xs
xsm
sm
md
lg

ปั้นดินถิ่น“เกาะเกร็ด”...เมืองรามัญร่วมสมัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
เจดีย์เอน สัญลักษณ์ของเกาะเกร็ด
หลังจากที่เปลี่ยนชื่อคอลัมน์มาเป็น “ลุยกรุง&รอบกรุง” แล้ว วันนี้ฉันยังคงติดลมกับการท่องเที่ยวรอบกรุงอยู่ วันนี้จึงอยากชวนทุกคนมาเที่ยวกันในแถบปริมณฑล ที่ “เกาะเกร็ด” ในจังหวัดนนทบุรีกัน

“เกาะ” คือแผ่นดินที่มีน้ำล้อมรอบ เกาะเกร็ดแต่เดิมนั้นก็ไม่ได้เป็นเกาะ เป็นเพียงผืนแผ่นดินธรรมดา แต่เมื่อมีการขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยา หรือ “คลองลัดเกร็ด” ขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระแห่งกรุงศรีอยุธยา ทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทิศทาง กัดเซาะตลิ่งและทำให้คลองที่ขุดขึ้นกลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ ส่วนแม่น้ำสายเดิมก็มีขนาดเล็กลง เกาะเกร็ดจึงกลายเป็นเกาะด้วยประการฉะนี้
เครื่องปั้นดินเผา สินค้าเอกลักษณ์ของเกาะเกร็ด
บนเกาะเกร็ดนั้นมีชาวไทยรามัญหรือชาวมอญอาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ โดยชาวมอญเหล่านี้อพยพมาอยู่ที่เกาะเกร็ดตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสิน กรุงธนบุรี และในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งชาวมอญเหล่านี้มีส่วนสำคัญในการทำให้เกาะเกร็ดกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจของจังหวัดนนทบุรีในปัจจุบัน เพราะเมื่อพวกเขาอพยพมาอาศัยอยู่บนเกาะเกร็ด ก็ได้นำเอางานหัตถศิลป์ที่พวกเขาเชี่ยวชาญอย่างการปั้นเครื่องปั้นดินเผามาด้วย และมีการสืบทอดฝีมือการทำเครื่องปั้นดินเผาจากรุ่นสู่รุ่นมาจนปัจจุบัน

วันนี้ที่ฉันได้มาเยือนเกาะเกร็ดพร้อมกับผู้คนมากมายทั้งชาวไทยและต่างชาติ ขณะนั่งเรือข้ามฟากจากวัดสนามเหนือมายังเกาะเกร็ด ก็มองเห็น “เจดีย์เอน” ที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของเกาะเกร็ด ที่เห็นปุ๊บก็ต้องนึกถึงเกาะเกร็ดปั๊บ โดยเจดีย์เอนหรือ “เจดีย์มุเตา” นั้นเป็นเจดีย์สีขาวของวัดปรมัยยิกาวาส ตั้งอยู่บนแหลมทางตอนเหนือของเกาะ เจดีย์องค์นี้เป็นเจดีย์ทรงรามัญที่คนสร้างไม่ได้ตั้งใจให้เอียง แต่เมื่อเวลาผ่านไปตลิ่งเกิดทรุดลง องค์เจดีย์ก็เลยเอนเข้าหาแม่น้ำอย่างที่เราเห็นกัน แต่คนเฒ่าคนแก่ชาวมอญเชื่อกันว่า เหตุที่เจดีย์เอนก็เพราะจระเข้ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำและคอยปกปักรักษาเกาะเกร็ดนั้นขยับตัว ทำให้ตลิ่งทรุดจนเจดีย์เอนลงมา
นักท่องเที่ยวมองดูช่างกำลังปั้นดินอย่างสนใจ
เรือข้ามฟากพาเรามาส่งที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส วัดสำคัญบนเกาะเกร็ดที่เดิมเรียกกันว่า “วัดปากอ่าว” เชื่อว่าน่าจะสร้างขึ้นหลังจากมีการขุดคลองลัดเกร็ด และได้ถูกทิ้งร้างไปเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ต่อมาชาวมอญที่มาอาศัยอยู่ได้ร่วมใจกันบูรณะวัดร้างนี้ขึ้นมาใหม่ และได้มีการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่อีกครั้งในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อพระองค์เสด็จมาทอดพระกฐินในแถบนี้และเห็นว่าวัดนี้ทรุดโทรมมาก เมื่อทรงปฏิสังขรณ์โดยคงรูปแบบมอญไว้แล้วพระองค์จึงพระราชทานชื่อวัดให้ใหม่ว่า “วัดปรมัยยิกาวาส” เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล สนองพระคุณพระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร ผู้ทรงอภิบาลพระองค์มาแต่ทรงพระเยาว์
อาจารย์ทนงชัย มากไอ กับงานแกะสลักเครื่องปั้นดินเผา
ที่วัดนี้นอกจากจะมีเจดีย์เอนอันเป็นเอกลักษณ์แล้ว ก็ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบไทยประยุกต์ ด้านหลังพระอุโบสถมีพระเจดีย์รูปทรงแบบมอญซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ ทั้งยังมีพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ และที่ไม่ควรพลาดชมก็คือพิพิธภัณฑ์ของวัด ซึ่งจัดแสดงอยู่ในอาคารสองชั้น ชั้นล่างเป็นหอไทยนิทัศน์ เครื่องปั้นดินเผา จัดแสดงเครื่องปั้นดินเผาชิ้นเก่าแก่และงดงาม ส่วนชั้นบนเป็นพิพิธภัณฑ์ ร.5 จัดแสดงข้าวของมีค่าของวัด เช่นพระพุทธรูป จารึกใบลาน ตู้พระธรรม ฯลฯ และมีข้าวของพระราชทานจากรัชกาลที่ 5 อีกด้วย

