xs
xsm
sm
md
lg

สวรรค์บนผืนน้ำ “กุ้ยหลิน”เมืองไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
ความงาม ธรรมชาติ สัตว์ป่า ผืนน้ำสีเขียวมรกต มหัศจรรย์ที่โลกเนรมิตไว้ ซ่อนตัวอยู่หลังหุบเขาเขื่อนรัชชประภา สัมผัสกับไออุ่นความบริสุทธิ์ของธรรมชาติ ดั่งสวรรค์บนผืนน้ำ

 
ช่วงเวลาดีๆ ได้มีโอกาสเดินทางไปพักผ่อนกับทริปสั้นๆ 2 คืน 3 วัน ที่เขื่อนรัชชประภา หรือเขื่อนเชี่ยวหลาน หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม กุ้ยหลินเมืองไทย ที่ อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จุดแรกแวะชมสันเขื่อนรัชชประภา ยืนบนสันเขื่อนมองไปไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นผืนน้ำและขุนเขาน้อยใหญ่สวยงามมากๆ
บนสันเขื่อนรัชชประภาทอดสายตาเห็นภูเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อนบนท้องทะเลน้ำจืดผืนใหญ่
 
ก่อนไปต่อมารู้จักเขื่อนรัชชประภากันก่อน เขื่อนรัชชประภา สร้างปิดกั้นลำน้ำคลองแสง ที่บ้านเชี่ยวหลาน ตำบลเขาพัง อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นเขื่อนหินถมแกนดินเหนียว สูง 94 เมตร ความยาวสันเขื่อน 761 เมตร และมีเขื่อนปิดกั้นช่องเขาขาดอีก 5 แห่ง มีความจุ 5,638.8 ล้านลูกบาศก์เมตร พื้นที่อ่างเก็บน้ำ 185 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเฉลี่ยปีละ 2,598 ล้านลูกบาศก์เมตร ติดตั้งเครื่องผลิตไฟฟ้า เครื่องละ 80,000 กิโลวัตต์ จำนวน 3 เครื่อง

 
เขื่อนรัชประภา เป็นเขื่อนอเนกประสงค์ ใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการชลประทานและการผลิตกระแสไฟฟ้า สร้างปิดกั้นลำน้ำคลองแสง ที่บ้านเชี่ยวหลาน ชื่อเดิมเรียกว่า เขื่อนเชี่ยวหลาน เริ่มดำเนินการก่อสร้าง เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2525 แล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2530 เมื่อสร้างแล้วเสร็จได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามให้ใหม่ว่า เขื่อนรัชชประภา มีความหมายว่า แสงสว่างแห่งราชอาณาจักร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินเปิดเขื่อนรัชชประภา และโรงไฟฟ้าพลังน้ำ เมื่อวันพุธที่ 30 กันยายน 2530

 
ดื่มด่ำบรรยากาศสันเขื่อน เก็บบันทึกความทรงจำด้วยภาพถ่ายกันเรียบร้อยแล้ว เดินทางต่อไปอีกประมาณ 12 กิโลเมตรถึงท่าเรือเขื่อนรัชชประภา ที่จะนำเราล่องไปสู่แพสายชลเป้าหมายต่อไปที่จะแวะรับประทานอาหารมื้อกลางวัน โดยเรือยนต์ ถาวรรุ่งเรืองนาวา มีลุงถาวร เพ็งจันทร์ หรือ ลุงวร เป็นกัปตัน โดยใช้เวลาประมาณ 1.30 ชม.สองข้างทางห้อมล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่เขียวขจีไปด้วยต้นไม้นานาชนิด เพลิดเพลินกับอากาศที่บริสุทธิ์ กับผืนน้ำสีเขียวมรกตที่กว้างใหญ่ไพศาล ล่องเรือมาถึงครึ่งทาง ลุงวร แวะจอดเรือตรงบริเวณ “เขาถ้ำโลง” และเล่าว่า

