“เมืองลับแล” เป็นอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งของจ.อุตรดิตถ์ ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาอันเงียบสงบ กล่าวกันว่าเมื่ออดีตที่นี่คงเป็นเมืองที่มีการเดินทางไปมาไม่สะดวกสบาย มีเส้นทางที่คดเคี้ยวทำให้คนที่ไม่ชำนาญเส้นทางอาจพลัดหลงได้ง่าย จึงทำให้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเมืองลับแล ซึ่งหมายถึงว่า มองไม่เห็น
และยังมีตำนานเกี่ยวกับเมืองลับแล เล่าสืบขานต่อกันมาว่า มีชายหนุ่มชาวทุ่งยั้งคนหนึ่ง เดินทางเข้าไปหาของป่า แล้วได้เกิดหลงเข้าไปในเมืองลับแล ที่ทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง และล้วนแต่มีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ซึ่งชายหนุ่มได้เกิดหลงรักสาวเมืองลับแล จึงสัญญาว่าจะอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดโกหก จึงได้อยู่กินกับหญิงคนหนึ่งจนมีลูกด้วยกัน
กระทั่งวันหนึ่งภรรยาไม่อยู่บ้าน ลูกก็ร้องไห้ไม่ยอมหยุด พ่อจึงปลอบลูกว่า “แม่มาแล้วๆ” เพื่อให้ลูกหยุดร้อง แต่ที่จริงแล้วแม่ยังไม่ได้กลับมา ซึ่งแม่ของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธที่ลูกเขยพูดโกหก พอลูกสาวกลับมาจึงไปบอกว่าลูกเขยได้พูดโกหก ทำให้ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ ทำให้ต้องไล่สามีออกจากหมู่บ้านไป
โดยได้จัดย่ามใส่เสบียง รวมทั้งหัวขมิ้นไปให้หลายแง่ง แต่กำชับว่าอย่างเพิ่งเปิดย่ามจนกว่าจะถึงบ้าน แต่ระหว่างทางที่เดินรู้สึกหนัก จึงหยิบขมิ้นทิ้งไปตามทางเรื่อยๆ พอกลับถึงบ้านหยิบขมิ้นขึ้นมาดู ปรากฏว่ากลายเป็นทองคำ ชายหนุ่มเสียดายมาก จึงย้อนกลับไปหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ แต่ขมิ้นเหล่านั้นงอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และแม้ว่าชายหนุ่มจะพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแลอีก แต่ก็ไม่สำเร็จ
นั่นเป็นตำนานที่เล่าขานถึงเมืองลับแล ที่อาจจะมองว่าเป็นเมืองเร้นลับเข้าไม่ถึง แต่ทว่าเมืองลับแลทุกวันนี้ ไม่ใช่เมืองลึกลับและเข้าถึงยากเลย เมืองลับแลกลับกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่น่าสนใจของจ. อุตรดิตถ์ไปเสียแล้ว อย่างที่มีโครงการ “Lady Journey go green เที่ยวใส่ใจ หัวใจสีเขียว” ชวนไปสัมผัสลับแล เมืองแห่งความสุขที่มีความเงียบสงบ มีวิถีชีวิต ประเพณีวัฒนธรรมอันน่าหลงใหล และมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ชวนเที่ยวมากมาย
ที่แรกที่ถ้ามาถึงเมืองลับแล แล้วก็ต้องไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนลับแลนับถือ คือที่ วัดพระแท่นศิลาอาสน์ สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ภายในวัดมีสิ่งเคารพศรัทธาคือ พระแท่นศิลาอาสน์ เป็นศิลาแลงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานพระแท่นโดยรอบประดับด้วยลายกลีบบัวอย่างงดงาม และมีมณฑปครอบไว้ พุทธศาสนิกชนนิยมพากันมาปิดทองสักการะพระแท่นศิลาอาสน์ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
นอกจากจะมีพระแท่นศิลาให้ได้กราบไหว้แล้ว ยังมีพระพุทธนิรันดร เป็นพระประธานภายในวิหาร หลวงพ่อธรรมจักรในโบสถ์ด้านข้าง และรอยพระพุทธบาทจำลองให้ได้สักการะ อีกทั้งบริเวณวัดยังมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองลับแล ที่ก่อตั้งโดยพระเฉลิมศิลป์ ชยปาโล ได้นำเอาศาลาการเปรียญเก่าตกแต่งแบบล้านนา มาทำเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้าน จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณ พระพุทธรูปเก่าแก่ที่หาชมได้ยากไว้มากมาย
