โดย : ปิ่น บุตรี

วันที่ 1
แฮ่ก...แฮ่ก...
ผมเชื่อว่าผู้ที่ต้องการเดินขึ้นไปพิชิตภูกระดึงคงต้องมีอาการ“หอบแฮ่กๆ”เช่นนี้บ้างไม่มากก็น้อย เพราะด่านแรกจากจุดสตาร์ทเชิงภูสู่“ซำแฮก”มันช่างลาดชันนัก แม้เดี๋ยวนี้ภูกระดึงยุคใหม่จะมีการปรับทางเดินขึ้นภูให้สะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนเยอะ แต่ด้วยความชันและสังขาร(ของผม)ที่ไม่เข้าใครออกใคร(แก่ขึ้น) มันก็ทำให้ต้องเดินเหนื่อยลิ้นห้อยอยู่ดี
อย่างไรก็ตามด้วยความตั้งใจ+(ฝืน)พยายาม แม้จะต้องเดินทนเดินนานกว่าพวกวัยรุ่นแต่สุดท้ายผมก็สามารถฟันฝ่าเส้นทางอันโหดหินขึ้นไปเป็น“ผู้พิชิตภูกระดึง”(อีกครั้ง)จนได้ เมื่อมาถึงบนนี้หลายคนมักไม่พลาดการแอ๊คท่าถ่ายรูปคู่กับป้าย “ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง(1,288 เมตร)”ที่กลายเป็นภาพบังคับสำหรับคนมาเที่ยวภูกระดึง

ณ ป้ายแห่งนี้ ในอดีตผมเคยไหว้วานให้เพื่อนร่วมทางที่มาด้วยถ่ายรูปคู่กับ(รุ่น)“น้องหน้าใส”เก็บไว้ในความทรงจำ แต่อนิจจา...มาวันนี้ทำได้เพียงยืนดูคนอื่นเขาถ่ายรูป(คู่)กันแบบปลงๆ นี่คงเป็นอย่างที่คำพุทธท่านว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอนิจจัง”ขนาดขุนเขาอย่างภูกระดึงจากกันไม่กี่ปียังแปรเปลี่ยน แล้วหัวใจอันบอบบางของน้อง(เค้า)มีรึจะไม่เปลี่ยน
...เฮ้อ เห็นภาพจี้ใจ(ดำ)ของคนอื่นเข้าไปหลายช็อต ผมเลยต้องขอบ๊ายบาย(ป้าย)เดินหน้าต่อไปยังลานกางเต็นท์ที่อยู่ห่างจากป้ายราวๆ 3 กม. ซึ่งเดี๋ยวนี้การนอนเต็นท์บนภูกระดึงไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็น ไม่จำเป็นต้องแบกขึ้นไปเพราะทางอุทยานฯเขามีเตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ เพียงแต่มีเงินจ่ายค่าเช่าเต็นท์ ค่าที่นอนให้เขาเป็นพอ
เมื่อมาถึงลานกางเต็นท์(ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง)ได้ทำเลนอนถูกใจ จัดการเรื่องที่หลับที่นอนเสร็จสรรพ ยังมีเวลาเหลือเฟือ ผมจึงเดินไปไหว้“องค์พระพุทธเมตตา”ที่อยู่ใกล้ๆเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ก่อนมุ่งหน้าสู่ “ผาหมากดูก” ไปชมอาทิตย์อัสดงเปิดประเดิมสีสันของวันแรกบนภูกระดึง
ดูเหมือนวันนี้โชคพอเข้าข้างอยู่บ้างที่ฟ้าเปิด(แต่ไม่สวย) มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ลูกกลมแดงเคลื่อนหายไปในม่านเมฆ เห็นเพียงแสงสีของท้องฟ้าและผู้คนที่มาร่วม(รอ)ชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน

ครั้นแสงหมด อากาศหนาวเย็นลงทันทีแบบสัมผัสได้ นักท่องเที่ยวต่างทยอยเดินกลับที่พัก พวกมาเป็นกลุ่มกลับเป็นกลุ่ม มาเป็นคู่กลับเป็นคู่ ส่วนมาเดี่ยวอย่างผมก็ต้องเดินกลับคนเดียวโดดๆสิคร้าบพี่น้อง แหมมันช่างผิดกับสมัยขึ้นภูช่วงมหา’ลัยเหลือเกินที่มีน้องหน้าในเดินเคียงคู่ดูเป็นที่อิจฉาของพวกมาคนเดียวโดดๆ แต่วันนี้ดูเหมือนผมจะเดินตามรอย(เหงาๆ)ของพวกเขาเข้าให้แล้ว
