ศูนย์ข่าวภูเก็ต - “ดีเอสไอ” ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงชาวต่างชาติตั้งบริษัทแย่งงานคนไทย เลือกพื้นที่ ต.เชิงทะเล จ.ภูเก็ต นำร่องแก้ปัญหาจัดการกลุ่มต่างชาติที่เข้ามาจัดตั้งบริษัทไม่ถูกต้อง เตรียมขอข้อมูลจากสำนักพัฒนาธุรกิจการค้าตรวจสอบการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทของชาวต่างชาติ
วันนี้ (13 ก.พ.) พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงพื้นที่ตำบลเชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเครือข่ายแท็กซี่ตำบลเชิงทะเล จ.ภูเก็ต รวมตัวเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐ เข้ามาแก้ไขปัญหากรณีกลุ่มทุนต่างชาติ ที่มีนักลงทุนชาวรัสเซีย และชาวเกาหลี เข้ามาแสวงหาประโยชน์ด้วยการประกอบธุรกิจนำเที่ยวแบบครบวงจร โดยมีตัวแทนจากเครือข่ายแท็กซี่ตำบลเชิงทะเล นำโดย นายเกษม สำราญ รองประธานเครือข่ายแท็กซี่ตำบลเชิงทะเล นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูล
นายเกษม สำราญ รองประธานเครือข่ายแท็กซี่ตำบลเชิงทะเล กล่าวว่า ปัญหาชาวรัสเซียเข้ามาแย่งงานคนในพื้นที่เกิดขึ้นมาประมาณ 2 ปีแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่มีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียเข้ามาเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะไม่พูดภาษาอังกฤษ ถ้าใครพูดภาษารัสเซียได้ก็ใช้บริการของคนที่พูดภาษาตัวเองได้ จึงเกิดการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา ที่ผ่านมา ทางผู้ประกอบการแท็กซี่ พ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่เชิงทะเลอดทนมาตลอดและทนกับพฤติกรรมของคนเหล่านี้ที่ห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวรัสเซียใช้บริการของคนพื้นที่ ทำให้คนในพื้นที่ ผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน
เมื่อก่อนผู้ประกอบการมีรายได้จากการประกอบธุรกิจในพื้นที่ ขับรถแท็กซี่พอที่จะเลี้ยงครอบครัว ผ่อนรถได้ แต่ปัจจุบันพบว่า บริษัทของชาวรัสเซียขยายตัวเพิ่มมากขึ้นสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนในท้องถิ่นมากขึ้น และไม่แน่ใจว่ามีการออกใบอนุญาตทำงานให้แก่ชาวรัสเซียมาขายทัวร์ มาทำงานในร้านอาหารได้อย่างไร ทั้งๆ ที่อาชีพบางอาชีพเป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทย
ขณะที่ พ.ต.ท.สมบูรณ์ กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการร้องเรียนชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรประเภทนำเที่ยว เช่าที่พัก เช่ารถ ร้านอาหาร ซักรีด นวดแผนไทย และธุรกิจสภา โดยมีคนไทยเป็นนอมินี ซึ่งการลงมาในพื้นที่ครั้งนี้จะมีการประสานขอข้อมูล และสอบปากคำในส่วนของผู้ร้องเรียน รวมทั้งประสานขอข้อมูลบริษัทท่องเที่ยวของชาวต่างชาติไปยังสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าว่ามีการขออนุญาตจัดตั้งบริษัทถูกต้องหรือไม่ ซึ่งจากการลงพื้นที่พบว่ามีบางบริษัทที่เปิดดำเนินธุรกิจโดยที่ไม่ขออนุญาต และในวันนี้พบว่าหลายบริษัทปิดให้บริการ
สำหรับการดำเนินการกับบริษัทที่ตรวจพบว่าไม่ขออนุญาตจัดตั้งบริษัทให้ถูกต้องนั้น สามารถดำเนินการได้ทันทีในข้อหาเปิดบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนกรณีที่ใช้คนไทยเป็นนอมินีก็เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 มาตรา 8 (3) ซึ่งมีบทลงโทษตามมาตรา 36 และมาตรา 37 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 ถึง 1,000,000 บาท
พ.ต.ท.สมบูรณ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการตรวจสอบข้อมูลชาวต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มรัสเซียที่เข้ามาทำธุรกิจไม่ถูกต้องในพื้นที่เชิงทะเลนั้น คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการตรวจสอบ หลังจากนั้น ก็ดำเนินการตรวจสอบในพื้นที่อื่นด้วย เพราะการตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนบริษัทสามารถดำเนินการได้เลย ส่วนการตรวจสอบเรื่องของนอมินี ก็จะมีการตรวจสอบเรื่องของเส้นทางการเงินว่าเป็นการดำเนินการจัดตั้งบริษัทโดยชอบหรือไม่ชอบ โดยการดำเนินการนั้นจะใช้พื้นที่เชิงทะเลเป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินการตรวจสอบ
