xs
xsm
sm
md
lg

จาก “วังเวียง” สู่ “เวียงจันทน์” บนเส้นทางสาย 13 เหนือ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แวะพักที่ภูคูนเพียงฟ้า
เช้าวันที่สองในหลวงพระบาง ตื่นมาแบบสบายๆ รับอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดให้เต็มที่ ก่อนจะรีบเก็บกระเป๋าหิ้วขึ้นรถ เตรียมตัวออกเดินทาง ซึ่งจุดหมายปลายทางในวันนี้อยู่ที่ “วังเวียง” เมืองพักกึ่งกลางระหว่างหลวงพระบางและเวียงจันทน์

จากเมืองหลวงพระบาง ใช้ถนนหมายเลข 13 เหนือ หรือที่แต่เดิมเรียกว่าเส้นทางสายอาณานิคมที่ 13 สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองในแถบอินโดจีน ระยะทางจากหลวงพระบางถึงวังเวียงประมาณ 210 กิโลเมตร ถ้าหากว่าอยู่ในบ้านเราวิ่งสบายๆ ก็ใช้เวลาไม่น่าจะเกิน 3 ชั่วโมง แต่ต้องบอกว่าระยะทางสองร้อยกว่ากิโลเมตรที่นี่ใช้เวลาวิ่ง 6-7 ชั่วโมง (ยืดหยุ่นเล็กน้อยตามระยะเวลาที่แวะพัก)

เหตุที่ต้องใช้เวลายาวนานขนาดนี้ ก็เนื่องจากถนนเส้นนี้แม้จะเป็นถนนลาดยางตลอดทั้งสาย แต่ก็มีผิวถนนแคบ บางช่วงอาจขรุขระบ้าง ชำรุดบ้าง และครึ่งหนึ่งของถนนเส้นนี้ก็จะผ่านภูเขาสูงที่ต้องคดเคี้ยวไปมา คนขับรถต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูง โดยเฉพาะในช่วงที่เป็นเส้นทางบนภูเขา
ถนนเลาะเลียบไหล่เขา
จะว่าไป การขับขี่ยวดยานในเมืองลาวนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะไกด์สาวชาวลาวก็ได้เล่าถึงกฎจราจร 3 ข้อให้ได้ฟัง ซึ่งก็คือ หนึ่ง อย่าไปตำเขา (อย่าไปชนเขา) สอง อย่าให้เขามาตำเรา (อย่าให้เขามาชนเรา) และสาม อย่าตำกันเอง (อย่าชนกันเอง) สามข้อง่ายๆ รับรองว่าปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์

มาต่อกันที่เส้นทางสู่วังเวียง เมื่ออกจากเมืองหลวงพระบางแล้ว จะต้องผ่านเมืองเชียงเงิน ภูคูน กาสี แล้วจึงจะมาถึงวังเวียง ซึ่งก็คงจะอยู่ในช่วงบ่ายแก่ๆ ของวัน แม้เส้นทางจะคดเคี้ยวไปมา แต่ “ตะลอนเที่ยว” ก็นับจำนวนโค้งได้สองโค้งถ้วน คือโค้งซ้าย กับโค้งขวา หากว่าใครมีอาการเมาโค้ง ก็ขอให้หลับตานิ่งๆ ถือเป็นการพักผ่อนตลอดเส้นทาง
สะพานสีส้มทอดข้ามลำน้ำซอง
แต่สำหรับเรา การมาเที่ยวนั้นก็ต้องเก็บเกี่ยวความสวยงามรอบๆ เอาไว้ให้มากที่สุด ถึงเส้นทางจะโหดสักหน่อย แต่ความสวยงามตามรายทางที่ได้เห็นนั้นก็ทำให้สดชื่นขึ้นมาอีกโข ความเขียวสดของต้นไม้ใบหญ้า ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติแบบไม่ต้องปรุงแต่ง ภาพวิถีชีวิตชาวบ้านริมสองข้างทาง เปลี่ยนสลับกับทิวเขาสูงเสียดฟ้า สุดลูกหูลูกตา เป็นภาพที่เห็นได้ยากแล้วในบ้านเรา