 
“เดิมใต้ผืนน้ำตรงนี้ มีถ้ำซึ่งมีการค้นพบฝาโลงลายไทย เอามือจับจะเป็นขี้เถ้า และยังเจอร่องรอยโลงศพที่เป็นขี้เถ้า และมีของใช้สมัยโบราณ คาดว่าน่าเป็นช่วงสงคราม แล้วพม่าเอาของมาแอบซ่อนไว้ ซึ่งวัตถุโบราณส่วนใหญ่ที่ค้นพบเป็นดินเผา ล่าสุดเจอกระเบื้องบาตรดินเผาโบราณ เมื่อปี 2545 และยังมีภูเขาอีกหลายลูกที่ค้นพบว่ามีถ้ำซึ่งปัจจุบันอยู่ใต้บาดาล”

 
ลุงวรขับเรือต่อไปอีกกว่าชั่วโมงครึ่ง ถึงแพสายชล พักรับประทานอาหารมื้อเที่ยงของวันด้วยกับข้าวอันโอชา อาหารสดๆ ที่หาจากท้องถิ่น นอกจากจะมีอาหารอร่อยแล้ว แพสายชล ยังมีที่พักเปิดให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
เส้นทางเดินป่า มุ่งหน้าสู่ทะเลใน 500 ไร่
 
อิ่มกันแล้วนั่งพักครู่นึง ก่อนเดินทางต่อไปที่ทะเลใน 500 ไร่ และถ้ำปะการัง แต่หนทางเบื้องหน้าเป็นการทดสอบความฟิตของร่างกายด้วยต้องเดินป่าขึ้นเขาในระยาทาง 1 กิโลเมตร แต่เดินขึ้นไปแล้วความรู้สึกมันบอกว่าไม่น่าแค่กิโลเดียว เล่นเอาได้เหงื่อเหมือนกัน ก่อนที่จะถึงถ้ำปะการังเราต้องนั่งแพไม้ไผ่ไปอีกประมาณ 10 นาที ก็ถึงปากทางเข้าถ้ำ

 
“ถ้ำปะการัง”
เป็นถ้ำที่อยู่ในบริเวณ ทะเลใน 500 ไร่ ภายในถ้ำมีหินงอก หินย้อยลักษณะคล้ายปะการังเขากวางที่เกิดขึ้นในทะเล จากการสำรวจเบื้องต้น หินงอก หินย้อยดังกล่าว เกิดจากการตกตะกอนของน้ำหินปูน ที่เข้มข้นผสมกับความพิเศษของอากาศ ทำให้เกิดหินย้อยรูปประหลาดเหมือนปะการัง และได้พบฟอสซิลสัตว์ทะเลเซลล์เดียว อายุประมาณ 250 ถึง 400 ล้านปีในหินปูน คาดว่าเคยเป็นทะเลดึกดำบรรพ์ของโลก
ปะติมากรรมที่ธรรมชาติสร้างขึ้นใน ถ้ำปะการัง
กระโจนลงน้ำกันอย่างชุ่มฉ่ำ น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา
 
กลับมาถึงที่พัก “แพคลองคะ” ก็กระโจนลงน้ำทันที เพิ่มความชุ่มฉ่ำให้ร่างกายด้วยน้ำใสๆ สีเขียวมรกต มันช่างเย็นสบายดับความร้อนได้ดีจริงๆ

 
ส่วนบรรยากาศในยามค่ำคืน เงียบสงบ ปะปนไปกับเสียงสิงสาลาสัตว์บ้างดังมากจากในป่าใหญ่ เหงนมองฟ้าก็เห็นดาวเต็มท้องฟ้า ระยิบระยับสวยงามมาก หลังจากไม่ได้พบเจอมานาน เป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากในเมืองหลวง
บรรยากาศยามเช้ายอดเขาแทงสายหมอกอากาศเย็นสดชื่น
 
