xs
xsm
sm
md
lg

5 ที่สุดสถานการณ์ท่องเที่ยวแห่งปี วันพ่อ สุขที่สุด-หลินปิง ดังที่สุด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ประชาชนมากมายเดินทางมาร่วมแสดงความสุขในช่วงเทศกาลวันพ่อ ณ ถนนราชดำเนิน
ปีเก่าผ่านไป ปีใหม่มาเยือน
 
ในช่วงปีที่ผ่านมามีหลายเรื่องราวเกิดขึ้นกับประเทศไทย และกับการท่องเที่ยวของไทย ที่ "ทีมข่าวท่องเที่ยว" รวบรวมมาสรุปให้ฟังกับความเป็น "5 ที่สุด" เกี่ยวกับการท่องเที่ยวไทยในปีนี้


สุขที่สุด

การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงหายจากพระอาการพระประชวร(แต่ยังประทับพักฟื้นอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราช) ถือเป็นสิ่งที่คนไทยเป็นสุขที่สุด โดยแถลงการณ์สำนักพระราชวังฉบับที่ 35 ซึ่งทำให้ปวงประชาปลื้มปิติอย่างที่สุดได้รายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหายจากพระอาการประชวรมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ยังประทับพักฟื้นอยู่ ณ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เพื่อให้คณะแพทย์ฯ ทำกายภาพบำบัดถวายเพื่อฟื้นฟูพระวรกายและเพิ่มกำลังพระกล้ามเนื้อ ตลอดจนถวายพระกระยาหารบำรุงตามหลักโภชนาการ ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีรับปีใหม่ที่ชาวไทยทั้งประเทศรอฟังมาโดยตลอด
บรรยากาศแห่งความสุขในช่วงเทศกาลวันพ่อ
อย่างไรก็ตามก่อนหน้านั้นในช่วงเทศกาลวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช หรือวันพ่อแห่งชาติ ก็เป็นช่วงที่คนไทยมีความสุขที่สุดเช่นกัน เพราะผลโพลได้ระบุว่าช่วงนั้นดัชนีความสุขของคนไทยพุ่งปรี๊ดกว่า 95 % เลยทีเดียว นับเป็นช่วงเทศกาลที่คนไทยมีความสุขที่สุดในปีนี้

โดยสิ่งที่ยืนยันความสุขของประชาชนในช่วงเทศกาลวันพ่ออย่างชัดเจน นอกจากความปลื้มปีติของประชาชนที่ได้ชมพระบารมีของในหลวงที่เสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในวันที่ 5 ธันวาคมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันว่าคนไทยมีความสุขมากที่สุดในรอบปีก็คือการที่มีประชาชนจำนวนมากนับแสนๆคนในแต่ละวันจากทุกสารทิศทั่วฟ้าเมืองไทย พากันเดินทางไปร่วมในงานเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 82 พรรษา 5 ธันวาฯ
บรรยากาศแห่งความสุขในข่วงเทศกาลวันพ่อ
งานนี้รัฐบาลจัดอย่างยิ่งใหญ่ ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า บริเวณถนนราชดำเนิน ไปจนถึงท้องสนามหลวง ตั้งแต่วันที่ 3-13 ธ.ค. 52 โดยมี 9 กิจกรรมใหญ่เทิดพระเกียรติร่วมด้วยกิจกรรมน่าสนใจอื่นๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงแสงสีเสียงตลอดแนวถนนราชดำเนิน การแสดง 4D ครั้งแรกในเมืองไทยบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม การแสดงศิลปวัฒนธรรม งานช่างสิบหมู่ การสาธิตลายรดน้ำ และมีการจัดแสดงขบวนรถไฟฟ้าเกียรติยศที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งการจุดพลุที่ยิ่งใหญ่ตระการตา

แต่ก็มีเรื่องที่ทำให้ความสุขต้องสะดุดเมื่อม็อบเสื้อแดงเกิดอยากจะชุมนุมเดินขบวนกันในวันที่ 10 ธ.ค. เรียกว่าความสุขของคนไทยในช่วงเทศกาลวันพ่อต้องมาสะดุดกึกเสียหนึ่งวันจากการชุมชนของคนเสื้อแดงที่ไม่รู้จักกาลเทศะเหล่านั้น
ม็อบแดงถ่อยป่วนพัทยา ทำลายการท่องเที่ยวไทยยับเยิน
ทำลายที่สุด

