xs
xsm
sm
md
lg

ทริปสุดประหยัด นั่งรถเมล์ 53 สายเดียว เที่ยวไหว้พระ 9 วัด อิ่มบุญรับขวัญปีใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รถเมล์สาย 53 สายเดียวไหว้พระ 9 วัด


โดย : หนุ่มลูกทุ่ง


ชีวิตที่เร่งรีบของคนในเมืองหลวงคงจะหาเวลายากนัก หากจะเดินทางไหว้พระ 9 วัดให้ครบภายในวันเดียว โดยที่ไม่ต้องเดินทางไกลออกไปต่างจังหวัด แต่วันนี้ฉันได้มีโอกาสนั่งรถเมล์สาย 53 ชิลๆ รอบเมืองในกรุงเทพฯ แถมยังได้แวะไหว้พระในวัดดังๆ ครบทั้ง 9 วัด จึงเอามาบอกเล่าเผื่อใครสนใจอยากจะตามมาเที่ยวบ้าง
พระวิหารภายในวัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร
สำหรับรถเมล์สาย 53 นั้นเป็นรถเมล์ร้อนสีครีมแดงราคา 6.50 บาท จะวิ่งเป็นวงกลมรอบเมืองในย่านเกาะรัตนโกสินทร์ ผ่านสถานที่สำคัญต่างๆ หลายแห่ง ด้วยความสะดวก (ส่วนตัว) ฉันเลยไปขึ้นรถเมล์สาย 53 ต้นสายที่เทเวศร์ ริมคลองผดุงกรุงเกษม รถเริ่มเคลื่อนตัวพาฉันมาออกสตาร์ทที่วัดแรก คือ “วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร” วัดที่ ร.4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดส่วนพระองค์ บนหน้าบันและด้านบนซุ้มประตูหน้าต่างของทั้งพระอุโบสถและพระวิหารจึงมีลายพระมหามงกุฏอันเป็นตราประจำรัชกาลที่ 4 วัดแห่งนี้ยังเป็นวัดที่มีเสมา 2 ชั้น ชั้นแรกเรียกว่า มหาสีมา อยู่ในซุ้มกำแพงรอบวัด และยังมีเสมารอบพระอุโบสถเรียกว่า ขัณฑสีมา พระสงฆ์จึงสามารถประชุมทำสังฆกรรมได้ทั้งในพระอุโบสถและพระวิหาร

ฉันได้เข้าไปกราบพระและได้ชมจิตรกรรมฝาผนังด้านในพระอุโบสถ มีภาพจิตรกรรมเรื่องพระอัครสาวกในบาลีและอรรถกถา 11 พระองค์ อัครสาวิกา 8 องค์ และภาพเทวดาชุมนุมอันงดงาม บนบานหน้าต่างและบานประตูด้านในเขียนพระสูตรที่เป็นคาถาด้วยตัวอักษรบรรจงอีกด้วย
พระอุโบสถและเจดีย์ทองรูปทรงศรีลังกา ณ วัดโสมนัส
จากวัดมกุฏฉันเดินเท้าต่อมายังวัดที่ 2 ซึ่งถือเป็นวัดคู่เคียงกัน คือ "วัดโสมนัสวิหาร ราชวรวิหาร" วัดที่ร.4 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติและอุทิศพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าโสมนัสวัฒนาวดี พระบรมราชเทวี และเป็นวัดที่พระองค์ได้ทรงวางแปลนไว้อย่างเหมาะสมและสวยงาม ถูกต้องตามพระธรรมวินัยที่สุดวัดหนึ่งในประเทศไทย นอกจากวัดจะแยกเขตพุทธาวาสและสังฆาวาสที่อยู่ของพระออกจากกันเป็นสัดส่วน แล้วก็ยังกันเขตชุมนุมชนออกจากวัดโดยเด็ดขาด จึงจะเห็นว่าแม้วัดจะอยู่ในย่านชุมชน แต่เมื่อเข้าไปภายในวัดแล้วกลับดูเงียบสงบ

ภายในวัดมีเจดีย์ 2 องค์ เจดีย์องค์ใหญ่ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ มีรูปทรงแบบลังกาสีทองเหลืองอร่าม ยอดแหลมสูงเด่นเป็นสง่าสามารถมองเห็นได้ไกล ส่วนเจดีย์องค์เล็ก (เจดีย์มอญ) เป็นอีกองค์ที่มีลักษณะสวยงามเช่นเดียวกับปรินิพพานสถูปในอินเดีย และหาชมได้ยากเพราะเจดีย์ลักษณะนี้มีเพียง 2 องค์ในประเทศไทย คือ ที่วัดโสมนัสวิหารราชวรวิหาร และที่วัดกันมาตุยาราม ส่วนภายในวิหารมีพระสัมพุทธโสมนัสวัฒนาวดีนาถบพิตร เป็นพระประธาน และมีพระสัมพุทธสิริ เป็นพระประธานภายในพระอุโบสถ
พระประธานในพระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์
จากวัดโสมนัส ฉันกลับออกมายืนรอรถเมล์ฝั่งตรงข้ามวัด เพื่อนั่งต่อไปยังวัดที่ 3 “วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร” วัดสำคัญที่ ร.5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนีของพระองค์ที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ยังทรงพระเยาว์