นั่นจึงทำให้คืนแรกบนภูกระดึงหลังอาหารค่ำ(ข้าวผัดไข่)ผ่านพ้น ผมจึงหนีหนาวมุดเข้าเต็นท์แบบคนโดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย เพราะค่ำคืนนี้บนฟากฟ้ามีทะเลดาวสุกสกาวระยิบระยับเกลื่อนฟ้า
...แต่น่าแปลกตรงที่กลางหมู่ดาวจำนวนมากมายนั้น ดูมาดูไปผมกลับเห็นเป็น(เค้า)ใบหน้าของน้องหน้าใส จนหัวใจผมอดล่องลอยไปคิดถึงความหลังครั้งที่นั่งดูดาวกับเธอคนนั้นไม่ได้ แหมนี่ถ้ามีน้องอยู่(เคียง)ข้างนะ (พี่)จะร้องเพลง“คืนนี้ดาวเต็มฟ้า”ของของปราโมทย์ วิเลปะนะ(โมทย์ หมีพู)ให้(น้อง)ฟัง แต่ความจริงก็คือผม(รีบ)ปิดจ๊อบ สวดมนต์ เข้านอน เพื่อออมแรงไว้ลุยต่อในวันรุ่งขึ้น...

วันที่ 2(ภาคแรก)
“ตึ่บ ตั่บ พรั่บ พรึ่บ กึ่บ กั่บ”
สารพัดเสียงย่ำเท้าของนักท่องเที่ยว(ประหนึ่งว่าบนภูมีการเดินขบวน) ปลุกผมให้(รีบ)ตื่น และรีบจ้ำอ้าวเดินตามพวกเขา ฝ่าอากาศอันหนาวเหน็บ ท้องฟ้าก็ยังมืดตึ๊ดตื๋อ เพื่อหวังจะให้ทันชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ “ผานกแอ่น” จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยอดฮิตแห่งภูกระดึง
ถ้าเปรียบภูกระดึงเป็นหนังหรือละครสักเรื่อง ผมขอยกให้ผานกแอ่นเป็นนางเอกของเรื่อง(ที่ไม่ซื่อบื้อเหมือนนางเอกละครน้ำเน่าบ้านเรา) เพราะบรรยากาศตะวันขึ้นในเช้านี้มันช่างน่าดูนัก
แสงตะวันสีทอง ค่อยๆโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาฉาบทออาบไล้ไปทั่วบริเวณทำให้ทะเลหมอกบางๆที่ลอยจางๆกลายเป็นสีเหลืองทองไปด้วย ส่วนพระเอกนั้นแน่นอนล่ะว่าต้องเป็น“ผาหล่มสัก”จุดชมพระอาทิตย์ตกอันขึ้นชื่อลือชาของฟ้าเมืองไทยอันเป็นเป้าหมายของเราในวันนี้

ลับจากดูพระอาทิตย์ขึ้นได้สักพัก ผมเดินเลี่ยงกลุ่มคนที่ทยอยเดินกลับมุ่งสู่ “ลานวัดพระแก้ว”ที่มีองค์พระพุทธรูปยืนโดดเด่นกลางลานหินกว้างใหญ่ ยามต้องแสงแดดอ่อนๆยามเช้าดูขรึมขลังเปี่ยมศรัทธาดีแท้ และถ้าตั้งใจมองอย่างพินิจพิเคราะห์ก็จะพบกล้วยไม้และพืชเล็กๆ ออกดอกอวดโฉมอยู่ทั่วไป ทำให้ลานหินแห่งนี้มีสีสันไม่แข็งกระด้างอย่างที่คิด
...จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนครั้งที่มากับรุ่นน้องหน้าใสตอนเรียนมหาวิทยาลัย(ที่เคยกล่าวถึงในตอนแรก) เราแทบไม่ได้สังเกตดอกไม้เล็กๆน้อยๆและสีสันข้างทางสักเท่าๆไหร่ เพราะมัวแต่แอบเหล่หน้าน้องเค้า... แต่ตอนนี้เดินคนเดียวทำให้มีเวลาสังเกตสิ่งเล็กๆน้อยๆรอบตัวมากขึ้น ก็อย่างว่าแหละประสบการณ์และอายุที่มากขึ้นมันก็ช่วยให้เรามองอะไรได้ละเอียดรอบคอบมากขึ้นตามไปด้วย...