สงกรานต์คือวันปีใหม่แบบไทยๆที่นักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลกให้ความสนใจ และเดินทางมาท่องเที่ยวในช่วงนี้กันอย่างคึกคัก ถือเป็นอีกหนึ่งเทศกาลแห่งความสุขของคนไทย แต่สงกรานต์ปีนี้เหมือนมีมารผจญเมื่อบรรดาม็อบเสื้อแดงอีกเช่นเคยได้ทำลายความสุขของคนไทยในช่วงปีใหม่ไทยลงโดยสิ้นเชิง ส่งผลให้บรรยากาศการท่องเที่ยวไทยถูกในปีนี้ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับด้วย

โดยช่วงเทศกาลสงกรานต์ของปีนี้ "เมืองพัทยา" จังหวัดชลบุรี ที่ถูกใช้เป็นสถานที่ในการประชุมสุดยอดอาเซียน+3 +6 ที่ถือเป็นภาพลักษณ์อันดีงามและเป็นหน้าตาของประเทศ ซึ่งหากจังหวัดใดถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเช่นนี้ย่อมจะส่งผลดีถึงการท่องเที่ยว เพราะภาพที่สวยงามของจังหวัดนั้นๆ จะถูกถ่ายทอดออกไปทั่วโลก อีกทั้งความประทับใจที่บรรดาผู้นำและเจ้าหน้าที่จากต่างประเทศได้มาสัมผัสก็จะถูกบอกเล่าปากต่อปากกันต่อไป

แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นตรงกันข้าม หลังจากที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่มีนช.แม้ว เสื้อแดงตัวพ่อให้ท้ายได้บุกเข้ามาสร้างความวุ่นวายถึงในโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท อันเป็นสถานที่จัดประชุมอาเซียนในครั้งนี้ ทำให้โรงแรมเกิดความเสียหายอย่างมากประเมินเป็นมูลค่ากว่า 14.4 ล้านบาท แต่สิ่งที่เสียหายจนประเมินค่ามิได้นั้นก็คือภาพลักษณ์ของประเทศ เพราะภาพที่ถูกถ่ายทอดออกไปทั่วโลกคือภาพที่ม็อบเสื้อแดงยกพวกกันเข้ามาในโรงแรม ทำลายข้าวของในโรงแรมเสียหาย ภาพของผู้นำชาติต่างๆ ที่ตื่นตกใจ และต้องหลบภัยออกจากโรงแรมโดยเรือสปีดโบท ความวุ่นวายนี้ทำให้รัฐบาลต้องประกาศเลื่อนการประชุมออกไป รวมทั้งประกาศภาวะฉุกเฉินพื้นที่พัทยา ชลบุรีอีกด้วย

จากนั้นกลุ่มคนเสื้อแดงยังไม่หยุดความเถื่อนถ่อยแต่กลับแสดงความบ้าคลั่งมากขึ้น ทั้งทุบรถนายกฯหลังประกาศภาวะฉุกเฉินที่กระทรวงมหาดไทย รวมถึงก่อการจราจลเผาบ้านเผาเมืองในกรุงเทพฯ นำรถแก๊สออกมาปิดถนน ไล่ยิงประชาชน และแสดงความเถื่อนถ่อยแบบสุดที่เกินจะบรรยายออกมาอีกหลายอย่าง ส่งผลให้ประเพณีสงกรานต์ปีนี้แทนที่จะเป็นเทศกาลแห่งความสุขในวันปีใหม่ไทย ซึ่งมีเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวจำนวนมาก กลับกลายเป็นเทศกาล "สงกรานต์เลือด"ที่สร้างความฉาวโฉ่ไปทั่วโลก
สามพันโบก แหล่งท่องเที่ยวมาแรงที่สุดในปีนี้
เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนต้องล่ม และส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของเมืองพัทยา และการท่องเที่ยวในเมืองไทย อย่างร้ายแรง เพราะภาพความรุนแรงนั้นจะทำให้นักท่องเที่ยวจากต่างชาติรู้สึกไม่ปลอดภัยในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย เช่น รัฐบาลของประเทศออสเตรเลีย สิงคโปร์ และรัสเซีย ได้ออกคำเตือนให้พลเมืองของตนหลีกเลี่ยงการเดินทางมาพัทยาและใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งในการเดินทางทั่วประเทศไทย การขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวในขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังซบเซาก็ทำให้มีผลกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศอย่างแน่นอน อีกทั้งเหตุการณ์นี้ยังเกิดขึ้นก่อนเทศกาลสงกรานต์เพียงไม่กี่วันเท่านั้น ทำให้บรรยากาศของเทศกาลแห่งความสุขนี้ต้องกร่อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งยังส่งผลกระทบ(หนัก)ต่อภาคการท่องเที่ยวของไทยหลังจากนั้นไปอีกหลายเดือน จนผู้คนในแวดวงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในปีนี้ย่ำแย่ไปตามๆกัน