วัดเทพศิรินทร์ฯ มีสิ่งสำคัญภายในวัดมากมาย นับตั้งแต่พระอุโบสถที่มีความใหญ่โตสง่างาม ด้านนอกมีเสาพาไลต้นใหญ่อยู่โดยรอบ พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิที่งดงามไม่เหมือนวัดอื่นๆ ตรงที่ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีทรงประสาทจตุรมุข และยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกหลายองค์เช่น พระนิรันตราย พระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 4 พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ฉลองพระองค์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีนาถ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจันทรมณฑลโสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกษัตริย์

นอกจากนั้น ภายในวัดยังมี “วิหารอัฐิท่านเจ้าคุณนรฯ” หรือพระยานรรัตนราชมานิต ต้นห้องใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทของ ร.6 โดยหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตไปแล้ว พระยานรรัตน์ฯ ได้บวชหน้าไฟถวายเป็นพระราชกุศลที่วัดเทพศิรินทร์ฯ และไม่สึกอีกเลยตราบจนมรณภาพ ผู้คนยกย่องท่านว่าเป็นพระอริยสงฆ์ที่เคร่งครัดในศีลจารวัตรธรรมวินัย จึงมีผู้คนเคารพศรัทธาแม้เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วเกือบ 40 ปี
หลวงพ่อทองคำที่ประดิษฐานอยู่ภายในมหามณฑป วัดไตรมิตร
จากวัดเทพศิรินทร์ฯ ฉันโบกรถเมล์สายเดิมนั่งกินลมชมวิวยาวผ่านวงเวียน 22 กรกฎาคม ผ่านหัวลำโพง อ้อมไปทางด้านหลังจุฬาฯ ซึ่งเป็นแหล่งค้าเซียงกงอะไหล่รถเก่า ผ่านแยกสะพานเหลือง วนกลับเข้าสู่ย่านเยาวราช ถึงตรงนี้แล้วอย่ามัวนั่งเพลิน กดออดขอลงที่ป้าย “วัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร” ซึ่งเป็นวัดที่ 4 เมื่อมาถึงฉันก็สะดุดตากับความยิ่งใหญ่ของพระมหามณฑปอันงดงามซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน “หลวงพ่อทองคำ” หรือ "พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร" พระพุทธรูปทองคำองค์แรกของไทยที่ได้รับการบันทึกไว้ใน The Guinness Book of World Record ปี 2534 ว่าเป็นพระพุทธรูปทองคำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยองค์พระนั้นมีขนาดหน้าตักกว้างประมาณ 2.50 ม. ความสูงจากพระเกตุมาลาถึงฐานทับเกษตร (ฐานที่รองรับพระพุทธรูป) ประมาณ 3.04 ม. น้ำหนักประมาณ 5.5 ตัน ที่สำคัญคือสร้างด้วยทองคำแท้ มูลค่าสูงกว่า 21 ล้านปอนด์ ตามที่ถูกบันทึกไว้ในหนังสือกินเนสส์บุ๊ค

สักการะหลวงพ่อทองคำแล้ว อย่าลืมเดินลงมาชมพิพิธภัณฑ์หลวงพ่อทองคำที่ชั้น 3 ของพระมณฑป ที่จะมีประวัติความเป็นมาของวัด ประวัติหลวงพ่อทองคำจัดแสดงรายละเอียดครบถ้วน และยังมีพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเยาวราชที่จัดแสดงเรื่องราวของชุมชนเยาวราช หรือไชน่าทาวน์เมืองไทยตั้งแต่อดีตกระทั่งปัจจุบัน แถมยังติดแอร์เย็นฉ่ำเดินชมเดินอ่านได้เพลินๆ และหากชมเร็จแล้วก็อย่าลืมลงมาสักการะ "พระพุทธทศพลญาณ" พระประธานในพระอุโบสถของวัดไตรมิตรกันก่อนกลับ

