างก็ว่ายิ่งเรียงสูงเท่าไหร่ยิ่งดี แล้วอธิษฐานก็จะสำเร็จสมหวังดังปรารถนา ซึ่งนี่แม้จะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สร้างสีสันให้กับนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยยามเมื่อมาเที่ยวที่เกาะหินงาม
สมัยก่อนหลายๆ ทัวร์จัดให้การเรียงหินที่นี่เป็นไฮไลต์เลยทีเดียว มาเกาะตะรุเตาต้องลอดซุ้มประตูหินเกาะไข่ และต้องมาเรียงหินที่เกาะหินงาม ส่วนธรรมชาติสวยๆ งามๆ นั้นเป็นเรื่องรอง
อย่างไรก็ดี ความเชื่อเรื่องการเรียงหินที่เกาะหินงามในวันนี้ดูจะเปลี่ยนไป เพราะมีหลายฝ่ายได้รณรงค์ขอร้องว่า การเรียงหินที่เกาะหินงามยังทำได้เป็นปกติ ตามความเชื่อส่วนบุคคล หรือใครที่ไม่เชื่อจะเรียงเพื่อความเพลิดเพลินก็สุดแท้แต่
แต่ขอร้องหละ พลีส เมื่อเรียงหินได้ดังใจ อธิษฐานตามที่หวังแล้ว ช่วยนำหินกลับคืนสู่หาดหินเหมือนเดิมด้วย เพราะ...เมื่อเรียงหินขึ้นไปซ้อนกันเป็นเจดีย์แล้ว ยามเมื่อถูกลมแรงๆ พัดกระโชก เจดีย์หินที่วางไว้ไม่มั่นคงมีจุดเสถียรสมดุลเพียงเล็กน้อยก็จะโค่นพังลงมา ทำให้ก้อนหินบางก้อนแตกหักเปลี่ยนจากหินงามกลายเป็นหินแตก
เรื่องนี้บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้านักท่องเที่ยวมาเรียงหินกันเป็นจำนวนมาก แล้วปล่อยเจดีย์หินทิ้งไว้จนร่วงหล่นมาแตกหัก เมื่อสะสมมากขึ้นหลายปี หาดหินที่เต็มไปด้วยหินกลมมนสวย ก็มากไปด้วยก้อนหินที่แตกหักเข้ามาผสมแทน
อ้อ...แต่วิธีปฏิบัติการส่งก้อนหินจากเจดีย์คืนสู่หาดนั้นต้องทำแบบไม่รุนแรง ค่อยๆ หยิบหินลงมาคืน เพราะถ้าทำแบบหลุดแรง พังโครมมันลงมา หรือเตะทิ้ง โยนทิ้ง มันก็จะทำให้หินแตกได้เช่นกัน สุดท้ายจะกลายเป็นความหวังดีประสงค์ร้ายไป
4...