คราวนี้ก็ถึงเวลาเดินเที่ยวรอบเกาะ ชมเครื่องปั้นดินเผากันเสียที บนเกาะเกร็ดนี้สามารถเดินได้รอบเป็นวงกลม แต่ก็ไม่มีใครเดินจนรอบกันหรอก เพราะแหล่งปั้นเครื่องปั้นดินเผาและร้านค้าต่างๆจะอยู่กันบริเวณด้านหน้าเกาะเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่หากใครประสงค์จะชมให้ทั่วทั้งเกาะก็ควรเช่าจักรยานมาขี่จะเป็นการดีที่สุด แต่การขี่นั้นก็ต้องระมัดระวังกันหน่อย เนื่องจากถนนแคบและมีผู้คนเดินไปเดินมามากมาย บางช่วงจึงต้องใช้วิธีจูงเอาบ้าง
สินค้าเครื่องปั้นดินเผาเล็กๆ น้อยๆ เหมาะแก่การซื้อไปเป็นของฝาก
แต่ฉันขอเลือกวิธีเดินชมเกาะไปเรื่อยๆ ดีกว่า จากหน้าวัดปรมัยยิกาวาสฉันจึงเลือกเดินไปทางซ้ายมือที่เต็มไปด้วยร้านค้ามากมายกันก่อน บนทางเดินเล็กๆ นี้มีร้านรวงต่างๆ มาเปิดขายของกันมากมาย ข้าวของส่วนใหญ่ก็จะเป็นเครื่องปั้นดินเผารูปแบบต่างๆ ทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ ชิ้นเล็กๆก็จำพวกตุ๊กตาดินเผาเป็นรูปเด็ก รูปสัตว์ต่างๆ นอกจากนั้นก็ยังมีถ้วยกาแฟ หรือผอบเล็กๆใส่ของกระจุกกระจิก ส่วนของชิ้นใหญ่ๆ หน่อยก็เป็นคนโทใส่น้ำลวดลายวิจิตรงดงาม แจกันใบใหญ่ หรืออ่างน้ำพุสวยๆ แต่ของชิ้นใหญ่ๆนี้มักจะขายอยู่ในบ้านที่ทำเครื่องปั้นดินเผาซึ่งมักจะอยู่ในซอยแยกเล็กๆที่ต้องเดินเข้าไปชม ซึ่งฉันก็ขอแนะนำว่าไม่ควรพลาด