สำหรับเช้าวันนี้ก่อนออกเดินเท้าสู่ผาหล่มสัก ผมตุนพลังด้วยกาแฟร้อนๆกับข้าวกระเพราไข่ดาว เพราะระยะทางจากที่พักไปผาหล่มสักนั้นไกลเอาเรื่องถึง 9 กม. รวมไป-กลับ บวกกับการเดินเฉไฉชมนกชมไม้ ยิงกระต่าย ถ่ายรูป ปาเข้าไปเกือบ 20 กม.การตุนพลังจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้เสบียงอย่าง ข้าว-น้ำ ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ รวมไปถึงไฟฉายและเสื้อกันหนาวด้วย เพราะตอนกลับจากผาหล่มสักนั้นทั้งมืดทั้งหนาว
...แล้วการเดินทาง-เดินเท้า-เดินทน ที่แท้จริงก็เริ่มขึ้น... (อ่านต่อตอนหน้า)
*****************************************
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ อ.ภูกระดึง จ.เลย สำหรับผู้สนใจเที่ยวภูกระดึงสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก และสถานที่ท่องเที่ยว ได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โทร. 0-4287- 1333 หรือ 0-4287-1458
วันที่ 1
แฮ่ก...แฮ่ก...
ผมเชื่อว่าผู้ที่ต้องการเดินขึ้นไปพิชิตภูกระดึงคงต้องมีอาการ“หอบแฮ่กๆ”เช่นนี้บ้างไม่มากก็น้อย เพราะด่านแรกจากจุดสตาร์ทเชิงภูสู่“ซำแฮก”มันช่างลาดชันนัก แม้เดี๋ยวนี้ภูกระดึงยุคใหม่จะมีการปรับทางเดินขึ้นภูให้สะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนเยอะ แต่ด้วยความชันและสังขาร(ของผม)ที่ไม่เข้าใครออกใคร(แก่ขึ้น) มันก็ทำให้ต้องเดินเหนื่อยลิ้นห้อยอยู่ดี
อย่างไรก็ตามด้วยความตั้งใจ+(ฝืน)พยายาม แม้จะต้องเดินทนเดินนานกว่าพวกวัยรุ่นแต่สุดท้ายผมก็สามารถฟันฝ่าเส้นทางอันโหดหินขึ้นไปเป็น“ผู้พิชิตภูกระดึง”(อีกครั้ง)จนได้ เมื่อมาถึงบนนี้หลายคนมักไม่พลาดการแอ๊คท่าถ่ายรูปคู่กับป้าย “ครั้งหนึ่งในชีวิตเราคือผู้พิชิตภูกระดึง(1,288 เมตร)”ที่กลายเป็นภาพบังคับสำหรับคนมาเที่ยวภูกระดึง
ณ ป้ายแห่งนี้ ในอดีตผมเคยไหว้วานให้เพื่อนร่วมทางที่มาด้วยถ่ายรูปคู่กับ(รุ่น)“น้องหน้าใส”เก็บไว้ในความทรงจำ แต่อนิจจา...มาวันนี้ทำได้เพียงยืนดูคนอื่นเขาถ่ายรูป(คู่)กันแบบปลงๆ นี่คงเป็นอย่างที่คำพุทธท่านว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอนิจจัง”ขนาดขุนเขาอย่างภูกระดึงจากกันไม่กี่ปียังแปรเปลี่ยน แล้วหัวใจอันบอบบางของน้อง(เค้า)มีรึจะไม่เปลี่ยน