การไปเที่ยวเกาะหินงามและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในหมู่เกาะตะรุเตาหนล่าสุดของผมนั้น ไกด์ที่นำเที่ยวดีทีเดียวคือเตือนนักท่องเที่ยวในเรื่องการเรียงหินว่าถ้าเรียงเสร็จแล้วให้นำกลับคืนสู่หาด แต่บางบริษัทไกด์ก็ไม่ได้เตือน เห็นมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเรียงหินเสร็จแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ บิดก้นกลับไป
ส่วนที่แย่มากก็เห็นจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่ผมเจอในวันนั้น พวกพอเรียงหินเสร็จแล้วก็มานั่งเขวี้ยงหินเล่นซะอย่างงั้น บางคนโอ่กลับเพื่อนอย่างภูมิใจที่ปาหินตกแตกได้ แล้วหลังจากนั้นเมื่อถึงเวลานักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก็เดินกลับไปขึ้นเรือ
แต่...เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อนักปาหินบางคนเดินไปเหยียบหอยเม่นเข้าอย่างจัง จนร้องจ๊าก ต้องปฐมพยาบาลกันพักใหญ่ ถึงขึ้นเรือกลับได้
เหตุการณ์นี้จะว่าไปคงเป็นเหตุบังเอิญ เพราะนักท่องเที่ยวคนนั้นเดินเท้าเปล่าขึ้นมาเที่ยวเกาะหินงาม จึงพลั้งพลาดไปเดินเตะหอยเม่นเข้า เพราะตามชายหาดเกาะหินงามมีหอยเม่นแฝงตัวอยู่ไม่น้อย (นักท่องเที่ยวที่ขึ้น-ลงเรือต้องระวังให้ดี ควรใส่รองเท้าขึ้นไปบนเกาะ)
แต่ประทานโทษ!!!งานนี้เมื่อเห็นแล้ว ผมอดนึกถึงคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตาไม่ได้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com
จากอดีตแดนนรก ปัจจุบันหมู่เกาะ“ตะรุเตา” จ.สตูล กลายเป็นแดนสวรรค์ที่นักท่องเที่ยวถวิลหา
ความสวยงามของหมู่เกาะตะรุเตาในวันนี้ ส่วนใหญ่ยังคงไว้ซึ่งธรรมชาติอันพิสุทธิ์ จะมีก็แต่เกาะหลีเป๊ะที่วันนี้ดูเติบโตเร็วแบบก้าวกระโดดจากชื่อเสียงทางการท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง
1...
เสน่ห์ความงามของทะเลตะรุเตานั้นอยู่ในขั้นชั้นเลิศของท้องทะเลไทย ที่นี่มากไปด้วยธรรมชาติเฉพาะตัวอันเป็นเอกลักษณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกาะเล็กเกาะน้อยหลายเกาะต่างมีลักษณะของธรรมชาติเฉพาะตัวให้สัมผัสกันอย่างอิ่มตาจุใจ ไม่ว่าจะเป็น
“เกาะไข่” เป็นเกาะเล็กๆ หน้าหาดมีหาดทรายยาวขาวเนียนทอดตัวไปสู่ “ซุ้มประตูหิน” ดูแข็งแกร่งแต่แฝงความอ่อนน้อมอยู่ในทีกับรูปทรงโค้งงาม ซุ้มประตูหินแห่งนี้ถูกยกให้เป็นสัญลักษณ์แห่งตะรุเตาและสัญลักษณ์ของจังหวัดสตูล ที่ตอนหลังมีการผูกสร้างเรื่องราวความเชื่อเพื่อการท่องเที่ยวเข้ามาว่า ถ้าคู่รักได้มาเดินควงคู่กันลอดซุ้มประตูหินแห่งนี้ ความรักก็จะสมหวังยั่งยืน
“เกาะหินซ้อน” เป็นดังกองหินโผล่กลางทะเล แต่มีความโดดเด่นด้วยก้อนหินใหญ่ที่วางซ้อนกัน หากเข้าไปดูใกล้ๆ จะพบว่าหินก้อนล่างนั้นแตก ส่วนหินก้อนบนวางแบบเหลื่อมๆ เหมือนจะตกไม่ตกแหล่ แต่ก็ไม่เคยตกสักที
“เกาะรอกลอย” เกาะเล็กจิ๋วที่อยู่ตรงข้ามกับเกาะดง ทิวทัศน์ที่เกาะนี้งดงามนัก โดยเฉพาะทะเลน้ำตื้นระหว่างเกาะทั้งสองนั้นสวยงามจับใจ น้ำทะเลใสแจ๋วออกสีมรกตอ่อนๆ มองเห็นพื้นทรายน่าแหวกว่ายเป็นยิ่งนัก ประหนึ่งดังสระเปิดกลางท้องทะเล
“เกาะจาบัง” เป็นเกาะหินที่ไม่มีอะไรน่าสนใจ แต่โลกใต้น้ำที่นี่ที่เรียกว่าร่องน้ำจาบังนั้นสุดยอดทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยฝูงปลา ปะการังอ่อน ดอกไม้ทะเล โดยเฉพาะกลุ่มปะการังเจ็ดสีที่นี่ถือว่าสวยงามมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกล
2...