ภายในบ้านหลายๆหลังที่เป็นแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผานั้น จะมีเตาเผาแบบโบราณที่เป็นอิฐก่อขึ้นคล้ายอุโมงค์ แล้วใช้ฟืนเผาให้ความร้อน เราจะเห็นช่างปั้นนั่งทำงานอยู่หน้าแป้นปั้นดินซึ่งหมุนอยู่ตลอดเวลา ขึ้นรูปก้อนดินให้เป็นแจกัน เป็นกระถาง เป็นภาชนะต่างๆ ได้อย่างน่ามหัศจรรย์ การปั้นขึ้นรูปนี้ดูเหมือนจะง่าย แต่หากลองได้ลองทำเองแล้วจะรู้ว่าไม่ง่ายอย่างที่คิด ซึ่งนักท่องเที่ยวก็สามารถทดลองปั้นด้วยมือตัวเองได้ด้วย จะออกมาบิดๆเบี้ยวๆ หรือสวยงามแค่ไหนก็แล้วแต่ฝีมือ ปั้นเสร็จแล้วก็นำกลับไปโชว์ที่บ้านได้เลย
พระพุทธรูปในพิพิธภัณฑ์ ร.5 ที่วัดปรมัยยิกาวาส
ได้มาลองปั้นดินสนุกสนานกันแล้วออกมาเดินชมข้าวของกันต่อ สินค้าที่วางขายในเกาะเกร็ดนี้ไม่ใช่จะมีเพียงแค่งานเครื่องปั้นดินเผาเท่านั้น แต่ยังมีของที่ระลึกเก๋ๆ แนวๆ ให้เลือกซื้อกัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อยืดพิมพ์ลายเกาะเกร็ด กระเป๋าผ้าหลากสี โคมไฟสวยๆ เหมาะจะซื้อเป็นของฝากตัวเองและเพื่อนที่ไม่ได้มาด้วย

ระหว่างทางที่เดินมานี้ก็จะผ่านวัดอีกสองแห่ง คือวัดไผ่ล้อม และวัดเสาธงทอง สามารถแวะเข้าไปไหว้พระกันได้ หรือใครเดินมานานแล้วท้องชักจะเริ่มร้องอุทธรณ์ ก็เชิญเลือกซื้อเลือกชิมอาหารที่มีขายอยู่มากมาย แต่ที่ไม่อยากให้พลาดชิมเลยก็คือ “ทอดมันหน่อกะลา” ของกินขึ้นชื่อของเกาะเกร็ด ที่มีพืชพื้นบ้านบนเกาะคือ “หน่อกะลา” พืชตระกูลเดียวกับข่าเป็นตัวชูโรง แม่ค้าพ่อค้าจะนำต้นหน่อกะลามาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปผสมกับเนื้อปลากรายและเครื่องปรุงต่างๆ ปั้นเป็นก้อนแล้วทอดในน้ำมันร้อนๆ ได้ออกมาเป็นทอดมันหน่อกะลา กินกับน้ำจิ้มและแตงกวา อร่อยน่าดู
ดอกไม้ทอดและทอดมันหน่อกะลา ของกินขึ้นชื่อที่นี่
นอกจากนั้นแล้วก็ยังมี “ดอกไม้ทอด” เป็นของกินยอดนิยมของที่นี่ด้วยเช่นกัน ที่เขาเอาดอกไม้อย่างดอกอัญชัญ ดอกเข็ม ดอกเฟื่องฟ้า หรือดอกลั่นทม มาชุบแป้งแล้วทอดจนกรอบราดด้วยน้ำจิ้ม เดินกินกันเพลินๆ และหากคอแห้งก็แวะซื้อเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟโบราณ น้ำสมุนไพร หรือน้ำอัดลมต่างๆ ที่มีความเก๋แตกต่างจากที่อื่นตรงที่สามารถเลือกใส่แก้วดินเผา เดินถือกินแล้วเอากลับบ้านเป็นที่ระลึกไปได้เลย ได้บรรยากาศการมาชมเกาะเกร็ดแล้วยังช่วยลดโลกร้อนได้อีกต่างหาก