...เฮ้อ เห็นภาพจี้ใจ(ดำ)ของคนอื่นเข้าไปหลายช็อต ผมเลยต้องขอบ๊ายบาย(ป้าย)เดินหน้าต่อไปยังลานกางเต็นท์ที่อยู่ห่างจากป้ายราวๆ 3 กม. ซึ่งเดี๋ยวนี้การนอนเต็นท์บนภูกระดึงไม่ใช่เรื่องลำบากยากเย็น ไม่จำเป็นต้องแบกขึ้นไปเพราะทางอุทยานฯเขามีเตรียมไว้ให้เสร็จสรรพ เพียงแต่มีเงินจ่ายค่าเช่าเต็นท์ ค่าที่นอนให้เขาเป็นพอ
เมื่อมาถึงลานกางเต็นท์(ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง)ได้ทำเลนอนถูกใจ จัดการเรื่องที่หลับที่นอนเสร็จสรรพ ยังมีเวลาเหลือเฟือ ผมจึงเดินไปไหว้“องค์พระพุทธเมตตา”ที่อยู่ใกล้ๆเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ก่อนมุ่งหน้าสู่ “ผาหมากดูก” ไปชมอาทิตย์อัสดงเปิดประเดิมสีสันของวันแรกบนภูกระดึง
ดูเหมือนวันนี้โชคพอเข้าข้างอยู่บ้างที่ฟ้าเปิด(แต่ไม่สวย) มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ลูกกลมแดงเคลื่อนหายไปในม่านเมฆ เห็นเพียงแสงสีของท้องฟ้าและผู้คนที่มาร่วม(รอ)ชมพระอาทิตย์ตกด้วยกัน
ครั้นแสงหมด อากาศหนาวเย็นลงทันทีแบบสัมผัสได้ นักท่องเที่ยวต่างทยอยเดินกลับที่พัก พวกมาเป็นกลุ่มกลับเป็นกลุ่ม มาเป็นคู่กลับเป็นคู่ ส่วนมาเดี่ยวอย่างผมก็ต้องเดินกลับคนเดียวโดดๆสิคร้าบพี่น้อง แหมมันช่างผิดกับสมัยขึ้นภูช่วงมหา’ลัยเหลือเกินที่มีน้องหน้าในเดินเคียงคู่ดูเป็นที่อิจฉาของพวกมาคนเดียวโดดๆ แต่วันนี้ดูเหมือนผมจะเดินตามรอย(เหงาๆ)ของพวกเขาเข้าให้แล้ว
นั่นจึงทำให้คืนแรกบนภูกระดึงหลังอาหารค่ำ(ข้าวผัดไข่)ผ่านพ้น ผมจึงหนีหนาวมุดเข้าเต็นท์แบบคนโดดเดี่ยวแต่ไม่เดียวดาย เพราะค่ำคืนนี้บนฟากฟ้ามีทะเลดาวสุกสกาวระยิบระยับเกลื่อนฟ้า
...แต่น่าแปลกตรงที่กลางหมู่ดาวจำนวนมากมายนั้น ดูมาดูไปผมกลับเห็นเป็น(เค้า)ใบหน้าของน้องหน้าใส จนหัวใจผมอดล่องลอยไปคิดถึงความหลังครั้งที่นั่งดูดาวกับเธอคนนั้นไม่ได้ แหมนี่ถ้ามีน้องอยู่(เคียง)ข้างนะ (พี่)จะร้องเพลง“คืนนี้ดาวเต็มฟ้า”ของของปราโมทย์ วิเลปะนะ(โมทย์ หมีพู)ให้(น้อง)ฟัง แต่ความจริงก็คือผม(รีบ)ปิดจ๊อบ สวดมนต์ เข้านอน เพื่อออมแรงไว้ลุยต่อในวันรุ่งขึ้น...