แรงที่สุด

ท่ามกลางกระแสโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวในเมืองไทย "เที่ยวไทยครึกครื้นเศรษฐกิจไทยคึกคัก" แหล่งท่องเที่ยวที่มาแรงที่สุด ก็ต้องยกให้กับ "สามพันโบก" ในอำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ด้วยฝีมือของกระแสน้ำโขงที่สรรค์สร้างโดยให้สายน้ำพัดหมุนวนกัดเซาะแก่งหินชั่วนาตาปี จนพื้นหินกลายเป็นหลุมเป็นร่อง เป็นแอ่งน้อยใหญ่มากมายหลายพันแอ่ง ซึ่งในภาษาลาวมักเรียกหลุมเหล่านี้ว่า "โบก" จึงเป็นที่มาของชื่อ "สามพันโบก" นั่นเอง แต่ในช่วงหน้าน้ำเราจะมองไม่เห็นความงดงามของโบกเหล่านี้ จนเมื่อสิ้นฤดูน้ำหลาก จึงได้เวลาเผยความงามและความมหัศจรรย์กลางลำน้ำโขงให้ได้ยลกัน
สามพันโบกแหล่งท่องเที่ยวมาแรงที่ต้องการการจัดการที่ดีกว่านี้
แหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้เพิ่งจะเป็นที่รู้จักกันเมื่อปีสองปีนี้นี่เอง หลังจากที่ อ.เรืองประทิน เขียวสด ครูโรงเรียนบ้านสองคอน หนึ่งในผู้บุกเบิกแหล่งท่องเที่ยวสามพันโบก เริ่มเผยแพร่ภาพของสามพันโบกออกตามสื่อ แต่สามพันโบกมาบูมเอาจริงๆจังๆ ก็เมื่อได้รับคัดเลือกให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลต์ในภาพยนตร์โฆษณาของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ชุด "เบิร์ดชวนเที่ยว" ตามด้วยการประชาสัมพันธ์สามพันโบกอย่างถี่ยิบผ่านสื่อต่างๆ ส่งผลให้สถานที่แห่งนี้โด่งดังราวกับพลุแตก และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งปีที่มาแรงแซงโค้งแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ

แต่ในความมาแรงแบบก้าวกระโดดนี้ก็ทำให้เกิดปัญหาไม่น้อย เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาชมเป็นจำนวนมากทำให้การเตรียมรองรับไม่พร้อม ทั้งในเรื่องที่พัก เรือรับส่ง ห้องน้ำ และการจัดการขยะ ซึ่งเรื่องนี้ก็ต้องให้ความรู้ความเข้าใจกับคนในพื้นที่ ให้มีการจัดการที่ดี เพื่อสร้างความยั่งยืนของแหล่งท่องเที่ยวต่อไป
บรรยากาศยามเย็นที่สามพันโบก
และในปีนี้ใครที่อยากไปชมสามพันโบกก็ต้องเตรียมตัวกันได้แล้ว เพราะช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาเที่ยวชมก็คือเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น้ำในแม่น้ำโขงลด อีกทั้งอากาศยังเย็นสบาย ไม่ร้อนจัด และเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะมาชมก็คือช่วงบ่าย 4 โมงเย็น ไปจนถึงช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน อันเป็นภาพประทับใจของนักท่องเที่ยวหลายต่อหลายคนมาแล้ว