ที่หมู่เกาะตะรุเตายังมีเกาะพิเศษอีกหนึ่งเกาะนั่นก็คือ “เกาะหินงาม”ที่มีธรรมชาติไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
เกาะหินงามเป็นเกาะเล็กๆ ที่ดูไกลเหมือนมีหาดทรายสีดำ แต่เมื่อเข้าไปใกล้จะพบว่าเกาะนี้ไม่มีหาดทราย หากแต่ว่าหาดสีดำนั้นคือก้อนหินที่ปรากฏไปทั่วบริเวณ นับเป็นความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมา
หินที่เกาะหินงามเป็นหินกลมมน สีเทาดำ ยามถูกน้ำจะดำแวววาววับ นักท่องเที่ยวจึงนิยมไปวักน้ำใส่แนวหิน เพื่อให้ถ่ายรูปออกมาดูดีสวยงาม
การเกิดของหินงามที่นี่ บ้างสันนิษฐานว่า เกิดจากกระแสน้ำที่ขึ้นลงอยู่บริเวณรอบเกาะ บีบตัวเข้ามาทางช่องแคบระหว่างเกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหลีเป๊ะ และหมู่เกาะดง ก่อให้เกิดกระแสน้ำที่เชี่ยวจัด โดยเฉพาะในหน้ามรสุม ส่งผลให้ผาหินของเกาะหินงามถูกคลื่นลม น้ำกัดเซาะ จนค่อยๆ พังลงมาแล้วถูกกระแสน้ำแรงกระแทกหินให้แตกเป็นก้อนเล็กๆ จากนั้นถูกแรงของน้ำกัดเซาะ พัดให้หินเสียดสีกัน จนเหลี่ยมคมหาย กลายเป็นหินกลมมนสวยงามทั่วบริเวณชายหาด ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานเป็นพันเป็นหมื่นปี
บ้างก็สันนิษฐานว่า หินที่นี่เป็นหินที่มีทับถมอยู่ใต้ท้องทะเลมายาวนาน ความกลมมนเงางามของมันนั้นเกิดจากแรงกัดกร่อนจากคลื่นนับล้านๆ ปี จนเกิดเป็นหาดหินงามดังเช่นทุกวันนี้
หินงามที่เกาะหินงามยังมีอีกเรื่องราวที่ถูกกล่าวขานกันมานั่นก็คือ ความเชื่อที่ว่า หินทุกก้อนบนเกาะหินงามต้องคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตา (รูปเคารพเจ้าพ่อตะรุเตาประดิษฐานอยู่บนเกาะตะรุเตา) ใครที่นำหินเหล่านี้ออกจากเกาะไป จะต้องมีอันเป็นไป!!! โดยมีคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตาติดไว้เตือนใจและเตือนจิตสำนึกของนักท่องเที่ยวว่า
“...ผู้ใดบังอาจเก็บหินจากเกาะนี้ไป ผู้นั้นจะพบแต่ความหายนะ นานาประการ จะกลับไม่ถึงบ้าน จะประสบอุบัติเหตุ จะหลุดพ้นจากหน้าที่การงาน จะพบภัยพิบัติไม่มีที่สิ้นสุด...”
เดิมข้อคำสาปนี้มีเฉพาะภาษาไทย แต่ปัจจุบันมีบอกเตือนกันถึง 3 ภาษา คือ ไทย อังกฤษ และจีน
เรื่องนี้แม้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ที่ผ่านมาก็ได้ยินข่าว ได้ยินเรื่องเล่าถึงผู้ที่แอบลักลอบหยิบฉวยหินงามเหล่านี้กลับไป นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนนำกลับบ้านไปยังเมืองนอกเมืองนาที่อยู่ไกลโพ้นทะเล แต่สุดท้ายก็ต้องนำมาคืน หรือส่งคืนทางพัสดุเพราะอยู่ไม่เป็นสุข
ดังนั้นใครที่ไม่เชื่อก็ไม่ควรลบหลู่และห้ามนำหินเหล่านี้กลับไป เพราะไม่ว่าผลทางด้านคำสาปจะเป็นอย่างไรแต่นั่นคือการทำผิดกฎหมายของอุทยานฯ ส่วนเรื่องคำสาปนั้น ถ้าไม่มีความเชื่อเรื่องคำสาป เกาะหินงามอาจถูกนักท่องเที่ยวหยิบฉวยก้อนหินงามๆ ติดไม้ติดมือกลับบ้านไปคนละก้อนสองก้อน กลายเป็นเกาะหินหมดก็เป็นได้
3...