วันนี้ (13 ก.พ.) พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ลงพื้นที่ตำบลเชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีเครือข่ายแท็กซี่ตำบลเชิงทะเล จ.ภูเก็ต รวมตัวเรียกร้องให้หน่วยงานภาครัฐ เข้ามาแก้ไขปัญหากรณีกลุ่มทุนต่างชาติ ที่มีนักลงทุนชาวรัสเซีย และชาวเกาหลี เข้ามาแสวงหาประโยชน์ด้วยการประกอบธุรกิจนำเที่ยวแบบครบวงจร โดยมีตัวแทนจากเครือข่ายแท็กซี่ตำบลเชิงทะเล นำโดย นายเกษม สำราญ รองประธานเครือข่ายแท็กซี่ตำบลเชิงทะเล นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมให้ข้อมูล
นายเกษม สำราญ รองประธานเครือข่ายแท็กซี่ตำบลเชิงทะเล กล่าวว่า ปัญหาชาวรัสเซียเข้ามาแย่งงานคนในพื้นที่เกิดขึ้นมาประมาณ 2 ปีแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่มีนักท่องเที่ยวชาวรัสเซียเข้ามาเที่ยวในพื้นที่ ซึ่งนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้จะไม่พูดภาษาอังกฤษ ถ้าใครพูดภาษารัสเซียได้ก็ใช้บริการของคนที่พูดภาษาตัวเองได้ จึงเกิดการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา ที่ผ่านมา ทางผู้ประกอบการแท็กซี่ พ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่เชิงทะเลอดทนมาตลอดและทนกับพฤติกรรมของคนเหล่านี้ที่ห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวรัสเซียใช้บริการของคนพื้นที่ ทำให้คนในพื้นที่ ผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน
เมื่อก่อนผู้ประกอบการมีรายได้จากการประกอบธุรกิจในพื้นที่ ขับรถแท็กซี่พอที่จะเลี้ยงครอบครัว ผ่อนรถได้ แต่ปัจจุบันพบว่า บริษัทของชาวรัสเซียขยายตัวเพิ่มมากขึ้นสร้างความเดือดร้อนให้แก่คนในท้องถิ่นมากขึ้น และไม่แน่ใจว่ามีการออกใบอนุญาตทำงานให้แก่ชาวรัสเซียมาขายทัวร์ มาทำงานในร้านอาหารได้อย่างไร ทั้งๆ ที่อาชีพบางอาชีพเป็นอาชีพสงวนสำหรับคนไทย
ขณะที่ พ.ต.ท.สมบูรณ์ กล่าวว่า การลงพื้นที่ในครั้งนี้ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการร้องเรียนชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจรประเภทนำเที่ยว เช่าที่พัก เช่ารถ ร้านอาหาร ซักรีด นวดแผนไทย และธุรกิจสภา โดยมีคนไทยเป็นนอมินี ซึ่งการลงมาในพื้นที่ครั้งนี้จะมีการประสานขอข้อมูล และสอบปากคำในส่วนของผู้ร้องเรียน รวมทั้งประสานขอข้อมูลบริษัทท่องเที่ยวของชาวต่างชาติไปยังสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าว่ามีการขออนุญาตจัดตั้งบริษัทถูกต้องหรือไม่ ซึ่งจากการลงพื้นที่พบว่ามีบางบริษัทที่เปิดดำเนินธุรกิจโดยที่ไม่ขออนุญาต และในวันนี้พบว่าหลายบริษัทปิดให้บริการ
สำหรับการดำเนินการกับบริษัทที่ตรวจพบว่าไม่ขออนุญาตจัดตั้งบริษัทให้ถูกต้องนั้น สามารถดำเนินการได้ทันทีในข้อหาเปิดบริษัทโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนกรณีที่ใช้คนไทยเป็นนอมินีก็เข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 มาตรา 8 (3) ซึ่งมีบทลงโทษตามมาตรา 36 และมาตรา 37 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 ถึง 1,000,000 บาท
พ.ต.ท.สมบูรณ์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับการตรวจสอบข้อมูลชาวต่างชาติโดยเฉพาะกลุ่มรัสเซียที่เข้ามาทำธุรกิจไม่ถูกต้องในพื้นที่เชิงทะเลนั้น คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานในการตรวจสอบ หลังจากนั้น ก็ดำเนินการตรวจสอบในพื้นที่อื่นด้วย เพราะการตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนบริษัทสามารถดำเนินการได้เลย ส่วนการตรวจสอบเรื่องของนอมินี ก็จะมีการตรวจสอบเรื่องของเส้นทางการเงินว่าเป็นการดำเนินการจัดตั้งบริษัทโดยชอบหรือไม่ชอบ โดยการดำเนินการนั้นจะใช้พื้นที่เชิงทะเลเป็นพื้นที่นำร่องในการดำเนินการตรวจสอบ