ถึงตรงนี้ท้องมันก็เริ่มจะประท้วง ออกอาการหิวขึ้นมาเสียแล้ว ดังนั้นจึงถึงเวลาที่กองทัพจะต้องเดินด้วยท้อง โชคดีที่มาหิวอยู่แถวๆ แหล่งกินแหล่งใหญ่ เพราะแถวนี้มีร้านอาหารอร่อยอยู่หลายร้าน อย่างในซอยสุกร 1 หรือตรอกโรงหมูที่อยู่เยื้องๆ กับวัดไตรมิตร ที่มีร้านข้าวหมูแดงชื่อดังอย่างร้านสีมรกต หรือจะเลือกกินหอยทอดเจ้าอร่อยของร้านราชาหอยทอด และยังมีอีกหลากร้านอร่อยให้เลือกชิม
สถาปัตยกรรมแบบจีนภายในวัดมังกรกมลาวาส
เมื่อท้องอิ่มก็ได้เวลาออกเดินทางต่อ ฉันนั่งรถเมล์ตรงเข้าสู่ถนนสายทองคำ หรือถนนเยาวราช มุ่งหน้าสู่วัดที่ 5 “วัดเล่งเน่ยยี่” หรือ “วัดมังกรกมลาวาส” แต่เราจะต้องลงรถเมล์ป้ายตลาดเก่าเยาวราช แล้วเดินทะลุตลาดเก่ามายังวัดมังกรซึ่งอยู่บนถนนเจริญกรุง ซึ่งหากใครจิตไม่แข็งก็คงต้องได้แวะกินบะหมี่หรือก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาระหว่างทางแน่ๆ แต่ฉันซึ่งกินอิ่มมาตั้งแต่วัดไตรมิตรแล้วก็มุ่งตรงสู่วัดมังกรซึ่งเป็นวัดจีนที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นด้วยการวางผังแบบวังหลวงแต้จิ๋วโบราณ คือ มีวิหารท้าวจตุโลกบาลเป็นวิหารแรก ตรงกลางเป็นพระอุโบสถ ข้างหลังพระอุโบสถเป็นวิหารเทพเจ้า ภายในอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระประธาน 3 องค์ด้วยกัน คือ พระศากยมุนีพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าในปัจจุบันกาล (เจ้าชายสิทธัตถะ) พระอมิตาภพุทธเจ้า และพระไภษัชยคุรุไวฑูรย์พุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอดีต อีกทั้งภายในวัดยังมีเทพเจ้าจีนมากมายหลายองค์ เช่น เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยะ เทพเจ้าที่คุ้มครองดวงชะตา เป็นต้น
พระปรางค์โบราณสถานที่สร้างตั้งแต่สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ วัดราชบูรณะ(วัดเลียบ)
ไหว้เทพเจ้าต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เดินย้อนกลับมาที่ถนนเยาวราชเส้นเดิม เพื่อรอรถเมล์สาย 53 นั่งต่อมายังวัดที่ 6 “วัดราชบูรณะราชวรวิหาร” หรือวัดเลียบ ที่อยู่ใกล้ๆ กับปากคลองตลาด วัดราชบูรณะแห่งนี้เป็นวัดหนึ่งตามธรรมเนียมประเพณีโบราณที่ว่า ในราชธานีจะต้องมีวัดสำคัญประจำ 3 วัด คือ วัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดราชประดิษฐ์

ภายในวัดเลียบมีพระอุโบสถทรงไทยจตุรมุข ภายในเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประธานปางมารวิชัย เบื้องหลังเป็นซุ้มวิมานลงรักปิดทอง เบื้องหน้าพระพุทธรูปมีพระอัครสาวกประทับยืนอยู่ทั้งเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ภายในพระอุโบสถมีจิตรกรรมฝาผนังที่งดงามมาก นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในวัดราชบูรณะ คือพระปรางค์ที่สร้างมาตั้งแต่สมัย ร.3 และยังหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน
องค์พระพุทธไสยาสน์ประดิษฐานภายในวัดโพธิ์
จากนั้นรถเมล์สาย 53 พาฉันมาถึงวัดที่ 7 คือ “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม” หรือวัดโพธิ์ ซึ่งมีสิ่งที่น่าสนใจให้ชมเยอะแยะไปหมด ฉันเริ่มเดินชมที่พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ ที่สร้างขึ้นในสมัย ร.3 องค์พระมีความยาวถึง 46 ม. ซึ่งนับว่าเป็นพระนอนที่มีความยาวเป็นอันดับ 3 ของประเทศไทย (รองจากพระนอนจักรสีห์ จ.สิงห์บุรี และพระนอนวัดขุนอินทประมูล จ.อ่างทอง) ลักษณะเด่นของพระพุทธไสยาสน์อยู่ที่พระพุทธบาทที่ประดับมุกเป็นภาพมงคล 108 ประการ ตรงกลางฝ่าพระบาทเป็นรูปกงจักรตามตำรามหาปุริสสลักษณะ นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาชมต่างอุทานในความใหญ่โตอลังการและชื่นชมในความงดงาม พร้อมทั้งถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

