นายกรัฐมนตรีประกาศพร้อมยุบสภาทันที แต่งัดเงื่อนไขดัดหลังเพื่อไทย-เสื้อแดง ลั่นต้องเลิกพฤติกรรมรุนแรงก้าวร้าว เตือนอย่าก่อเหตุวุ่นวายอีก เพราะภาพลักษณ์อาจป่นปี้ในเวทีโลก ย้ำสัมพันธ์เขมรสะบั้น เหตุดันทุรังตั้ง “แม้ว” นั่งที่ปรึกษา ฟุ้งไทยก้าวพ้นวิกฤตเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว เย้ยหมดยุคประชานิยม เดินหน้าเข้าสู่ระบบสวัสดิการสังคม
วันนี้ (23 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงถึงผลงานในการบริหาราชการแผ่นดินครบรอบ 1 ปี ภายใต้หัวข้อ “ประเทศเดินหน้า ประชาเป็นสุข” ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย โดยมีใจความสรุปได้ว่า รัฐบาลชุดนี้มาตามครรลองระบอบประชาธิปไตย จึงถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องรายงานผลงานให้ประชาชนเจ้าของประเทศได้รับทราบข้อเท็จจริงว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา การบริหารราชการเดินหน้าลุล่วงมาด้วยดี เพราะได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย หากย้อนกลับไปดูเหตุการณ์เมื่อปลายปี 51 มีปัญหาทั้งด้านความขัดแย้งการเมือง และวิกฤตเศรษฐกิจ สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนั้นยังดูไม่ออกว่าจะเดินหน้าต่อไปในทิศทางไหน รัฐบาลจึงได้กำหนดยุทธศาสตร์เพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจ การกระตุ้นเศรษฐกิจโดยให้ประชาชนกล้าจับจ่ายใช้สอยเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงิน ตลอดจนเป็นที่มาของโครงการไทยเข้มแข็ง จนทำให้อัตราการจ้างงานสูงขึ้นบัดนี้มีคนตกงานอยู่ประมาณ 4 แสนคน ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเปรียบเทียบกับประเทศนานาชาติ ถึงตรงนี้กล้าพูดได้เต็มปากว่า ไทยได้ก้าวพ้นวิกฤตเศรษฐกิจอย่างเป็นรูปธรรมแล้ว พร้อมให้ความมั่นใจว่าในปี 52 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวแล้ว การลงทุนต่างๆ ก็จะเริ่มเดินหน้าต่อไป แต่ต้องระวังปัจจัยเสี่ยงถือภาวะราคาน้ำมันตลอดโลก เศรษฐกิจโลกที่เปราะบางรวมทั้งปัญหาการเมืองภายในประเทศ
นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนโยบายที่เกี่ยวกับสวัดิการสังคมว่า ขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินการเพิ่มสวัสดิการสังคม เช่น โครงการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นครั้งแรก เบี้ยคนพิการ สวัสดิการชุมชน ขยายฐานประกันสังคม เพิ่มเงินรายหัวประกันสุขภาพ ยกระดับสถานีอนามัยเป็น รพ.ชุมชน ฯลฯ เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน และถือว่าได้ก้าวพ้นนโยบายยุคประชานิยมเข้าสู่ระบบสวัสดิการต่อไป
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงงานด้านการเมืองและความมั่นคงว่า แม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างแต่ก็สามารถบริหารงานได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับงานด้านนิติบัญญัติ โดยการผ่านร่างกฎหมายสำคัญๆ ได้มากกว่ารัฐบาลในอดีต รัฐมนตรีให้ความสำคัญกับที่ประชุมสภาฯ โดยมีการเปิดโอกาสให้ตั้งกระทู้ถามและเข้าร่วมชี้แจง พร้อมกับถ่ายทอดสดให้ประชาชน รับฟังข้อเท็จริง รัฐบาลมีความจริงใจที่จะเดินหน้าเพื่อทำให้เกิดสมานฉันท์ และยอมถอยมาหลายก้าวแล้ว แต่พรรคฝ่ายค้านไม่ยอมรับ จึงทำให้การประชุม 3 ฝ่ายสะดุด รัฐบาลนี้ไม่เคยยึดติดตำแหน่งและพร้อมจะยุบสภาทันทีหากเศรษฐกิจแข็งแรง ทุกพรรคการเมืองยอมรับกติกาเลือกตั้ง เช่น ต้องเลิกพฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับการเป็นประชาธิปไตย อาทิ ขัดขวางการลงพื้นที่ของ รมต.หรือการนิยมใช้ความรุนแรงในสถานการณ์ต่างๆ
รัฐบาลได้พยายามประคับประคองสถานการณ์และใช้โอกาสในฐานะประธานอาเซียนชี้แจงในเวทีนานาชาติเพื่อกอบกู้ภาพลักษณ์ จนได้รับการยอมรับขึ้นมาระดับหนึ่ง ซึ่งหลังจากนี้เราต้องช่วยกันดูแลบ้านเมืองอย่ามีการใช้ความรุนแรง ก่อสถานการณ์อีกเพราะอาจจะโชคดีไม่บ่อยครั้ง และไม่ได้รับการยอมรับในสายตาชาวโลกอีก ส่วนปัญหาความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชา เกิดขึ้นเพราะไม่ยอมปฏิบัติตามสนธิสัญญาว่าด้วยการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แต่กลับให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นที่ปรึกษาฮุนเซน รวมทั้งแทรกแซงกิจการภายในประเทศ ก้าวก่ายกระบวนยุติธรรมไทย จึงเป็นที่มาของการตัดความสัมพันธ์ทางการทูตซึ่งเป็นไปตามหลักสากล ขอยืนยันว่าต้นเหตุของปัญหาไม่ใช่เกิดจากรัฐบาลชุดนี้ตามที่มีความพยายามกล่าวอ้าง
นายกฯ ยังกล่าวอีกว่า การบริหารรราชการแผ่นดินจะต้องให้ความสำคัญกับเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งที่ผ่านมาเมื่อพบว่ามีปัญหาชุมชนพอเพียง ก็ได้เปลี่ยนผู้บริหารเพื่อให้มีการตั้งคณะกรรมการอย่างโปร่งใส หรือมีข้อครหาในเรื่องกระทรวงสาธารณสุข โครงการไทยเข้มแข็ง ก็จำเป็นชะลอบางโครงการที่มีปัญหา เพื่อไม่ให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน และขอยืนยันว่าจะแสวงหาความร่วมมือเพิ่มเติม เพื่อทำให้การบริหารงานเป็นอย่างโปร่งใสในอีก 1 ปีข้างหน้า
รัฐบาลให้คำมั่นว่าจะปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อไป ดังจะเห็นได้จากดัชนีความสุขของประชาชนในช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมาได้พุ่งสูงสุดมากกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมาแม้จะประสบภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลได้จัดงานร่วมกิจกรรมเทิดพระเกียรติ เมื่อต้นเดือนธันวาคมเพื่อหล่อหลอมจิตใจประชาชนให้เป็นหนึ่งเดียว ส่วนผลสำรวจความคิดเห็นของโพลสำนักต่างๆ จะพอใจบ้าง หรือบางโพลระบุว่ายังสอบตก ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่รัฐบาลนี้ใจกว้างพร้อมที่จะทุกฝ่ายให้ตรวจสอบและประเมินผลงาน