ก.ม.ม.เย้ย นปช.ชุมนุมใหญ่ล่ม เพราะประเมินสถานการณ์พลาด เจอพลังมวลชนต้าน เนื่องจากใกล้วันเฉลิมพระชนมพรรษา “ในหลวง” ทั้ง ขาดเอกภาพ-ความชอบธรรม ในการนำทัพ ชี้ ขบวนการหางแดงเริ่มฉลาด สงสัย “นช.แม้ว” ปลุกปั่นมวลชน เพราะต้องการใช้เป็นเครื่องมือต่อรองให้ตัวเอง แต่อาจมีการตั้งแถวใหม่ เตรียมชุมนุมป่วนกลางเดือน ม.ค.ปีหน้า พร้อมสถาปนาเชียงใหม่-อีสาน ต้าน รบ.ดึงคะแนนเสียงเลือกตั้ง แนะรัฐควรวางแผนรับมือให้รัดกุม
วันนี้ (29 พ.ย.) ที่ทำการพรรคการเมืองใหม่ นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ ได้กล่าวถึงกรณีที่แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ได้ทำการยกเลิกและเลื่อนการชุมนุมไม่มีกำหนดว่าถือเป็นความพ่ายแพ้ของ นช.ทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากความไม่มีเอกภาพโดยมีเหตุผล 3 ประการ คือ
ประการเเรก ไม่เป็นเอกภาพในการนำและจัดการขบวน เหตุเพราะคนเสื้อแดงมีหลายกลุ่ม แต่ะละกลุ่มสามารถต่อสายตรงกับ นช.ทักษิณ ได้โดยตรงมากขึ้น อีกทั้งไม่มีเเนวทางในการต่อสู้ที่ชัดเจน บางกลุ่มขอแค่การยุบสภา บางกลุ่มต้องการให้เกิดจลาจล การนองเลือด เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติหรือรัฐบาลเฉพาะกาล เพื่อนิรโทษกรรมทักษิณในทุกคดี
ประการที่สอง คือ การชุมนุมครั้งนี้ตั้งอยู่บนความไม่ชอบธรรม เนื่องจากวันเวลาที่กำหนดชุมนุมรอบแรก 28 พ.ย.-2 ธ.ค.ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองเข้าสู่ห้วงเวลาการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ 5 ธันวา ซึ่งเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และความไม่ชอบธรรมอีกอย่างนึง คือพฤติกรรมของตัว นช.ทักษิณ เอง ที่ไปให้สัมภาษณ์ไทมส์ออนไลน์ ในลักษณะจาบจ้วงต่อสถาบันเบื้องสูง ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดที่ทำให้พลังสนับสนุนแนวรบเสื้อแดงออ่นกำลังลง เพราะทำให้ประชาชนเกิดคำถามว่าที่ต่อสู้มาทั้งหมดเป็นการทำเพื่อตัว นช.ทักษิณ แต่เพียงคนเดียว
ประการสุดท้าย คือ ความไม่จริงใจและใจไม่ถึง จากกรณีเหตุการณ์เมษาเลือดในช่วงสงกรานต์ปี 2552 มีเสื้อแดงหลายคนตั้งคำถามว่า นช.ทักษิณ มีความจริงใจแค่ไหน ขณะที่มีข่าวคราวออกมาเป็นระยะๆ ว่า นช.ทักษิณ กำลังมุ่งขอเจรจากับผู้มีอำนาจโดยใช้พลังคนเสื้อแดงเป็นเพียงเครื่องมือต่อรองเท่านนั้น ไม่ได้คิดถึงขั้นที่จะกอบกู้ประชาธิปไตย หรือพลิกโฉมการเมืองไทยอย่างที่คนเสื้อแดงบางกลุ่มพร่ำเพ้อ
ทางด้าน นายสุริยะใส กตะศิลา เลขาธิการพรรค ได้กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า การตัดสินใจยกเลิกชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง ทั้งๆ ที่ได้มีการลงทุนจัดเวทีปลุมระดมเตรียมการล่วงหน้าในหลายเขตจังหวัด ทำให้มวลชนเริ่มตั้งคำถามกับแกนนำ และเริ่มมีแกนนำหลายคนหลายคนรู้สึกเคลือบแคลงกับบทบาทการนำของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่ปลุกสงครามกับอำมาตย์แต่อีกหน้าที่หนึ่งกลับไปแอบเจรจาเพื่อนิรโทษกรรม
