เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีข่าวคราวกลุ่มผู้ประกอบการรถตุ๊กตุ๊กและแท็กซี่ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ได้ออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐเข้ามาดูแลปัญหากลุ่มทุนชาวรัสเซีย ที่เข้ามาแย่งประกอบธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ส่งผลกระทบให้กับชาวบ้านและผู้ประกอบการชาวไทยเป็นอย่างมาก จนทำให้เรื่องนี้เป็นกรณีที่สังคมเริ่มหันมาให้ความสนใจมากขึ้น
จุดเริ่มต้นก็มาจากการที่ จ.ภูเก็ต เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทย มีความงดงามจนได้ขึ้นชื่อว่าเป็นไข่มุกแห่งเอเชีย ประกอบด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติที่มีพร้อม ทั้งบนบก และในน้ำ อันเป็นช่องทางที่จะสามารถมาลงทุนในกิจการได้หลากหลาย โดยเฉพาะธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ที่มีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลและมีผลประโยชน์ต่างๆ มากมาย
รูปแบบของการเข้ามาทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยวนี้ จะเป็นในลักษณะแบบครบวงจร คือ เริ่มตั้งแต่เคาน์เตอร์ขายทัวร์ ซึ่งเคาน์เตอร์ขายทัวต์ต่างๆ ที่เห็นอยู่ในภูเก็ตจะมีกลุ่มเป้าหมายคือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาติที่ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษากลาง ซึ่งสังเกตได้จากป้ายแนะนำโปรแกรมทัวร์ และเคาน์เตอร์ขายทัวร์เหล่านี้ แม้จะมีชาวต่างชาติเป็นเจ้าของ แต่ก็ให้คนไทยมีชื่อจดทะเบียนเป็นเจ้าของ และถือหุ้นใหญ่ถูกต้องตามกฎหมายไทย แต่จะเป็นการกระทำในลักษณะเป็นนอมินี หรือตัวแทนบังหน้า เพื่อให้ปลอดภัยจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่รัฐ
สำหรับการขายทัวร์ ก็จะขายให้กับนักท่องเที่ยวมาตั้งแต่ประเทศต้นทาง และมีการเปิดสำนักงานรับรองอยู่ที่ภูเก็ต จากนั้นเมื่อเดินทางเข้ามายังภูเก็ต ก็จะใช้รถตู้ รถโค้ช หรือรถโดยสารที่เป็นของชาวต่างชาติ หรือเป็นของคนต่างพื้นที่ บริการรับส่ง และส่งต่อนักท่องเที่ยวไปยังที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกซึ่งมีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติเช่นกัน
การทำธุรกิจการท่องเที่ยวแบบครบวงจรเช่นนี้ ก็ทำให้คนในพื้นที่ที่เคยประกอบธุรกิจขายทัวร์ ร้านอาหาร ร้านของที่ระลึก หรือแม้แต่ตุ๊กตุ๊ก แท็กซี่ และรถสองแถวรับส่งนักท่องเที่ยว ไม่สามารถจะมีส่วนแบ่งนักท่องเที่ยวที่จะมาใช้บริการเลย
นอกจากการเข้ามาทำธุรกิจครบวงจรแล้ว ก็ยังมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบางส่วน ผันตัวเองมาเป็นไกด์ ทั้งที่ตามกฎหมายแล้วไม่อนุญาตให้คนต่างด้าวทำอาชีพนี้โดยเด็ดขาด เนื่องจากเป็นอาชีพสงวนของคนไทย โดยการทำหน้าที่ไกด์ของชาวต่างชาตินี้ มีทั้งในลักษณะกระทำอย่างโจ่งแจ้ง สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน และแบบที่ยังคลุมเครืออยู่ คือ มีการจ้างไกด์ชาวไทยให้มาเป็น Sitting Guide นั่งประดับเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจและจับกุมของเจ้าหน้าที่ แต่การบรรยาย หรือการนำเที่ยวและการจัดการต่างๆ ก็ยังเป็นหน้าที่ของไกด์ต่างชาติ
แต่ก่อนหน้าที่กรณีนี้จะเกิดขึ้นที่ภูเก็ต ก็เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี เมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทยแล้วเช่นกัน โดยหากสังเกตตามท้องถนนสายหลักๆ ในเมืองพัทยา ก็จะเห็นแต่เคาท์เตอร์ขายทัวร์ที่เน้นขายชาวต่างชาติ มีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวที่ถือหุ้นโดยชาวต่างชาติเช่นกัน และในปัจจุบัน นอกจากจะเห็นได้ชัดเจนที่ภูเก็ตแล้ว ก็ยังกระจายไปตามเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ ด้วย อาทิ เกาะสมุย เกาะเสม็ด และเขาหลัก