นอกจากเรื่องของความงาม คำสาปแล้ว เกาะหินงามยังมีความเชื่อในเรื่องของการเรียงหินเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นและสีสันของเกาะแห่งนี้ ซึ่งต้นทางดั้งเดิมของความเชื่อเรื่องการเรียงหินที่เกิดขึ้นในบ้านเรานั้น ไม่มีหลักฐานปรากฏแน่ชัดว่ามาจากไหน แต่ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นของเอเชีย บ้างว่ามาจากเกาหลี บ้างว่ามาจากญี่ปุ่น และบ้างก็ว่าจากพี่ไทยเราเองนี่แหละ โดยส่วนใหญ่จะเชื่อกันว่าถ้าได้เรียงหินต่อเป็นชั้นๆ ขึ้นไป เป็นเจดีย์หินแล้วอธิษฐานขอพรก็จะสมมาดปรารถนา
เดิมความเชื่อเรื่องการเรียงหินในเมืองไทยปรากฏแรกๆ เพียงไม่กี่แห่ง หนึ่งในนั้นก็คือที่เกาะหินงาม ก่อนที่ปัจจุบันมันจะระบาดไปทั่วเมืองไทย นักท่องเที่ยวจำนวนหนึ่งเจอหินที่ไหน พวกเก็บหินตามธรรมชาติจับไปเรียงกันหมด เกาะตาชัยก็มี ภูกระดึงก็มี ในถ้ำก็มี บนเขาก็มี หรือแม้แต่ตามโบราณสถานก็ยังอุตส่าห์ไปเดินหาอิฐเก่าๆ มาเรียงกัน เอากับพวกเขาสิ (นอกจากเรียงหินแล้วก็ยังมีความเชื่อเรื่องไม้ค้ำหินใหญ่ ที่เชื่อว่าค้ำแล้วจะอายุยืนยาว ตามแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งจึงมีการนำกิ่งไม้ไปค้ำหินกันเพียบ โดยกิ่งไม้จำนวนมากนั้นถูกนักท่องเที่ยวหักทำลายมาเพื่อภารกิจเฉพาะคือค้ำหิน ขณะที่ต้นไม้ต้องถูกหักทำลายลงไป)
สำหรับการเรียงหินที่เกาะหินงามนั้น มีความเชื่อเล่าขานกันว่า ถ้าใครเรียงต่อกันขึ้นไปเป็นเจดีย์หิน เป็นคอนโดหินได้ 13 ชั้น 13 ก้อน บ้างก็ว่ายิ่งเรียงสูงเท่าไหร่ยิ่งดี แล้วอธิษฐานก็จะสำเร็จสมหวังดังปรารถนา ซึ่งนี่แม้จะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สร้างสีสันให้กับนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อยยามเมื่อมาเที่ยวที่เกาะหินงาม
สมัยก่อนหลายๆ ทัวร์จัดให้การเรียงหินที่นี่เป็นไฮไลต์เลยทีเดียว มาเกาะตะรุเตาต้องลอดซุ้มประตูหินเกาะไข่ และต้องมาเรียงหินที่เกาะหินงาม ส่วนธรรมชาติสวยๆ งามๆ นั้นเป็นเรื่องรอง
อย่างไรก็ดี ความเชื่อเรื่องการเรียงหินที่เกาะหินงามในวันนี้ดูจะเปลี่ยนไป เพราะมีหลายฝ่ายได้รณรงค์ขอร้องว่า การเรียงหินที่เกาะหินงามยังทำได้เป็นปกติ ตามความเชื่อส่วนบุคคล หรือใครที่ไม่เชื่อจะเรียงเพื่อความเพลิดเพลินก็สุดแท้แต่
