เพื่อเป็นการต้อนรับลมหนาวในยามเช้าของกรุงเทพฯ ซึ่งก็เป็นสัญญาณอันดีว่าฤดูหนาว (น้อยๆ) ได้ย่างกรายเข้ามาแล้ว ฉะนั้น “ตะลอนเที่ยว” จึงขอถือโอกาสพาไปรับลมหนาว (มากๆ) กันที่ จ.พิษณุโลก และ จ.เพชรบูรณ์
ย้อนอดีตผ่านปัจจุบันในเมืองสองแคว
ขอเริ่มต้นทริปรับลมหนาวครั้งนี้ด้วยการไปสักการะพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกที่ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหาร หรือที่เรียกกันติดปากว่า วัดใหญ่ วัดแห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นสถานที่ประดิษฐาน พระพุทธชินราช พระพุทธรูปที่ถือกันว่ามีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทย ผู้ที่เข้ามายังวัดแห่งนี้ แน่นอนว่าจะต้องเข้ามากราบไหว้พระพุทธชินราชเพื่อให้เป็นสิริมงคลกับตัวเอง แล้วยังได้ชื่นชมความงดงามจับตาทางพุทธศิลป์อีกด้วย
หลังจากนั้น เมื่อเดินออกจากพระวิหารหลวงที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชแล้ว ที่ด้านหลังของพระวิหารจะมองเห็น พระอัฎฐารส ซึ่งเป็นพระพุทธรูปยืนปางห้ามญาติ แต่เดิมประดิษฐานอยู่ในวิหารใหญ่ แต่วิหารได้พังไปจนหมดเหลือเพียงเสาที่ก่อด้วยศิลาแลงขนาดใหญ่ เรียกว่า เนินวิหารเก้าห้อง และนอกจากนี้ ภายในวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ก็ยังคงมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ วิหารพระเหลือ โดยองค์พระเหลือนั้นสร้างขึ้นจากเศษทองสัมฤทธิ์ที่เหลือจากการสร้างพระพุทธชินราช เชื่อกันว่าหากได้มาสักการะพระเหลือแล้วจะเป็นสิริมงคลเหลือกินเหลือใช้ตามชื่อของท่าน
ส่วนที่อีกมุมหนึ่งของวัด บริเวณประตูทางเข้าด้านที่หันหน้าออกไปทางแม่น้ำน่านนั้น เป็นจุดจอดรถรางท่องเที่ยวรอบตัวเมืองพิษณุโลก ซึ่งหากว่าใครที่อยากทำความรู้จักกับเมืองพิษณุโลก หรือเมืองสองแควแห่งนี้ให้มากขึ้นภายในระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็สามารถมาใช้บริการได้
ตลอดเส้นทางของรถรางท่องเที่ยวนั้น จะผ่านทั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ สถานที่น่าสนใจ และทัศนียภาพที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็น วัดสำคัญๆ ในตัวเมือง กำแพงเมืองเก่า โรงเรียน บ้าน ย่านชุมชนต่างๆ สถานีรถไฟ ฯลฯ เรียกว่า เราได้เดินทางผ่านช่วงเวลาอดีตมาจนถึงปัจจุบันของเมืองสองแควได้ขณะที่นั่งอยู่บนรถราง
จุดหนึ่งที่รถรางจะแวะจอดให้ลงไปเดินชมได้เล็กน้อยก็คือ พระราชวังจันทน์ และ ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นพระราชวังที่ประสูติและที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวร แต่ในปัจจุบันหลงเหลือเพียงรากฐานของอาคารเท่านั้น
หลังจากได้นั่งรถรางชมรอบๆ เมืองไปแล้ว ก็ขอแวะมาเรียนรู้เรื่องราวในอดีตของชาวพิษณุโลกกันที่ พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านจ่าทวี พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมข้าวของเครื่องใช้พื้นบ้านในอดีต ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆ เครื่องมือทำมาหากิน ซึ่งบางชิ้นเป็นของเก่าหายาก นอกจากนี้ก็ยังมีห้องแสดงภาพเก่าๆ ของเมืองพิษณุโลก รวบรวมเอาไว้ให้ได้ย้อนกลับไปนึกถึงกันอีกด้วย
