โดย : ปิ่น บุตรี

ถ้าเปรียบภูกระดึงเป็นหนังหรือละครสักเรื่อง ผมขอยกให้ผานกแอ่นเป็นนางเอกของเรื่อง ส่วนพระเอกนั้นแน่นอนล่ะว่าต้องเป็น“ผาหล่มสัก” ที่ผมกำลังจะเดินทางไปเยือนในวันที่ 2 ของการพิชิตภูกระดึง
วันที่ 2(ภาคจบ)
จากจุดกางเต็นท์(วังกวาง)ผมเดินข้ามสะพานผ่านลำห้วยเล็กๆ ไปทางองค์พระพุทธเมตตาไปตามป้ายที่อุทยานฯปักไว้ การเดินวันนี้เดินสบายมากเป็นทางราบ(ไม่ปีนป่ายสูงชันเหมือนเมื่อวานในช่วงเดินขึ้น)มีถนนให้เดินอย่างดี ระหว่างทางอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งทุ่งหญ้าป่าสน ที่ยังคงสวยงามเปี่ยมเสน่ห์เหมือนเมื่อครั้งที่ขึ้นมากับรุ่นน้องหน้าใสสมัยเป็นนักศึกษา
หลังเดินรำลึกบรรยากาศเก่าๆ(เมื่อครั้งหวานชื่นเพลินๆ) ผมเดินมาถึงสระอโนดาตอย่างไม่รู้ตัว มองเห็นน้ำใสสะอาดแจ๋วแหววและเงาสะท้อนของก้อนเมฆท้องฟ้าอันพริ้งพราย ผมมองหามุมเหมาะๆร่มๆ มีก้อนหินให้นั่งหย่อนกินข้าวคนเดียวแบบเหงาๆ แต่ดูเหมือนว่าการนั่งกินข้าวที่นี่จะไม่เพียงอิ่มกายเท่านั้น แต่อิ่มใจด้วย เมื่อกลุ่มน้องๆนักท่องเที่ยวที่เดินมาทีหลังเข้ามาส่งรอยยิ้ม พูดคุยทักทายกับผมอย่างเป็นกันเอง พร้อมเชิญชวนว่าถ้าตอนเย็นสะดวก อย่าลืมแวะเวียนไปนั่งพูดคุยและดริ๊งก์เชื่อมสัมพันธ์กันพอหอมปากหอมคอ

ดูเหมือนว่าข้าวเที่ยงที่เป็นเพียงข้าวผัดหมูใส่ไข่ธรรมดาๆ แต่เมื่อได้นั่งกินในบรรยากาศโรแมนติกริมสระอโนดาดอันมากไปด้วยน้ำมิตรไมตรีเช่นนี้ ทำให้ข้าวผัดมื้อนี่เอร็ดอร่อยขึ้นมาชนิดอาหาร 5 ดาวตามโรงแรมต้องชิดซ้าย
หลังอิ่มข้าว หนังท้องตึง หนังตาหย่อน ถ้าขืนไม่รีบออกเดินต่อต้องเผลอหลับเป็นแน่ เพราะฉะนั้นออกเดินทางต่อดีกว่า ซึ่งสุดท้ายเดินไปพักไปใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงผมก็มาถึงผาหล่มสัก พระเอกของภูกระดึงจนได้(พร้อมกับผู้คนอีกนับร้อย)
ผาหล่มสักวันนี้ยังดูมีเสน่ห์โรแมนติกไม่สร่าง แม้บางอย่างจะดูเสื่อมโทรมไป(บ้าง)ตามกาลเวลา แต่ว่าองค์ประกอบแห่งความเป็นหนึ่งในจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่คลาสสิกที่สุดในเมืองไทยยังมีอยู่ล้นเหลือ โดยเฉพาะแท่นหินที่ยื่นออกไปนอกแนวหน้าผากับต้นสนเดียวดายที่ยืนทระนงเคียงคู่นั้นมันช่างสอดรับกันในระดับสุดยอดขั้นเทพ ไม่มีที่ใดเสมอเหมือน