วันที่ 2(ภาคแรก)
“ตึ่บ ตั่บ พรั่บ พรึ่บ กึ่บ กั่บ”
สารพัดเสียงย่ำเท้าของนักท่องเที่ยว(ประหนึ่งว่าบนภูมีการเดินขบวน) ปลุกผมให้(รีบ)ตื่น และรีบจ้ำอ้าวเดินตามพวกเขา ฝ่าอากาศอันหนาวเหน็บ ท้องฟ้าก็ยังมืดตึ๊ดตื๋อ เพื่อหวังจะให้ทันชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ “ผานกแอ่น” จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยอดฮิตแห่งภูกระดึง
ถ้าเปรียบภูกระดึงเป็นหนังหรือละครสักเรื่อง ผมขอยกให้ผานกแอ่นเป็นนางเอกของเรื่อง(ที่ไม่ซื่อบื้อเหมือนนางเอกละครน้ำเน่าบ้านเรา) เพราะบรรยากาศตะวันขึ้นในเช้านี้มันช่างน่าดูนัก
แสงตะวันสีทอง ค่อยๆโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมาฉาบทออาบไล้ไปทั่วบริเวณทำให้ทะเลหมอกบางๆที่ลอยจางๆกลายเป็นสีเหลืองทองไปด้วย ส่วนพระเอกนั้นแน่นอนล่ะว่าต้องเป็น“ผาหล่มสัก”จุดชมพระอาทิตย์ตกอันขึ้นชื่อลือชาของฟ้าเมืองไทยอันเป็นเป้าหมายของเราในวันนี้
ลับจากดูพระอาทิตย์ขึ้นได้สักพัก ผมเดินเลี่ยงกลุ่มคนที่ทยอยเดินกลับมุ่งสู่ “ลานวัดพระแก้ว”ที่มีองค์พระพุทธรูปยืนโดดเด่นกลางลานหินกว้างใหญ่ ยามต้องแสงแดดอ่อนๆยามเช้าดูขรึมขลังเปี่ยมศรัทธาดีแท้ และถ้าตั้งใจมองอย่างพินิจพิเคราะห์ก็จะพบกล้วยไม้และพืชเล็กๆ ออกดอกอวดโฉมอยู่ทั่วไป ทำให้ลานหินแห่งนี้มีสีสันไม่แข็งกระด้างอย่างที่คิด
...จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนครั้งที่มากับรุ่นน้องหน้าใสตอนเรียนมหาวิทยาลัย(ที่เคยกล่าวถึงในตอนแรก) เราแทบไม่ได้สังเกตดอกไม้เล็กๆน้อยๆและสีสันข้างทางสักเท่าๆไหร่ เพราะมัวแต่แอบเหล่หน้าน้องเค้า... แต่ตอนนี้เดินคนเดียวทำให้มีเวลาสังเกตสิ่งเล็กๆน้อยๆรอบตัวมากขึ้น ก็อย่างว่าแหละประสบการณ์และอายุที่มากขึ้นมันก็ช่วยให้เรามองอะไรได้ละเอียดรอบคอบมากขึ้นตามไปด้วย...
สำหรับเช้าวันนี้ก่อนออกเดินเท้าสู่ผาหล่มสัก ผมตุนพลังด้วยกาแฟร้อนๆกับข้าวกระเพราไข่ดาว เพราะระยะทางจากที่พักไปผาหล่มสักนั้นไกลเอาเรื่องถึง 9 กม. รวมไป-กลับ บวกกับการเดินเฉไฉชมนกชมไม้ ยิงกระต่าย ถ่ายรูป ปาเข้าไปเกือบ 20 กม.การตุนพลังจึงเป็นสิ่งสำคัญ นอกจากนี้เสบียงอย่าง ข้าว-น้ำ ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ รวมไปถึงไฟฉายและเสื้อกันหนาวด้วย เพราะตอนกลับจากผาหล่มสักนั้นทั้งมืดทั้งหนาว
...แล้วการเดินทาง-เดินเท้า-เดินทน ที่แท้จริงก็เริ่มขึ้น... (อ่านต่อตอนหน้า)
*****************************************
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ อ.ภูกระดึง จ.เลย สำหรับผู้สนใจเที่ยวภูกระดึงสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก และสถานที่ท่องเที่ยว ได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โทร. 0-4287- 1333 หรือ 0-4287-1458