และไม่ควรพลาดที่จะเข้าไปกราบพระพุทธเทวปฏิมากร พระประธานในพระอุโบสถที่กล่าวกันว่าเป็นพระพุทธรูปโบราณมีพระลักษณะอันงดงามที่สุดองค์หนึ่ง นอกจากนั้นเจดีย์ 4 รัชกาล และตุ๊กตาหินจีนที่มีอยู่มากมายก็ยังเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยงามไม่ควรพลาดด้วยเช่นกัน
พระศรีรัตนเจดีย์ตั้งอยู่ข้างพระมณฑปภายในวัดพระแก้ว
เนื่องจากแรงยังเหลือ ฉันจึงเดินเท้าจากวัดโพธิ์มายัง “วัดพระศรีรัตนศาสดาราม” หรือวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นวัดที่ 8 (แต่หากใครเริ่มหมดแรงหรือรีบเพราะวัดพระแก้วจะปิดไม่ให้เข้าตอน 15.30 น.จะนั่งรถเมล์ต่อก็ได้ไม่ว่ากัน) หากใครเคยมาวัดพระแก้วก็คงจะพอเห็นภาพว่าภายในวัดช่างสวยงามและกว้างใหญ่ขนาดไหน มาถึงวัดพระแก้วทั้งทีก็คงจะพลาดไม่ได้กับการสักการะพระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทยที่ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ พระแก้วมรกตเป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหยกอ่อนสีเขียวดั่งมรกต

บริเวณรอบพระระเบียงยังมีสิ่งที่น่าสนใจอย่างภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่วาดได้อย่างวิจิตรอลังการ ไม่ควรพลาดชม นอกจากนั้นในวัดพระแก้วยังมีสิ่งน่าสนใจอื่นๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นพระอัษฎามหาเจดีย์ หรือพระปรางค์แปดองค์ พระศรีรัตนเจดีย์ พระมณฑป และอีกหลากหลายสิ่งมากมายที่ล้วนแล้วแต่งดงาม ฉันจึงอดภูมิใจไม่ได้เมื่อเห็นนักท่องเที่ยวมากมายหลากหลายเชื้อชาติเข้ามาถ่ายรูปอย่างชื่นชม
หลวงพ่อนอนประดิษฐานอยู่ที่ศาลาพระนอน ภายในวัดสามพระยา
จากวัดพระแก้วฉันนั่งรถผ่านท่าพระจันทร์ สนามหลวง สวนสันติชัยปราการ มาปิดท้ายกันที่วัดสุดท้ายแบบอิ่มบุญที่ “วัดสามพระยาวรวิหาร” ใกล้กับแยกบางลำพู ที่วัดแห่งนี้ฉันไม่พลาดที่จะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัดสามพระยา โดยได้ไปกราบ “หลวงพ่อนอน” พระพุทธรูปไสยาสน์ปางโปรดอสุรินทราหู พระอิริยาบถนอนตะแคงขวา พระบาททั้งสองซ้อนทับเสมอกัน พระหัตถ์ซ้ายแนบไปตามพระวรกาย พระหัตถ์ขวาตั้งขึ้นรับพระเศียรและมีพระเขนย(หมอน)รองรับ

ส่วนทางด้านหลังของศาลาหลวงพ่อนอนเป็นศาลาของ “หลวงพ่อนั่ง” พระอิริยาบถประทับนั่งห้อยขาบนก้อนหิน พระหัตถ์ทั้งสองอุ้มบาตรที่วางอยู่บนพระเพลา (ตัก) คนส่วนใหญ่จึงนิยมเรียกท่านว่า พระนั่งอุ้มบาตร ซึ่งนับว่าพระนั่งและพระนอนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธ์ ที่ชาวบ้านละแวกนี้เคารพนับถือเป็นอย่างมาก

เป็นอันครบการนั่งรถเมล์สาย 53 ไหว้พระ 9 วัด ตามเส้นทางบุญของฉัน ลองนับดูแล้วพบว่าเสียสตางค์ไป 45.50 บาท กับการนั่งรถเมล์ 7 ต่อ แต่ถ้าหากใครโชคดีได้ขึ้นรถเมล์ฟรีก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายไปได้อีก

ในช่วงปีใหม่นี้หากใครไม่ได้ออกต่างจังหวัดก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะลองนั่งรถเมล์ไหว้พระ 9 วัด เพราะถนนหนทางในกรุงเทพฯ ช่วงปีใหม่นั้นแสนจะโล่ง จะได้นั่งกินลมชมเมืองผ่านถนนสายเก่าแก่ ย่านการค้าต่างๆ ไปแบบชิลๆ แถมยังได้ไหว้พระทำบุญเป็นสิริมงคลรับปีใหม่ให้ตัวเองด้วยอีกต่างหาก
 

กำลังโหลดความคิดเห็น