นี่ถ้าแท่นหินยื่นไม่มีสน(เดียวดาย)ต้นนี้ เสน่ห์ของผาหล่มสักจะลดหายไปมากโขเลยทีเดียว
แล้วห้วงเวลาแห่งการรอคอยที่ต้องดั้นด้นเดินทางมาครึ่งค่อนวันก็มาถึง เมื่อดวงอาทิตย์ลูกกลมโตสีแดงฉานค่อยๆ เคลื่อนตัวคล้อยต่ำ ก่อนจะหายเข้าไปในกลีบเมฆที่ส่องสีทองเหลืองอร่าม ท่ามกลางองค์ประกอบธรรมชาติที่ลงตัว ทั้งต้นสน แท่งหิน ก้อนเมฆ ท้องฟ้า และภูเขาเบื้องหน้า
ในที่สุดแสงสุดท้ายแห่งวันถูกแทนที่ด้วย ลมหนาวไอเย็นและแสงไฟฉายที่ส่องพรึ่บ พรั่บทั่วทางเดิน ผมและกลุ่มผู้พิชิตผาหล่มสักค่อยๆทยอยเดินโต้ลมหนาวฝ่าความมืดกลับที่พัก ทิ้งให้ผาหล่มสักและสนเดียวดายยืนโต้ลมหนาวรอคอยผู้พิชิตคนใหม่มาเยือนในวันต่อไป
...ระหว่างเดินทางกลับ ผมอดนึกถึงสมัยเมื่อมาสวีทที่ผาหล่มสักกับน้องหน้าใสคนนั้นไม่ได้ ครั้นเมื่อต้องมาเดินคนเดี่ยวเปลี่ยวเอกาแบบไม่มีเธอเคียงข้าง มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกับต้นสนเดียวดายนั้นช่างไม่แตกต่างกันเลย...

วันที่ 3
“ตึ่บ ตั่บ พรั่บ พรึ่บ กึ่บ กั่บ”
เสียงฝีเท้าคนไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นปลุกผมอีกครั้ง ผมรีบลุกขึ้นมาฉิ๊งฉ่องก่อนจะมุดกลับเข้าเต็นท์ล้มตัวนอนต่อ เพราะเช้าวันนี้ผมไม่มีโปรแกรมไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่มีโปรแกรมเที่ยวสบายๆบน“เส้นทางสายน้ำตก”ใกล้ๆที่พัก ฉะนั้นยามเช้าที่ทั้งมืด ทั้งหนาวเช่นนี้ การซุกตัวนอนเอาแรงรอตะวันมาเยือนในถุงนอนอุ่นๆนับว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
หลังมื้อเช้าผ่านพ้นแบบไม่เร่งรีบ ซึ่งระหว่างกินข้าวมีกวางออกมาเดินโชว์ตัวเหมือนจะรู้ว่า สายนี้ผมมีโปรแกรมที่จะไปเที่ยวน้ำตกวังกวางด้วย
จากที่พักผมเดินร้องเพลงไทยตามสมัยนิยม 4 เพลงจบก็มาถึงยังน้ำตกวังกวาง น้ำตกเล็กๆมีลำธารตัดขวาง ที่ชื่อ“วังกวาง”เพราะว่ากวางชอบมากินน้ำบริเวณนี้ ต่อจากนั้นผมไปต่อยัง “น้ำตกเพ็ญพบใหม่”ที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นหนาแน่น 2 ฝั่งน้ำ ตัวน้ำตกเป็นแผ่นหินใหญ่โค้งเว้าดูคล้ายถ้ำ ข้างๆมีต้นเมเปิ้ลสูงขึ้นปกคลุมให้ร่มเงา หากใครมาในช่วงราวเดือน ม.ค.-ก.พ. ที่นี่จะพราวพรั่งไปด้วยใบเมเปิ้ลสีแดงสดมีทั้งที่อวดโฉมอยู่บนต้นและปลิดขั้วหล่นเกลื่อนแนวธารหิน ดูสวยงามยิ่งนัก
เส้นทางสายน้ำตกยังคงนำพาฝ่าความร่มรื่นไปสู่ น้ำตก“โผนพบ”ที่ไหลลดหลั่นตามผาหินชั้นเล็กๆ 8 ชั้น ก่อนจะไหลรวมเป็นม่านน้ำในชั้นสุดท้าย ประมาณความสูงรวมก็ไม่น่าต่ำกว่า 30 เมตร นับเป็นน้ำตกที่สวยงามและน่าดูไม่น้อย
สำหรับชื่อน้ำตกโผนพบนั้น ว่ากันว่า ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ “โผน กิ่งเพชร” แชมป์โลกคนแรกของชาวไทยที่เป็นผู้ค้นพบน้ำตกแห่งนี้ จากนั้นผมออกลุยต่อสู่“น้ำตกเพ็ญพบ”ที่อยู่ใกล้ๆกัน ด้านบนตัวน้ำตกนี้เป็นลานหินกว้างใหญ่ มีหลุมหินที่เกิดจากการเซาะซึมของสายน้ำนับร้อยๆปีมากมายหลายหลุม ส่วนตัวน้ำตกเป็นหิน 3 ชั้น มีน้ำตกไหลลดระดับลดหลั่นลงมาบนแอ่งน้ำกว้างใหญ่ สวยงามน่าเล่นมากๆ