ข้อมูลจากผู้ประกอบการนำเที่ยวรายหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า การทำธุรกิจทัวร์ในลักษณะนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ประเทศไทย แต่เคยเกิดขึ้นที่ประเทศตุรกีมาแล้ว และยังเกิดขึ้นในบางประเทศแถบอาเซียนด้วย ยกเว้นที่ประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย เนื่องจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนพยายามดูแลการทำธุรกิจในลักษณะนี้
“ถามว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เริ่มจากที่การทำธุรกิจท่องเที่ยวของบ้านเราไม่ได้มีการควบคุมอย่างเข้มงวด หรือผู้ประกอบการที่เป็นคนไทย เป็นเจ้าของพื้นที่ เล็งเห็นแต่ผลประโยชน์ที่ต่างชาติหยิบยื่นมาให้โดยไม่ได้คำนึงถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างผิดวิธี เราก็ตกเป็นเหยื่อของเขา วันนึงเขาใช้ทรัพยากรบ้านเราหมด เขาก็ย้ายฐานไปที่อื่น”
“ที่บอกว่าคนที่เข้ามาทำทัวร์แบบนี้เป็นคนรัสเซีย จริงๆ แล้วคนรัสเซียแท้ๆ แทบจะไม่รู้เรื่องเลย คนที่มาทำแบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นคนรัสเซียในอดีต ที่ปัจจุบันเป็นกลุ่มประเทศที่แยกตัวออกมาจากรัสเซียแล้ว คนพวกนี้มีระดับการศึกษาสูงกว่าคนรัสเซียแท้ๆ ใช้ภาษากลางได้ดีมาก ฉะนั้นคนที่สร้างปัญหานี้อย่าไปบอกว่าเป็นคนรัสเซียร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะจะไม่เป็นธรรมกับพวกเขา และคนที่จะมาทำธุรกิจแบบนี้ได้ ก็เป็นพวกมีการศึกษาดี มีทุนเยอะ และศึกษาข้อมูลของประเทศนั้นๆ มาเป็นอย่างดี ว่าทำอย่างไรกฎหมายจะไม่สามารถเข้ามาตรวจสอบได้”
ผู้ประกอบการรายนี้ยังกล่าวต่ออีกว่า ส่วนตัวคิดว่าปัญหานี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น ถ้าไม่มีการเข้ามาตรวจสอบหรือควบคุม ซึ่งจริงๆ แล้วจะต้องได้รับความร่วมมือทั้งจากภาครัฐ ที่ต้องเข้ามาตรวจสอบว่าจะเอาผิดทางกฎหมายได้หรือไม่ เพราะส่วนใหญ่แล้ว เจ้าของที่เป็นชาวต่างชาติก็จะใช้คนไทยเป็นนอมินีในการจดทะเบียน
อีกส่วนคือภาคเอกชน ที่จะต้องร่วมมือกันมาดูว่าคนเหล่านี้เข้ามาแย่งอาชีพคนไทยทำหรือไม่ มีคนถามตนหลายครั้งแล้วว่า ถ้าผู้ประกอบการร่วมมือกันจะช่วยได้หรือไม่ ต้องตอบว่าเมื่อมีการวางแผนร่วมมือกันแล้ว ก็ต้องมีการลงมือปฏิบัติจริงด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะเหมือนกับการเขียนลงบนกระดาษ ไม่สามารถมองเห็นผลที่จะเกิดขึ้นจริงได้
“ส่วนตัวมีความรู้สึกว่า อาชีพในด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่ใช่อาชีพหลักที่เราชำนาญ เพียงแค่เราสนใจในอาชีพนี้ และมีการศึกษากันมา โดยการท่องเที่ยวนั้นมีศาสตร์มากมายหลายอย่างที่เข้ามาเกี่ยวข้อง และมีความเกี่ยวข้องกับคนอีกมากมาย และโดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติที่เรามีอยู่ ถ้าเราเข้าไปทำลายแล้ว ต่อให้มีกลยุทธ์ดีอย่างไร มีการทำการตลาดดีอย่างไร แต่ทรัพยากรธรรมชาติหมดลงไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้น เฉพาะส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง ในฐานะที่เป็นคนไทย ลูกค้าของเราจะเป็นใครก็แล้วแต่ จะต้องให้เขามาใช้ทรัพยากรของบ้านเราอย่างถูกวิธีและยั่งยืน นี่เป็นหน้าที่ของเรา”
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!!
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล travel_astvmgr@hotmail.com