วุ่นวายที่สุด

เพิ่งจะพูดถึงการโปรโมทแหล่งท่องเที่ยวที่ได้ผลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ไป แต่ภายในองค์กรนี้กลับมีเรื่องวุ่นวายให้ชวนปวดหัวที่สุดในปีนี้ เพราะเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทางคณะกรรมการ (บอร์ด) ททท. ก็ได้มีมติคำสั่งเรื่องการโยกย้ายผู้บริหารระดับสูงภายใน กรณีการแต่งตั้งนายอักกพล พฤกษะวัน จากตำแหน่งรองผู้ว่าการด้านสินค้าการท่องเที่ยว ไปเป็นที่ปรึกษาผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระดับ 11 และโยกย้ายตำแหน่งรองผู้ว่าการททท.อีก 3 ตำแหน่ง ซึ่งคนใน ททท. มองประเด็นนี้ว่า เป็นการล้วงลูกจากฝ่ายการเมืองที่รับไม่ได้ จนสหภาพรัฐวิสาหกิจการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(สรทท.)และพนักงานททท.ออกมาแสดงเจตนารมณ์ ด้วยการประกาศอารยะขัดขืนต่อมติบอร์ด ททท. และทำให้หลายฝ่ายออกมาแสดงความเป็นห่วงว่า ศึกภายในของททท.จะซ้ำเติมการท่องเที่ยวไทยให้ย่ำแย่ลงไปอีก
พนักงาน ททท. แสดงพลังเมื่อถูกการเมืองล้วงลูก
การกระทำหลายอย่างที่ทำให้คน ททท.รับไม่ได้นั้นก็เช่นการที่พรรคการเมืองเข้ามายุ่มย่ามกับงบประมาณด้านการท่องเที่ยว งบหลายสิบล้านไหลเข้าสู่จังหวัดสุพรรณบุรีเป็นจำนวนมากทั้งที่มองกันตามจริงแล้วเป็นจังหวัดที่ไม่มีมีศักยภาพทางการท่องเที่ยวมากมาย หรือความอึดอัดใจกับรัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาที่คน ททท.มองว่าไม่มีความรู้ความสามารถด้านการท่องเที่ยว แต่กลับได้มาบริหารกระทรวงที่มีงบประมาณหมุนเวียนหลายพันล้าน และอีกหลายเหตุการณ์จนทำให้พนักงาน ททท.ส่วนหนึ่งต้องลุกขึ้นมาแต่งชุดดำไว้อาลัยให้กับยุคมืดในช่วงนั้น

ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ส่วนหนึ่งมาจากที่ผ่านมาองค์กรขาดผู้นำ เนื่องจากในขณะนั้นยังไร้ตำแหน่งผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมานานกว่า 7 เดือน หลังจากที่ พรศิริ มโนหาญ อดีตผู้ว่าการฯ คนเก่าหมดวาระไปเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา คงมีแต่รักษาการผู้ว่าการฯ ซึ่งก็เป็นได้แค่เพียงหุ่นเชิดจากฝ่ายการเมือง ที่มุ่งเข้ามาหาผลประโยชน์จากงบประมาณต่างๆ ภายในททท.

แต่ในขณะนี้ที่นายสุรพล เศวตเศรนี ก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ก็หวังว่าบรรยากาศคุกกรุ่นต่างๆ คงจะคลี่คลายไปในทางดี เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของชาติจริงๆ มิใช่ทำหน้าที่เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
ภาพน่ารักของคู่แม่ลูกฮอตฮิตแห่งปี หลินฮุ่ย-หลินปิง
ดังที่สุด