แต่ขอร้องหละ พลีส เมื่อเรียงหินได้ดังใจ อธิษฐานตามที่หวังแล้ว ช่วยนำหินกลับคืนสู่หาดหินเหมือนเดิมด้วย เพราะ...เมื่อเรียงหินขึ้นไปซ้อนกันเป็นเจดีย์แล้ว ยามเมื่อถูกลมแรงๆ พัดกระโชก เจดีย์หินที่วางไว้ไม่มั่นคงมีจุดเสถียรสมดุลเพียงเล็กน้อยก็จะโค่นพังลงมา ทำให้ก้อนหินบางก้อนแตกหักเปลี่ยนจากหินงามกลายเป็นหินแตก
เรื่องนี้บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้านักท่องเที่ยวมาเรียงหินกันเป็นจำนวนมาก แล้วปล่อยเจดีย์หินทิ้งไว้จนร่วงหล่นมาแตกหัก เมื่อสะสมมากขึ้นหลายปี หาดหินที่เต็มไปด้วยหินกลมมนสวย ก็มากไปด้วยก้อนหินที่แตกหักเข้ามาผสมแทน
อ้อ...แต่วิธีปฏิบัติการส่งก้อนหินจากเจดีย์คืนสู่หาดนั้นต้องทำแบบไม่รุนแรง ค่อยๆ หยิบหินลงมาคืน เพราะถ้าทำแบบหลุดแรง พังโครมมันลงมา หรือเตะทิ้ง โยนทิ้ง มันก็จะทำให้หินแตกได้เช่นกัน สุดท้ายจะกลายเป็นความหวังดีประสงค์ร้ายไป
4...
การไปเที่ยวเกาะหินงามและแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในหมู่เกาะตะรุเตาหนล่าสุดของผมนั้น ไกด์ที่นำเที่ยวดีทีเดียวคือเตือนนักท่องเที่ยวในเรื่องการเรียงหินว่าถ้าเรียงเสร็จแล้วให้นำกลับคืนสู่หาด แต่บางบริษัทไกด์ก็ไม่ได้เตือน เห็นมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเรียงหินเสร็จแล้วก็ปล่อยทิ้งไว้ บิดก้นกลับไป
ส่วนที่แย่มากก็เห็นจะเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่ผมเจอในวันนั้น พวกพอเรียงหินเสร็จแล้วก็มานั่งเขวี้ยงหินเล่นซะอย่างงั้น บางคนโอ่กลับเพื่อนอย่างภูมิใจที่ปาหินตกแตกได้ แล้วหลังจากนั้นเมื่อถึงเวลานักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ก็เดินกลับไปขึ้นเรือ
แต่...เรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อนักปาหินบางคนเดินไปเหยียบหอยเม่นเข้าอย่างจัง จนร้องจ๊าก ต้องปฐมพยาบาลกันพักใหญ่ ถึงขึ้นเรือกลับได้
เหตุการณ์นี้จะว่าไปคงเป็นเหตุบังเอิญ เพราะนักท่องเที่ยวคนนั้นเดินเท้าเปล่าขึ้นมาเที่ยวเกาะหินงาม จึงพลั้งพลาดไปเดินเตะหอยเม่นเข้า เพราะตามชายหาดเกาะหินงามมีหอยเม่นแฝงตัวอยู่ไม่น้อย (นักท่องเที่ยวที่ขึ้น-ลงเรือต้องระวังให้ดี ควรใส่รองเท้าขึ้นไปบนเกาะ)
แต่ประทานโทษ!!!งานนี้เมื่อเห็นแล้ว ผมอดนึกถึงคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตาไม่ได้
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com