“ยะใส” ชี้ “มาร์ค” ไม่ไปเชียงใหม่ ถือเป็นความพ่ายแพ้ของประเทศ ทำให้ภาพลักษณ์เชียงใหม่ตกต่ำ ทั้งด้านท่องเที่ยว-เศรษฐกิจ มี “หลินปิง” ก็ช่วยไม่ได้ เผยต้นเหตุเพราะ รบ.ล้มเหลวเรื่องงานสื่อสารในพื้นที่ แถมเตือน “ชวรัตน์” รมว.มหาดไทย อย่าใช้ผู้ว่าฯ และทำงานมวลชนให้พรรคตัวเองมากกว่า ปชช.พร้อมแนะ รบ.ว่า ไม่จำเป็นต้องแก้ รธน.เนื่องจากจะซ้ำรอยร้าวในสังคม ส่วนกรณีความขัดแย้งไทย-เขมร ควรออกมาพูดกับคนไทยว่าความจริงเป็นเช่นไร
วันนี้ (29 พ.ย.) ที่ที่ทำการพรรคการเมืองใหม่ นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ได้กล่าวถึงกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตัดสินใจไม่ไปร่วมงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศครั้งที่ 27 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ว่า อาจจะเป็นชัยชนะของกลุ่ม นปช.หรือคนเสื้อแดง แต่เป็นความพ่ายแพ้ของคนไทยทั้งประเทศ เนื่องจากทำให้ภาพลักษณ์ของเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับต้นๆ ของโลก ดูลดความเชื่อถืออย่างรุนแรง และส่งผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ ซึ่งต่อให้ “หลินปิง” ก็ช่วยไม่ได้ ถึงเวลาเเล้วที่ “คนเชียงใหม่” จะต้องทบทวนและพิจารณาว่าการเคลื่อนไหวของ นปช.สุดท้ายใครได้ประโยชน์
นายสุริยะใส กล่าวต่ออีกว่า เป็นความล้มเหลวของฝ่ายความมั่นคงตลอดจนงานด้านมวลชนของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปปัตย์ เพราะกำหนดการนี้ทราบกันล่วงหน้ามาเป็นปีแล้ว ว่่า นายกฯจะต้องไปร่วมงาน โดยก่อนหน้านี้ 2 เดือนที่ผ่านมา ฝ่ายเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ได้รายงานถึงนายกฯ ว่า ให้ทบทวนก่อนไปร่วมงานแต่นายอภิสิทธิ์ ก็ยังยืนยันว่าจะไป แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ไปเสียดื้อๆ ดังนั้น พรรคประชาธิปัตย์ และรัฐบาลจะต้องทำงานมวลชนในพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง สื่อของรัฐบาลจะต้องตื่น นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต้องปรับการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ยังกล่าวถึงเรื่องการทำงานของรัฐบาลอีกว่า รัฐบาลชุดนี้จะมีอำนาจในการโยกย้ายผู้ว่าและผู้การตำรวจทั่วประเทศ แต่กลับพบว่าเป็นการโยกย้ายเพื่อผลการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจการคลี่คลายความขัดแย้งในหมู่ประชาชน และอยากขอเตือนพรรคภูมิใจไทยโดยเฉพาะ รมว.มหาดไทย นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล ที่ใช้ผู้ว่าและผู้ว่าการทำงานมวลชนให้พรรคภูมิใจไทย มากกว่าให้สังคมไทย ซึ่งวิธีการแบบนี้ไม่ได้ลดการเผชิญหน้า หรือความขัดแย้งในหมู่ประชาชน ถ้าหากพรรคภูมิใจไทยได้คะแนนเสียงชนะการเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลอีกก็ไม่สามารถปกครองประเทศได้หากประชาชนยังแตกแยกกันอยู่
นอกจากนี้ นายสุริยะใส ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า พรรคการเมืองใหม่เข้าใจถึงความจำเป็นที่รัฐบาล ที่นายกรัฐมนตรีต้องเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นซึ่งจะประกาศลงประชามติตามที่วิปรัฐบาลเสนอมานั้น เหตุเพราะนายกฯได้ขอให้รัฐสภาตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์และปฏิรูปการการเมืองหลังเหตุการณ์สงกรานต์เลือด ท่าทีดังกล่าวของรัฐบาลเป็นเพียงแค่การแสดงความรับปิดชอบตามมารยาททางการเมืองมากกว่าความมุ่งมันเอาจริงเอาจัง
อย่างไรก็ตาม พรรคการเมืองใหม่ ยังยืนยันจุดยืนเดิมที่ได้แถลงไปเมื่อ 18 ต.ค.2552 ว่า ยังไม่จำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญในห้วงเวลานี้ เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งไม่ได้ตอบโจทย์ความแตกแยกในสังคม และการปฏิรูปทางการเมืองแต่อย่างใด ทั้งนี้ เนื้อหา 6 ประเด็นที่จะแก้ไขเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนของนักการเมืองล้วนๆ โดยเฉพาะมาตรา 237, 265 และ 309 มีโอกาสสูงที่จะเป็นสายล่อฟ้าสร้างความแตกแยกทางการเมืองรอบใหม่
สุดท้ายนี้ เลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ได้พูดถึงกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ว่า รัฐบาลต้องพูดความจริงที่กัมพูชาปฏิเสธเงินกู้จากรัฐบาลไทย 1.4 พันล้านบาท เพื่อสร้างถนนนั้นไม่น่าจะเป็นความเข้าใจผิดอย่างที่รัฐบาลไทย บอกกับประชาชนเพราะมองจากสถานการณ์เเล้วน่าจะเป็นการตอบโต้ของจากกัมพูชามากกว่าเป็นความเข้าใจผิดที่รัฐบาลจะทำให้ประชาชนรู้สึกเหมือนกับว่าไทยกับกัมพูชาไม่มีความขัดแย้งกันเเล้ว ถ้าหากจะให้วางใจว่าไม่มีความขัดแย้งต่อกัน ก็ต่อเมื่อ ทางรัฐบาลกัมพูชาทำการถอดถอน นช.ทักษิณ ออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาเศรษฐกิจแล้ว นช.ทักษิณ ออกมาขอโทษคนไทยก่อน จึงจะวางใจได้