ความเป็นที่สุดอันดับสุดท้ายนี้ ไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าเป็นความน่ารักที่สุด หรือเป็นความน่าหมั่นไส้ที่สุดกันแน่ อยู่ที่คนอ่านจะตัดสินใจกันเอง แต่ที่แน่ๆ ก็คือ "ดังที่สุด" แน่นอน นั่นก็คือ "หลินปิง" แพนด้าน้อยแห่งสวนสัตว์เชียงใหม่ ที่ลืมตาดูโลกแบบเซอร์ไพรซ์คนทั้งประเทศเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากที่มีความพยายามจะให้ช่วงช่วงและหลินฮุ่ย แพนด้าพ่อแม่ผสมพันธุ์กันตามธรรมชาติ แต่ก็คว้าน้ำเหลว จนต้องใช้วิธีผสมเทียม และครั้งหลังสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทีมสัตวแพทย์ได้ฉีดน้ำเชื้อของช่วงช่วงให้หลินฮุ่ยอีกครั้งจนเป็นผลสำเร็จ ได้ลูกหมีแพนด้าออกมาหนึ่งตัว

ด้วยความที่เป็นลูกหมีแพนด้าตัวแรกและด้วยความน่ารักของมัน สังคมไทยจึงเกิดอาการ "เห่อ" สื่อเมืองไทยมีข่าวแพนด้าน้อยขึ้นหน้าหนึ่งแทบทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นแพนด้าน้อยอ้วนขึ้น แพนด้าน้อยโตไวเกินคาด แพนด้าน้อยมีจุดดำเห็นชัดขึ้น แพนด้าน้อยอายุครบ 3 สัปดาห์ ฯลฯ มีการจัดงานรับขวัญแพนด้าน้อยเป็นงานระดับจังหวัด มีการประกวดตั้งชื่อแพนด้า มีการทำโพลหมีแพนด้า บ้านของแพนด้าก็ทำเป็นโดมหิมะอย่างดีลงทุนไปร่วม 60 ล้าน มีการสร้างโดมหิมะ มีการถ่ายทอดชีวิตแพนด้าตลอด 24 ชั่วโมงผ่านช่องเคเบิลทีวี ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อแพนด้าน้อยที่จะอยู่ในความดูแลของไทยเพียง 2 ปี เท่านั้น จากนั้นก็จะต้องกลับไปอยู่เมืองจีนตามสัญญาที่ทำไว้
หลินปิง แพนด้าน้อยที่โด่งดังที่สุดในวงการท่องเที่ยวปี 52
หลังจากมีกระแสแพนด้าฟีเวอร์ขึ้นแล้ว ประชาชนบางส่วนจึงเกิดอาการ "หมั่นไส้" มีการนำแพนด้าไปเปรียบเทียบกับช้าง ในทำนองน้อยใจแทนช้างไทยว่าเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมือง ทำประโยชน์ให้กับประเทศไทยหลายอย่าง ทั้งออกรบ สู้ศึกเพื่อบ้านเมืองมาก็หลายครั้ง ช่วยทำมาหากินก็ได้ แต่พอมีแพนด้า สัตว์ต่างบ้านต่างเมืองเข้ามา ทุกคนก็ลืมช้างไทยกันหมด อีกทั้งในช่วงนั้นก็มีข่าวร้ายๆเกิดกับช้างไทยบ่อยครั้ง ทั้งเรื่องการบาดเจ็บของพังกำไล ช้างป่าเขาชะเมาถูกไฟช็อตตาย และปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับช้างที่มีอยู่แต่ไม่ได้รับการแก้ไข เช่น ช้างเร่ร่อน ช้างถูกทำร้าย ช้างถูกรถชน ก็ยิ่งทำให้ช่องว่างในข้อเปรียบเทียบระหว่างช้างไทยกับหมีแพนด้ายิ่งห่างกันมากยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นความน่ารักน่าชังของแพนด้าน้อยจึงถูกบางคนมองว่าเป็นความน่าหมั่นไส้ไปในที่สุด ทั้งที่เจ้าแพนด้าขอบตาดำไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยสักนิด

แต่กระแสความดังของแพนด้าน้อยหลินปิงก็มีข้อดีกับจังหวัดเชียงใหม่อย่างมากในเรื่องของการกระตุ้นการท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเจ้าแพนด้าน้อยสามารถโชว์ผลงานกระตุ้นการท่องเที่ยวได้ดีกว่ารมว.กระทรวงการท่องเที่ยวฯเสียอีก!?!
กำลังโหลดความคิดเห็น