รถวิ่งมาถึงกลางทาง ก็แวะพักยืดเส้นยืดสาย หาของกินรองท้องกันแถวภูคูน แวะมาที่ร้าน ภูคูนเพียงฟ้า เป็นร้านอาหารและเครื่องดื่ม นอกจากนี้ยังเป็นจุดพักรถและจุดชมวิวที่ขึ้นชื่อ มองเห็นทิวทัศน์ของภูเขาสูงได้เกือบ 360 องศา มองไปทางซ้ายจะเห็นถนนเลาะเลียบไปตามไหล่เขา หรือมองไปทางอื่นๆ ก็จะเห็นเขาสูงสลับซับซ้อนเรียงตัวกันยาวเหยียด
ทิวทัศน์งดงามมองเห็นได้ขณะข้ามสะพาน
พักจนหายเหนื่อยก็กลับเข้ามาสู่เส้นทางกันต่อ จากภูคูนไปถึงกาสี ถนนช่วงนี้ก็จะเริ่มลดระดับต่ำลงเรื่อยๆ จนเข้าใกล้วังเวียงก็จะกลายเป็นที่ราบ มองไปสองข้างทางก็ยังมีทุ่งนาเขียวขจี บ้านเรือนสร้างอยู่เป็นระยะๆ ตลอดเส้นทาง

สำหรับเมืองวังเวียงนั้นได้รับฉายาว่า “กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว” ด้วยความที่เป็นเมืองแห่งธรรมชาติ มีลำน้ำซองไหลเลาะเลียบไป อีกทั้งยังเต็มไปด้วยเทือกเขาหินปูนรูปร่างแปลกตาเรียงรายล้อมรอบ ทำให้กิจกรรมเมื่อยามมาเยี่ยมเยือนวังเวียงก็คือกิจกรรมผจญภัยทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นล่องเรือ ปีนเขา เข้าถ้ำ

อย่างเช่นตอนที่เรามาถึงวังเวียงก็ยังมีเวลาเหลือก็เลยแวะไปที่ ถ้ำจัง ที่นับเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาววังเวียง เชื่อว่าเคยเป็นที่ประทับของเจ้าแม่กวนอิมมาตั้งแต่โบราณ การไปถ้ำจังนั้นต้องไปให้ถูกช่วงเวลาเพราะเวลาเปิดให้เข้าชมที่นี่ก็คือประมาณ 08.00-17.00 น.
หินงอกหินย้อยภายในถ้ำจัง
มาถึงที่นี่แล้วต้องข้ามสะพานสีส้มสด ที่ข้ามลำน้ำซองไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง ระหว่างที่อยู่บนสะพานนั้นก็รู้สึกประหนึ่งเดินอยู่บนผืนน้ำ ที่รายล้อมด้วยทิวเขาและป่าไม้ ส่วนการเดินขึ้นไปยังถ้ำจังที่ด้านบนนั้น ต้องผ่านบันได 147 ขั้น ซึ่งเมื่อขึ้นไปสูงสุดแล้วมองลงมาก็จะเห็นทิวทัศน์ท้องนากว้างไกล ภายในถ้ำมีไฟติดตั้งอยู่ ทำให้เห็นหินงอกหินย้อยหลากหลายรูปทรงที่สวยงามแปลกตา แถมอากาศยังเย็นสบาย เดินชมได้เรื่อยๆ

จากถ้ำจังไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร ก็จะเข้าสู่ตัวเมืองวังเวียงซึ่งเป็นที่แวะพักผ่อนในคืนนี้ แต่เมื่อมาถึงแล้วก็ต้องขอออกมาสำรวจบ้านเมืองยามราตรีกันเสียหน่อย สอบถามทางจากชาวบ้านที่ขี่จักรยานผ่านมา ที่ชี้ตรงไปข้างหน้าก็คือที่เที่ยวยามราตรีของนักท่องเที่ยวต่างเมือง
ยามค่ำคืนในเมืองวังเวียง
ดูๆ แล้วก็คล้ายถนนข้าวสารบ้านเรา มีร้านรวงเปิดกันเต็มสองข้างทาง มีอาหารหลากหลายชาติวางขาย มีฝรั่งนานาชาติเดินสวนไปมา เพียงแต่ยังไม่ครึกครื้นเท่าบ้านเรา เห็นแล้วก็ให้นึกถึงความแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว ในขณะที่เมืองสงบงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นธรรมชาติ แต่ก็มียามราตรีที่ออกจะอึกทึก เสมือนสิ่งแปลกปลอมของเมืองนี้