เดินไปจนถึงวัดเสาธงทองแล้วร้านค้าก็เริ่มบางตาลงเรื่อยๆ ฉันจึงเดินย้อนกลับมาที่วัดปรมัยยิกาวาสอีกครั้ง แล้วเดินไปชมบรรยากาศทางอีกฝั่งหนึ่งของเกาะกันบ้าง เส้นทางนี้มีบรรยากาศแตกต่างจากอีกฝั่งหนึ่งตรงที่ไม่มีร้านค้าหนาแน่น ผู้คนไม่พลุกพล่านมากนัก ยังมีภาพของชุมชนคนเกาะเกร็ดดั้งเดิมให้เห็นอยู่มาก และมีร้านอาหารน่ารักน่านั่งอยู่หลายร้าน
สินค้าเก๋ๆ อย่างเสื้อยืดพิมพ์ลายก็มีให้ช้อป
ทางฝั่งนี้ก็มีบ้านที่ทำเครื่องปั้นดินเผาอยู่หลายบ้านเช่นกัน สามารถเข้าไปชมและเลือกซื้อสินค้ากันได้ตามอัธยาศัย แต่บ้านที่ฉันอยากให้เข้าไปชมก็คือบ้านอาจารย์ทนงชัย มากไอ ช่างปั้นและแกะสลักเครื่องปั้นดินเผาฝีมือเยี่ยมแห่งเกาะเกร็ด ผู้ที่สรรค์สร้างเครื่องปั้นดินเผาธรรมดาๆ ให้มีเรื่องราวด้วยการแกะสลักที่งดงามวิจิตรเป็นลวดลายแบบไทย หรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา ซึ่งเครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้ได้รับรางวัลจากการประกวดในระดับประเทศมาหลายชิ้น มีคนมาติดต่อขอซื้อผลงานของเขาตั้งแต่หลักแสนไปจนถึงหลักล้าน แต่ที่ทำให้เขาภาคภูมิใจที่สุดคงเป็นการที่ได้ถวายเครื่องปั้นดินเผาฝีมือของตันเองแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี และยังได้ถวายเครื่องปั้นดินเผาแด่พระบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองค์ด้วยกัน
ร้านอาหารบรรยากาศดีก็มีให้เลือกนั่งชิม
นี่เป็นเพียงการเดินเที่ยวบนเกาะเกร็ดเท่านั้น หากใครอยากจะเที่ยวรอบๆเกาะ เขาก็มีบริการพานั่งเรือรอบเกาะเกร็ด เสียค่าตั๋วเพียงคนละ 60 บาท เรือพร้อมทั้งมัคคุเทศก์จะพาเรานั่งชมทิวทัศน์รอบเกาะ ก่อนจะพาแวะเข้าคลองขนมหวาน ให้เราชมการสาธิตการทำขนมไทย และเลือกชิมเลือกซื้อขนมเหล่านี้ไปเป็นของฝาก จากนั้นก็จะพาไปแวะที่วัดแสงศิริธรรมซึ่งอยู่นอกเกาะเกร็ด ให้เราได้ไหว้พระและให้อาหารปลา จากนั้นจึงพากลับมาส่งที่เกาะเกร็ดอีกครั้ง ใช้เวลา 1 ช.ม. 40 นาที มีเรือพาชมกันทุกชั่วโมงในวันเสาร์อาทิตย์ ซื้อตั๋วกันได้ที่ท่าน้ำวัดปรมัยยิกาวาส

การได้มาเที่ยวเกาะเกร็ดใกล้ๆ กรุงแค่นี้ ก็ทำให้วันหยุดหนึ่งวันกลายเป็นวันที่สนุกสนานได้แล้ว
ขี่จักรยานชมเกาะก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

*    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    *    * 


การเดินทางไปยังเกาะเกร็ด สามารถนั่งเรือข้ามฟากมาจากวัดสนามเหนือ มาขึ้นที่วัดปรมัยยิกาวาส หรือนั่งเรือข้ามฟากจากวัดกลางเกร็ด มาขึ้นที่ท่าเรือป่าฝ้าย หรือนั่งเรือข้ามฟากจากวัดบางจาก มาขึ้นที่วัดเสาธงทองก็ได้เช่นกัน หรือหากต้องการท่องเที่ยวแบบสบายๆ ก็สามารถนั่งเรือท่องเที่ยวมากับเรือด่วนเจ้าพระยา ที่มีการจัดทริปทุกวันอาทิตย์ นักท่องเที่ยวสามารถมาขึ้นเรือได้ที่ท่าเรือสาทร หรือท่าเรือมหาราช จากนั้นเรือจะพามาเที่ยวที่วัดเฉลิมพระเกียรติ ชมคลองขนมหวาน และพานักท่องเที่ยวมาชมเกาะเกร็ด จากนั้นจึงกลับกรุงเทพฯ มีค่าบริการ ผู้ใหญ่ 300 บาท เด็ก 250 บาท สอบถามโทร.0-2623-6001 ถึง 3, 0-2225-3003, 0-2222-5330
กำลังโหลดความคิดเห็น