พักผ่อนเต็มอิ่มตื่นเช้ามาสูดอากาศบริสุทธิ์ ท่ามกลางสายหมอกในยามเช้า นั่งจิบกาแฟเบาๆ ก่อนที่จะรับประทานอาหารเช้า ซึ่งทางแพจะเสิร์ฟเป็นข้าวต้มร้อนๆ หรือจะพายเรือแคนูรับแสงยามเช้าชมวิวทิวทัศน์

เขาสามเกลอ อีกหนึ่งจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะเก็บบันทึกภาพสวยๆ
 
วันสุดท้ายขากลับ ลุงวร ยังจอดเรือให้แวะชม “เขาสามเกลอ” แก๊งค์ภูเขาหินปูนสามหน่อที่ยืนตระหง่านแช่อยู่ในน้ำสีเขียวมรกต ที่ซ่อนตัวอยู่หลังเขื่อนรัชชประภา เก็บบันทึกภาพประทับใจสวยๆ ได้อีกหลายมุมเลยทีเดียว
อีกมุมหนึ่งของ เขาสามเกลอ
พายเรือแคนูชมวิวทิวทัศน์
 
เอาเป็นว่าทริปนี้ประทับใจมากๆ รับรองได้ว่าสวยกว่า กุ้ยหลินเมืองจีนแน่นอน แถมอาหารยังอร่อยกว่าอีกด้วย ใครที่ยังไม่ได้ไปสัมผัสความงามที่ซ่อนตัวอยู่หลังเขื่อนและหุบเขา ต้องรีบซะแล้ว
แพไม้ไผ่มาส่งที่ทางขึ้น ถ้ำปะการัง

การเดินทางสู่อุทยานแห่งชาติเขาสก

เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว
การเดินทางเข้าสู่อุทยานแห่งชาติเขาสก ใช้เส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 401 แยกเข้าอุทยานแห่งชาติเขาสกตรงหลัก กม. ที่ 109 เข้าสู่ถนนลาดยาง ระยะทางถึงที่ทำการอุทยานประมาณ 2 กม. กรณีไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติเขาสกในส่วนของเขื่อนเชี่ยวหลาน หรือเขื่อนรัชชประภาให้ใช้เส้นทางเดียวกัน แล้วแยกเข้าสู่

อุทยานแห่งชาติเขาสก หน่วยพิทักษ์ ขส.2 แก่งเชี่ยวหลาน บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 57-58 เข้าสู่ถนนลาดยางไปประมาณ 12 กม. ก็จะถึงหน่วยพิทักษ์ฯ ขส.2 ( แก่งเชี่ยวหลาน ) จาก ขส.2 ต้องจ้างเรือให้ไปส่งยังหน่วยย่อย ขส. 3 ขส. 4 และ ขส. 7 แล้วแต่ว่าท่านจะพักแพไหน

การเดินทางโดยรถไฟ นั่งรถไฟไปลงที่สถานีพุนพิน แล้วติดต่อเช่ารถไปยังอุทยานแห่งชาติเขาสก ห่างจกสถานีรถไฟประมาณ 110 กิโลเมตร สำหรับเขื่อนรัชชประภาอยู่ห่างไปประมาณ 60 กิโลเมตร หรือจากสถานีรถไฟ นั่งรถโดยสารเส้นทางพุนพิน-ตะกั่วป่า หรือสุราษฎร์ - ภูเก็ต

เดินทางโดยรถโดยสาร ให้นั่งรถจากสถานีขนส่งสายใต้ เส้นทางภูเก็ตสายเก่า ผ่านอุทยานแห่งชาติเขาสก

หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทรสอบถามได้ที่เบอร์ 1672 สายด่วนท่องเที่ยว


ดู สวรรค์บนผืนน้ำ "กุ้ยหลิน" เมืองไทย ในแผนที่ขนาดใหญ่กว่า

กำลังโหลดความคิดเห็น