เดินดูสิ่งของต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์ ก็ให้ย้อนนึกถึงวิถีชีวิตของคนในสมัยก่อนที่สามารถปรับประยุกต์เอาสิ่งของรอบๆ ตัวมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างดีเยี่ยม โดยไม่ต้องเสาะหาของฟุ่มเฟือยมาใช้กันให้สิ้นเปลือง แถมยังอยู่กับธรรมชาติได้อย่างกลมกลืน ไม่ต้องมาวุ่นวายแก่งแย่งทำลายธรรมชาติกันเหมือนทุกวันนี้
รับลมหนาวบนเขาค้อ
ถ้าหากว่าคิดถึงสถานที่รับลมหนาวที่ไม่ต้องตะกายไปถึงยอดดอยในภาคเหนือ ก็ต้องผ่านขึ้นมาที่บน “เขาค้อ” แห่งนี้ แต่ก่อนที่จะขึ้นไปด้านบนนั้น บริเวณใกล้กับทางที่จะขึ้นไปเขาค้อ ก็ยังมีศาสนสถานที่สวยงามและสงบเงียบ เหมาะแก่การเข้าไปปฏิบัติธรรม เจริญสติ และชื่นชมความงามอยู่อีกหนึ่งแห่ง นั่นก็คือ วัดพระธาตุผาแก้ว
วัดพระธาตุผาแก้ว ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2547 ในนาม “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” และได้รับอนุมัติจัดตั้งเป็นวัดในภายหลัง โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานปฏิบัติธรรมแก่พระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนทั่วไป บรรยากาศโดยรอบนั้นตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาที่โอบล้อม อากาศเย็นสบาย และยังมีสิ่งก่อสร้างสวยงามให้ได้เดินชมกันด้วย แต่หากว่าใครมาที่นี่ก็ขอให้รักษาความสงบและสำรวมกันด้วย เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และยังเป็นสถานที่ปฏิบัติภาวนา
หนึ่งในความงดงามของวัดที่เห็นได้อย่างเด่นชัดก็คือ เจดีย์พระธาตุผาซ่อนแก้ว สิริราชย์ธรรมนฤมิต บนยอดเจดีย์จะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับประทานมาจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก และบริเวณใต้ฐานพระเจดีย์จะใช้เป็นที่เก็บรวบรวมหลักธรรมคำสอน ภาพปริศนาธรรม และเป็นที่เจริญสติภาวนา สำหรับพุทธศาสนิกชนทั่วไป โดยรอบเจดีย์ตลอดจนบริเวณทางขึ้นลงนั้นจะประดับประดาด้วยลูกแก้ว ถ้วย ชาม และกระเบื้องหลากสีสัน ที่สลับลวดลายไปมาอย่างน่าดูชม
หลังจากเข้าไปสงบจิตสงบใจกันแล้ว เราก็ขอปีนขึ้นสู่จุดมุ่งหมายกันเสียทีที่ เขาค้อ ซึ่งก็มีชื่อเสียงในด้านเป็นสถานที่มีอากาศเย็นสบายตลอดทั้งปี มีวิวทิวทัศน์สวยงาม และยังเป็นแหล่งชมทะเลหมอกที่สวยมากอีกแห่งหนึ่ง จึงไม่แปลกนักที่เขาค้อจะเป็นสถานที่ตากอากาศยอดฮิตอันดับต้นๆ ของเมืองไทย และยังมีประโยคที่พูดถึงเขาค้ออีกว่า “พักเขาค้อ 1 คืน อายุยืน 1 ปี”
บนเขาค้อ นอกจากจะไปรับลมหนาว นอนดูดาว หรือดูทะเลหมอกในยามเช้าแล้ว ก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลากหลายแห่งที่ขาลุยอย่างเราๆ ไม่ควรพลาด เริ่มกันที่ พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก เป็นเจดีย์ที่มีสถาปัตยกรรมผสมผสานทั้งแบบสุโขทัย อยุธยา และรัตนโกสินทร์ ที่ผนังของฐานด้านล่าง เป็นแบบย่อมุม ไม้สิบสอง ซึ่งมีการใช้ตั้งแต่สมัยอยุธยา ฐานชั้นบน มีผนังเป็น 8 เหลี่ยม เป็นลักษณะที่มีการใช้ตั้งแต่ สมัยทวารวดี บริเวณเหนือซุ้มคูหา ตอนบนของ องค์เจดีย์ เป็นกลีบบัวรับองค์ ระฆังทรงกลม แบบสมัย อยุธยา ถัดขึ้นไปตอนบนเป็นบัลลังก์รับบัวกลุ่ม 5 ชั้น ทางคติมีความหายถึงพระเจ้า 5 พระองค์
ภายในเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปทั้ง 4 ทิศ ให้ประชาชนได้เข้าไปสักการะบูชา ยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐิธาตุของพระพุทธเจ้า ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกา โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานให้กับประชาชนในพื้นที่หลังจากยุติการสู้รบกับคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย
บริเวณรอบๆ พระบรมธาตุเจดีย์นั้นร่มรื่นไปด้วยไม้ใหญ่นานาพรรณ ช่วยเสริมสร้างความสดชื่นให้กับอากาศที่สามารถสูดเข้าไปได้อย่างเต็มปอด ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ก็มีผู้คนแวะเวียนเข้ามานั่งพักผ่อนหย่อนใจกันอยู่บ้าง หรือจะเดินออกไปด้านข้างก็มีระฆังเรียงรายเป็นแถวยาว ใครอยากจะเดินไล่ตีระฆังไปจนสุดทางก็ได้ตามสะดวก
บนเขาค้อนั้นมียอดเขาที่สูงที่สุดคือ เขาย่า มีความสูงประมาณ 1,290 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง โดยบริเวณเขาย่า ยังเป็นสถานที่ตั้งของ พระตำหนักเขาค้อ ซึ่งประกอบไปด้วยอาคารเชื่อมต่อกันเป็นรูปวงแหวน ส่วนที่ด้านหน้าพระตำหนัก มีสวนหย่อม และแปลงไม้ดอกมีลักษณะเป็นวงกลม มีดอกไม้นานาพรรณที่แข่งกันออกดอกชูช่ออย่างสวยงามรอให้ผู้คนเข้าไปชม
และบริเวณด้านข้างพระตำหนัก ยังเป็นจุดชมวิวจากมุมสูง มองออกไปเห็นทิวเขาซับซ้อนที่เขียวขจี ซ้อนอยู่ในเมฆหมอกสีขาว หรือหากใครที่ชื่นชอบความท้าทาย ชอบการผจญภัย ก็ยังมีกิจกรรมเดินขึ้นไปพิชิตยอดเขาย่า ซึ่งมีระยะทางประมาณ 770 เมตร
จากเขาย่า “ตะลอนเที่ยว” เดินทางลงมาสู่ถนนสาย 12 สถานที่ตั้งของ Route 12 จุดแวะพักริมทางอีกแห่งหนึ่งที่น่าแวะชมเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะมีร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกแล้ว ที่นี่ยังตกแต่งด้วยกลิ่นอายของโลกตะวันตกอย่างเข้มข้น ที่เมื่อเดินเข้ามาแล้วให้ความรู้สึกเหมือนหลงอยู่ในแหล่งคาวบอยที่เท็กซัส
Route 12 นับเป็นแหล่งรวมพลของคนที่ชมชอบการถ่ายรูป เพราะมีมุมดีๆ ให้ส่องผ่านเลนส์อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นตามร้านค้าต่างๆ ทิวทัศน์โดยรอบที่เขียวขจี สวนดอกไม้เล็กๆ และกลุ่มมอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์หลากหลายประเภทที่มักจะแวะเวียนมาเยือนอยู่เสมอ ใครที่จะแวะมาที่นี่ ขอแนะนำว่าให้เผื่อเวลาสำหรับการเดินเที่ยวเล่นเสียหน่อย เพราะอาจจะเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปแบบไม่รู้ตัวเหมือนเราก็ได้
จากเมืองสองแคว มายังแดนดินถิ่นมะขามหวาน ได้พบเจอทั้งอดีตและปัจจุบัน แถมท้ายด้วยการรับลมหนาวให้ชุ่มปอด ก็ทำให้ชีวิตคนกรุงที่รุ่มร้อนได้คลายความร้อนในใจลงบ้าง เหลือเพียงความสงบ สบาย และสุขใจ ที่ได้เดินทางไปดูความสวยความงามของธรรมชาติในเมืองไทย
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
ผู้สนใจเส้นทางท่องเที่ยวใน จ.พิษณุโลก และ จ.เพชรบูรณ์ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ททท.สำนักงานพิษณุโลก (ดูแลพื้นที่พิษณุโลกและเพชรบูรณ์) โทร. 0-5525-2742-3, 0-5525-9907