แล้วมากราบขอพรกันต่อที่ วัดพระบรมธาตุทุ่งยั้ง เป็นวัดโบราณเก่าแก่ เดิมชื่อว่า วัดมหาธาตุ มีพระวิหารหลวงสถาปัตยกรรมเชียงแสน-ล้านนา หลังคาซ้อนสามชั้น ด้านในมีจิตกรรมฝาผนังเก่าแก่เรื่องพระสังข์ทอง และมีหลวงพ่อประธานเฒ่าเป็นพระประธาน เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ปางมารวิชัย ศิลปะเชียงแสนให้ได้กราบขอพร
และด้านหลังพระวิหาร มีองค์พระบรมธาตุเจดีย์ให้ได้กราบสักการะ ตามตำนานการสร้างกล่าวว่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาลิไท เจ้าเมืองสุโขทัย ทรงอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุไว้ แล้วก่อพระธาตุรูปเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ครอบเอาไว้ แต่เมื่อปี พ.ศ. 2451 เกิดแผ่นดินไหวยอดพระบรมธาตุพังลงมา จึงได้รับการปฏิสังขรณ์ใหม่ เป็นเจดีย์แบบลังกาทรงกลมฐานเป็นรูปสี่เหลี่ยม 3 ชั้น ฐานล่างมีเจดีย์องค์เล็กๆ เป็นบริวารอยู่ 4 มุม ฐานชั้นที่ 3 มีซุ้มคูหา 4 ด้าน
จากนั้นเดินทางมาลอด ซุ้มประตูเมืองลับแล ที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญของเมืองลับแล ดูยิ่งใหญ่ด้วยลักษณะสถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน ด้านข้างมีประติมากรรมแม่ม่ายเมืองลับแล เป็นรูปหญิงสาวอุ้มลูกน้อย ข้างๆ มีสามีนั่งคอตก ในมือถือย่ามใส่ขมิ้น บริเวณฐานจารึกข้อความ “ขอเพียงสัจจะวาจา”
และเดินทางไปเคารพ อนุสาวรีย์พระศรีพนมมาศ ซึ่งตั้งอยู่ตรงแยกตลาดสดเทศบาลศรีพนมมาศ พระศรีพนมมาศ เป็นปูชนียบุคคลที่สร้างความเจริญให้แก่อำเภอลับแลเป็นอย่างมาก อาทิ เป็นผู้วางผังเมืองลับแล สร้างฝายหลวง ส่งเสริมการเกษตร ฯลฯ ซึ่งคนลับแลให้ความเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง
แล้วไปไหว้พระกันต่อที่ วัดท้องลับแล เป็นวัดเก่าแก่ ที่มีสิ่งที่น่าสนใจชวนพิศวง คือ มีภาพสะท้อนหัวกลับให้ได้ชม จะปรากฏอยู่ในพระอุโบสถ ซึ่งจะมีช่องเล็กๆ ให้แสงส่องผ่านเข้ามา เกิดเป็นภาพสะท้อนตกกระทบเป็นภาพหัวกลับของเจดีย์แก้วข้างพระอุโบสถ ซึ่งการที่จะได้เห็นภาพหัวกลับต้องอาศัยแสงแดดจัดมากๆ และภายในพระอุโบสถยังมีพระพุทธรูปให้กราบไหว้ มีจิตกรรมฝาผนังที่เขียนเรื่องราวตำนานและวิถีชีวิตของชาวลับแลให้ได้ชม
อีกทั้งบริเวณวัดท้องลับแลยังมี หอแก้ว ซึ่งเป็นที่รวบรวมประวัติศาสตร์และภาพเก่าเมืองลับแลที่หาดูยาก มีหอไตรกลางน้ำ อายุหลายร้อยปีสร้างในสมัยอยุธยา
ปิดท้ายไปชมความงดงามของ วัดดอนสัก เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของเมืองลับแล สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา วัดแห่งนี้มีสิ่งที่ชวนให้มาชมเป็นอย่างมากคือ พระวิหารที่มีบานประตูแกะสลักอย่างวิจิตรงดงาม ด้านหน้า 1 ประตู ด้านหลัง 2 ประตู แกะสลักด้วยไม้สักลึกลงไปประมาณ 4 นิ้ว เป็นลวดลายกนกก้านขดไขว้ มีรูปหงส์ เทพพนม และยักษ์ เป็นศิลปะเชียงแสนผสมสุโขทัย ตัวเสาประตูเป็นลายกนกใบเทศสลับลายกนกก้ามปู รูปลายกนกก้านขด มีรูปสัตว์หิมพานต์แทรกอยู่ในลวดลายต่างๆ มีความอ่อนช้อยสวยวิจิตรอลังการมาก
ประตูบานซ้ายและบานขวาจะแกละสลักไม่เหมือนกัน แต่เมื่อปิดประกบทั้ง 2 บานแล้วลวดลายมีความกลมกลืนลงตัวเข้ากันได้สนิทงดงามตับตาเป็นยิ่งนัก จนได้รับการยกย่องว่าเป็นคู่บานประตูไม้จำหลักโบราณที่มีความสวยงามที่สุดคู่หนึ่งในจ.อุตรดิตถ์
สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของที่เที่ยวอันโดดเด่นที่น่าสนใจ ที่ถ้าหากใครมีโอกาสมาเยือนเมืองลับแล แล้วต้องไม่พลาดที่จะไปชมและไปสัมผัสกับมนต์เสน่ห์อันน่าหลงใหลของอำเภอลับแล จ.อุตรดิตถ์กันให้ได้ จะได้รู้ว่าลับแลไม่ใช่เมืองเร้นลับ แต่เป็นเมืองที่น่าหลงรักเสียมากกว่า
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานแพร่ (พื้นที่รับผิดชอบ แพร่ น่าน อุตรดิตถ์) โทร. 0-5452-1127
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!!
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com