ทั้งนี้ ประเด็นที่สำคัญที่สุด คือ นช.ทักษิณ และ กลุ่มคนเสื้อแดงประเมินสถานการณ์ของสถาบันเบื้องสูงผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะไปคิดว่าช่วง 5 ธันวาคมที่จะถึงนี้ จะมีการเปลี่ยนแปลงในระดับสูงแต่สุดท้ายไม่เป็นอย่างที่คิด และยังต้องเผชิญกับพลังของความจงรักภักดีของพสนิกรชาวไทยที่มีต่อสถาบันจนต้องเลื่อนชุมนุมออก อีกทั้งคนที่อยู่ตรงข้ามกับกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ นช.ทักษิณ เรียกมาว่า “ระบอบอำมาตย์” ก็จะออกมาเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านการชุมนุมครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
เลขาธิการพรรค กล่าวต่ออีกว่า จากนี้ไป กลุ่มคนเสื้อแดงจะมีการปรับขบวน โดยจะใช้เชียงใหม่เป็นต้นแบบในการต่อต้านรัฐบาล เป็นยุทธศาสตร์สร้างเมืองหลวงของระบอบทักษิณโดยเฉพาะในภาคเหนือเเละอีสาน ออกมาช่วยกันตรึงคะเเนนเสียงในการเลือกตั้ง ซึ่งโดยพฤตินัยเป็นการสถาปนารัฐอิสระที่ปลอดจากรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามระบอบทักษิณนั่นเอง ตัวแบบจะถูกนำมาใช้แทนการชุมนุมใหญ่ไปพรางๆ ก่อน เพราะการชุมนุมใหญ่ในเดือนธันวาคมทำได้ยากเนื่องจากเป็นช่วงงานมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวามหาราช
นอกจากนี้ นายสำราญ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อว่า แม้คนเสื้อแดงจะเลื่อนการชุมนุม แต่พรรคการเมืองใหม่เชื่อ นช.ทักษิณ และคนเสื้อแดงยังไม่เลิกราการชุมนุมใหญ่เพื่อเปิดศึกกับรัฐบาลตลอดจนคนที่ถูกมองว่าเป็นศัตรูอย่างแน่นอน ถ้าหากไม่ชุมนุมใหญ่ในช่วงกลาง ถึงปลายเดือน ธ.ค.นี้ ก็จะกระทำการในช่วงกลางเดือน ม.ค.ปีหน้าอย่างแน่นอนเพราะช่วงเวลาของการตัดสินคดีทุจริต 76,000 ล้าน ซึ่งสถานการณ์แนวโน้มความรุนแรงก็ยังน่าห่วงเหมือนเดิม อย่างไรก็ตาม การเลื่อนเวลาออกไปจะเป็นผลดีกับรัฐบาลที่จะได้กระชับแผนการรับมือให้ละเอียดยิ่งขึ้น
นายสำราญ กล่าวต่ออีกว่า พรรคการเมืองใหม่ เชื่อว่า รัฐบาลแห่งชาติ ยังเป็นเป้าหมายหลักของ นช.ทักษิณ และกลุ่มคนเสื้อแดง แต่มีแนวโน้มว่า เป้าหมายดังกล่าวยากจะเป็นจริงได้เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงอาจถูกสลายก่อนหากคิดเผาบ้านเผาเมืองอีกครั้ง
สุดท้ายนี้โฆษกพรรคการเมืองใหม่ ได้กล่าวประณามพฤติกรรมของคนเสื้อแดง จ.เชียงใหม่จากเหตุการณ์ที่ออกมาชุมนุมขับไล่ขัดขวางการเดินทางไปร่วมงานประชุมสัมมนาหอการค้าของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตลอดจนข่าวการลอบสังหาร ว่า เป็นการทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยวการฟื้นฟูภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวระดับโลก ตลอดจนการลงทุนในภาคธุรกิจ จนในที่สุดนายกฯต้องตัดสินใจงดเดินทางไปร่วมงาน ซึ่งทำให้หลายฝ่ายรู้สึกโล่งใจว่าเป็นการไม่ปลุกปั่นให้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบ แต่พรรคการเมืองใหม่เองกลับรู้สึกเสียดายที่นายกฯพลาดโอกาสสำคัญในการแสดงภาวะผู้นำครั้งสำคัญ
