ศูนย์ข่าวภูเก็ต - รองอธิบดีดีเอสไอรับคดีนายทุนต่างชาติแสวงหาประโยชน์ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นคดีพิเศษ พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหา วอนชาวบ้านหากมีหลักฐานเร่งส่งให้เจ้าหน้าที่ ด้านนายกสมาคมมัคคุเทศก์ฯ เผยธุรกิจไกด์นำเที่ยวทรุดหนัก หลังชาวรัสเซีย เกาหลี จีน แอบแฝงเปิดกิจการแย่งลูกค้า
วันนี้ (25 เม.ย.) ที่องค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล อ.ถลาง จ.ภูเก็ต พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 นายอุดม เพชรครุฑ ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการพิเศษภาคใต้ พ.ต.ท.นิมิตร พรหมมา พนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ร่วมประชุมกับ นายมาแอน สำราญ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเชิงทะเล ผู้แทนจากสำนักงานจัดหางาน สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพจังหวัดภูเก็ต กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยว ตำบลเชิงทะเล เพื่อรับทราบปัญหา และแนวทางแก้ไข กรณีคนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจท่องเที่ยวแบบครบวงจร
พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า การเดินทางลงพื้นที่ของคณะทั้งหมดในวันนี้ สืบเนื่องจากมีผู้ประกอบการในท้องถิ่นออกมาเรียกร้องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ และหน่วยงานเกี่ยวข้องเข้าไปดำเนินการกับบริษัทต่างชาติชาวรัสเซีย ซึ่งแย่งอาชีพคนในพื้นที่หาดกะรน อ.เมืองภูเก็ต และพื้นที่หาดบางเทา อ.ถลาง โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบกรณีดังกล่าว เมื่อวันที่ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ณ อบต.เชิงทะเล และได้ลงตรวจสอบข้อเท็จจริงจากผู้ประกอบการ บริเวณหาดบางเทา
พร้อมกับได้ประสานขอข้อมูลบริษัทท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เนื่องจากกรณีดังกล่าวบุคคลต่างด้าว และบุคคลที่เป็นนอมินีอาจเข้าข่ายมีความผิดตาม พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 ม. 8 (3) ซึ่งมีบทลงโทษตาม ม.36 และ ม.37 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000-1,000,000 บาท เนื่องจาก พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เป็นความผิดตามบัญชีท้าย พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งประกาศกรมสอบสวนคดีพิเศษ เรื่องกำหนดรายชื่อกฎหมายในความรับผิดชอบของสำนักคดีอาญาพิเศษ 3
โดยในวันนี้ (25 เม.ย.) ทางคณะก็ได้พบปะประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบดังกล่าว และสืบสวนสอบสวนหาข้อมูล และความเชื่อมโยงของกลุ่มบุคคลในพื้นที่ รวมทั้งสอบสวนปากคำบุคคลซึ่งได้สอบปากคำไปหลายปากแล้ว พร้อมได้ประสานงานกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูล และเอกสารประกอบการสืบสวน กรณีกลุ่มทุนชาวต่างชาติซึ่งมีนักลงทุนชาวต่างชาติ ซึ่งมีนักลงทุนชาวรัสเซียและเกาหลีใต้ เข้ามาแสวงหาประโยชน์ มีการประกอบธุรกิจท่องเที่ยวครบวงจร ประเภท นำเที่ยว เช่าที่พัก เช่ารถ ร้านอาหาร ซักรีด นวดแผนไทย และธุรกิจสปา รวมทั้งมีการว่าจ้างให้ชาวไทยเป็นนอมินี นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุว่า มีผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต มีชาวต่างชาติเป็นผู้ถือหุ้นแต่ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง จำนวน จำนวน 3,336 ราย
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมครั้งนี้ จากการนำเสนอข้อมูลที่ตัวแทนผู้ประกอบการด้านธุรกิจท่องเที่ยวซึ่งเป็นคนในท้องถิ่น ได้นำเสนอต่อทางดีเอสไอ ทราบถึงการที่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดภูเก็ต ที่ผ่านมานั้น จะมาท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ แล้วก็จะใช้บริการรถแท็กซี่ที่จอดรอให้บริการ ซึ่งก็จะเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวจริงๆ แต่เมื่อการท่องเที่ยวได้เจริญเติบโตขึ้น ทำให้มีผู้ที่แอบแฝงเดินทางเข้ามาในลักษณะของนักท่องเที่ยว แต่ได้มาประกอบธุรกิจโดยการเช่ารถเพื่อนำไปวิ่งให้บริการแก่นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังมีการห้ามไม่ให้นักท่องเที่ยวมาใช้บริการรถแท็กซี่ของผู้ประกอบการท้องถิ่นด้วย เมื่อเจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจสอบกลับแจ้งว่าเป็นเพื่อนที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่ภูเก็ต เลยนำรถมาบริการให้แก่เพื่อน ซึ่งจะเป็นในลักษณะอย่างนี้อยู่บ่อยครั้ง
ด้าน นายพนมพล ธรรมชาตินิยม นายกสมาคมมัคคุเทศก์อาชีพจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับชาวต่างชาติเป็นปัญหาลุกลามมานานแล้ว เป็นความผิดซึ่งหน้าเยอะมาก สถานที่ท่องเที่ยวทุกแห่งจะเห็นคนต่างชาตินำเที่ยว แต่เจ้าหน้าที่ไม่จับ ทั้งเกาหลี รัสเซีย และตอนนี้เริ่มลามไปยังธุรกิจท่องเที่ยวอื่นๆ เช่น โรงแรม เป็นต้น มีการเช่าเหมาโรงแรม โดยใช้ชื่อคนไทยเป็นนอมินี แต่ที่เราสามารถตรวจสอบจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายได้เลยคือ คนต่างชาติที่มาทำทัวร์ และทำหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์
ขณะเดียวกัน พ.ต.อ.ญาณพล หลังเปิดให้แต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้องนำเสนอข้อมูลของปัญหาดังกล่าวแล้ว ก็ได้ขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่หากพบเห็นเหตุการณ์ หรือการกระทำที่ผิดกฎหมายของกลุ่มชาวต่างชาติ ขอให้บันทึกภาพนิ่ง หรือภาพวิดีโอไว้ แล้วรวบรวมส่งให้แก่ทางดีเอสไอ ซึ่งจะเป็นข้อมูลอย่างดีในการใช้เป็นหลักฐานในการเอาผิดกับกลุ่มชาวต่างชาติดังกล่าวต่อไป พร้อมกันนี้ ทางดีเอสไอได้รับเป็นคดีพิเศษแล้ว กรณีที่คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจท่องเที่ยวแบบครบวงจรโดยผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ยังยอมรับหากพบว่าเจ้าหน้ารัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ก็จะดำเนินการทันที