แม้ว่าวังเวียงจะคล้ายเพียงเมืองผ่าน แต่ปัจจุบันวังเวียงก็กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับของประเทศลาว ที่ใครต่อใครก็อยากจะมาสัมผัส เราพักที่วังเวียงเพียงหนึ่งคืน ก็ออกเดินทางต่อในถนนสายเดิม มุ่งหน้าไปยังนครหลวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงของประเทศลาวกันต่อ
หอพระแก้ว
เส้นทางนี้จะออกจากวังเวียง ผ่านเมืองโพนโฮง ไปสู่เวียงจันทน์ ระยะทางประมาณ 154 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3-4 ชั่วโมง ถนนช่วงนี้จะเป็นที่ราบ แต่ก็มีชำรุดบ้างเป็นบางส่วนเช่นเดิม หลายคนตะโกนถามไกด์ชาวลาวว่าทำไมรัฐบาลถึงไม่ทำถนนให้ดี เธอตอบว่า เพราะรัฐบาลหวังดี ไม่อยากให้เกิดอุบัติเหตุ ถ้าซ่อมถนนจนวิ่งได้ดีคนก็จะขับเร็วเดี๋ยวเกิดอุบัติเหตุได้

เข้าสู่เขตนครหลวงเวียงจันทน์ ก็แลเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองได้เลยทีเดียว ดูมีความเป็นเมืองใหญ่ ถนนหนทางดีขึ้น บ้านเรือนหนาแน่น รถรามากมายคล้ายกับบ้านเรา
ศิลาจารึกโบราณ
เวียงจันทน์ ถูกสถาปนาขึ้นเป็นราชธานีของอาณาจักรล้านช้างแทนเมืองหลวงพระบาง เมื่อ พ.ศ.2103 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช และยังคงเป็นเมืองหลวงและศูนย์กลางการปกครองของลาวมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นที่ตั้งของรัฐบาล หน่วยงานราชการ สถานทูต และหน่วยงานสำคัญต่างๆ รวมไปถึงสถานที่ท่องเที่ยว วัดวาอาราม และโบราณสถานต่างๆ

สถานที่แรกที่เราจะแวะไปกันคือ หอพระแก้ว ซึ่งเคยเป็นสถานที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต หรือ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ก่อนที่จะถูกอัญเชิญมาประทับที่ประเทศไทย แต่เดิมหอพระแก้วนั้นเคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว แต่ในปัจจุบัน แม้จะไม่มีพระแก้วประดิษฐานอยู่แล้ว สถานที่แห่งนี้ก็ยังคมเป็นที่มาเคารพสักการะ และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของทั้งชาวลาวและชาวต่างประเทศ
พระพุทธรูปเก่าแก่แสดงอยู่ที่ระเบียงหอพระแก้ว
หอพระแก้วที่เห็นกันในปัจจุบันเป็นของที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่ ภายในใช้จัดแสดงเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงพระพุทธรูปโบราณ พระแท่นบัลลังก์ปิดทองจารึกพระไตรปิฎก และโบราณวัตถุอื่นๆ น่าเสียดายที่ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปด้านใน ไม่เช่นนั้นคงได้บันทึกความงดงามและเรื่องราวต่างๆ มากมายเก็บไว้ดูได้ ส่วนที่บริเวณระเบียงหอพระแก้วมีการจัดแสดงศิลาจารึก และพระพุทธรูปเก่าแก่หลายองค์

การที่ประเทศลาวผ่านสงครามมาหลายครั้ง และหลายยุคสมัย ก็ทำให้ทุกวันนี้จะได้เห็นอนุสรณ์จากสงครามในหลายแห่ง อย่างเช่นที่ ประตูชัย ที่เป็นอนุสรณ์สถานเพื่อระลึกถึงประชาชนชาวลาวที่เสียชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์
ประตูชัยเมืองลาว
ประตูชัยสร้างเสร็จในปี พ.ศ.2512 มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า รันเวย์แนวตั้ง เพราะการก่อสร้างประตูชัยแห่งนี้ใช้ปูนซิเมนต์ที่อเมริกาซื้อมาเพื่อนำมาสร้างสนามบินใหม่ใน นครเวียงจันทน์ในระหว่างสงครามอินโดจีน แต่ไม่ทันสร้างเพราะอเมริกาพ่ายเวียดนามเสียก่อน จึงนำปูนเหล่านั้นมากสร้างประตูชัยแทนตามลักษณะประตูชัยที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ลักษณะสถาปัตยกรรมก็ยังคงเป็นศิลปะแบบล้านช้าง ไม่ว่าจะเป็นยอดปราสาทบนประตู ลวดลายปูนปั้นและภาพวาดบนเพดาน ที่เสาประตูมีทางเดินขึ้นไปชมวิวด้านบน ส่วนรอบๆ ประตูชัยนั้นเป็นลานกว้าง มีที่นั่งพักผ่อนสามารถมานั่งเล่นได้ และในช่วงเย็นๆ ก็ยังเป็นสถานที่พักผ่อนและมาออกกำลังกายของชาวเมืองและนักท่องเที่ยวทั่วไป
พระธาตุหลวงเวียงจันทน์
และจุดสุดท้ายในประเทศลาวที่จะต้องแวะไปก็คือ พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ ซึ่งเป็นพระธาตุคู่บ้านคู่เมืองเวียงจันทน์ และเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวลาวทั้งประเทศ ตามตำนานกล่าวว่าพระธาตุนี้สร้างขึ้นมานับพันปีแล้ว ต่อมาในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงย้ายราชธานีมายังเวียงจันทน์ ก็ได้มีพระบรมราชโองการให้สร้างองค์พระธาตุหลวงขึ้นใหม่ โดยครอบลงบนพระธาตุองค์เก่าที่มีอยู่เดิม และเมื่อสร้างเสร็จแล้วได้ขนานนามว่า พระธาตุเจดีย์โลกจุฬามณี หรือ พระธาตุใหญ่ (แต่คนส่วนมากเรียกว่า พระธาตุหลวง)

ก่อนจะเดินเข้าไปสักการะองค์พระธาตุที่ด้านใน ก็แวะไปสักการะ พระราชานุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ที่ด้านหน้า ก่อนที่จะเดินเข้าไปชมความงดงามขององค์พระธาตุหลวงที่ด้านใน
พระบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
พระธาตุหลวงแห่งนี้ได้ถูกทำลายเสียหายหลายครั้งและชาวลาวได้บูรณะขึ้นใหม่เป็นรูปทรงตามคติจักรวาลที่มีเขาพระสุเมรุเป็นแกนกลาง และมีเจดีย์ธาตุบริวารล้อมรอบ 30 องค์ งดงามด้วยสีทองอร่ามสูง 45 เมตร นับเป็นพระธาตุที่มีขนาดสูงใหญ่ที่สุดในลาวเลยทีเดียว

กินเที่ยวอยู่เมืองลาวหลายวัน ก็ให้คิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนของเราขึ้นมาเหมือนกัน เลยได้เวลากลับเสียที คราวนี้ข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เข้ามาทาง จ.หนองคาย ก็ได้กลับมาเหยียบแผ่นดินไทย พร้อมกับขอกล่าวคำ “สวัสดีเมืองไทย-สบายดีเมืองลาว”

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

คลิกอ่าน " CLASS="innerlink" TARGET="_blank">"เบิ่งเมืองลาว เที่ยวรายทาง จาก "น่าน" สู่ “หลวงพระบาง”"(ตอนแรก) ได้ที่นี่

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของผู้จัดการท่องเที่ยว Travel @ Manager on Facebook รับข่าวสารทั้งเรื่องกินเรื่องเที่ยวแบบรวดเร็วทันใจ และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!!
กำลังโหลดความคิดเห็น