ประมาณครึ่งชั่วโมงจากน้ำตกเพ็ญพบ ผมเดินผ่านป่าทึบสู่“น้ำตกถ้ำใหญ่”ที่ค่อนข้างสูง ด้านล่างน้ำตกเป็นถ้ำกว้างใหญ่สมชื่อ ที่น้ำตกแห่งนี้มีเมเปิ้ลยืนต้นขึ้นปกคลุมเช่นเดียวกับที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่
...จำได้ว่าตอนมากับน้องหน้าใส เธออยากจะเก็บใบเมเปิ้ลแดงกลับไว้เป็นที่ระลึก แต่ผมห้ามไว้ พร้อมให้เหตุผลว่าถ้านักท่องเที่ยวทุกคนเก็บใบเมเปิ้ลแดงกลับบ้านกันคนละใบ ภาพความสวยงามของใบเมเปิ้ลแดงที่หล่นกลาดเกลื่อนเป็นเสน่ห์ของน้ำตกคงไม่ปรากฏให้เห็น เธอซึ่งเข้าใจแต่ก็ยังงอนอยู่ดี...
มาวันนี้บรรยากาศและอารมณ์แบบนั้นคงไม่มีอีกแล้ว เพราะก่อนมาสัมผัสเสน่ห์ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาของภูกระดึง หลังจากที่ไม่ได้เจอรุ่นน้องหน้าใสมานานก็นึกครึ้มอกครึ้มใจ โทรศัพท์ไปชวนเธอให้ขึ้นมารำลึกบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง แต่ก็ได้รับปฏิเสธมาแบบเรียบง่ายว่า “...ตัวหนูคงขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะตอนนี้มีลูกน้อยน่ารักต้องดูแล...”
...บางครั้งความจริงอันเจ็บปวดถ้าเราเอาไปผูกโยงกับอดีตอันหวานชื่นมันก็จะกลายเป็นความขมขื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...
แล้วจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดก็มาบรรจบกันอีกครั้ง เมื่อผมพาตัวเองออกจากน้ำตกถ้ำใหญ่ กลับสู่ที่พักวังกวาง ปิดเส้นทางสายน้ำตกบนภูกระดึง เตรียมตัวล่ำลาภูกระดึงในรุ่งเช้าวันใหม่ เพื่อที่จะกลับไปใช้ชีวิตที่วุ่นวายในเมืองหลวงต่อไป
................................................................
ณ ที่พักวังกวาง นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาอยู่ก่อน(และเที่ยวจนครบตามใจปรารถนา)ทยอยเดินทางกลับ แต่มีผู้พิชิตภูกระดึงผู้มาทีหลังเข้ามาแทนที่ สำหรับพวกเขาเหล่านั้นต่างหลงใหลในเสน่ห์ของภูแห่งนี้เช่นเดียวกับผม แม้ว่าวันนี้ภูกระดึงจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่า คล้ายดัง(รุ่น)น้องหน้าใสที่เธอแปรเปลี่ยนไปมีคนใหม่ แต่ถึงยังไงฉันก็ยังรักภูกระดึงและเธอ(น้องหน้าใส)อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
*****************************************
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ อ.ภูกระดึง จ.เลย สำหรับผู้สนใจเที่ยวภูกระดึงสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก และสถานที่ท่องเที่ยว ได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โทร. 0-4287- 1333 หรือ 0-4287-1458
ถ้าเปรียบภูกระดึงเป็นหนังหรือละครสักเรื่อง ผมขอยกให้ผานกแอ่นเป็นนางเอกของเรื่อง ส่วนพระเอกนั้นแน่นอนล่ะว่าต้องเป็น“ผาหล่มสัก” ที่ผมกำลังจะเดินทางไปเยือนในวันที่ 2 ของการพิชิตภูกระดึง
วันที่ 2(ภาคจบ)
จากจุดกางเต็นท์(วังกวาง)ผมเดินข้ามสะพานผ่านลำห้วยเล็กๆ ไปทางองค์พระพุทธเมตตาไปตามป้ายที่อุทยานฯปักไว้ การเดินวันนี้เดินสบายมากเป็นทางราบ(ไม่ปีนป่ายสูงชันเหมือนเมื่อวานในช่วงเดินขึ้น)มีถนนให้เดินอย่างดี ระหว่างทางอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งทุ่งหญ้าป่าสน ที่ยังคงสวยงามเปี่ยมเสน่ห์เหมือนเมื่อครั้งที่ขึ้นมากับรุ่นน้องหน้าใสสมัยเป็นนักศึกษา
หลังเดินรำลึกบรรยากาศเก่าๆ(เมื่อครั้งหวานชื่นเพลินๆ) ผมเดินมาถึงสระอโนดาตอย่างไม่รู้ตัว มองเห็นน้ำใสสะอาดแจ๋วแหววและเงาสะท้อนของก้อนเมฆท้องฟ้าอันพริ้งพราย ผมมองหามุมเหมาะๆร่มๆ มีก้อนหินให้นั่งหย่อนกินข้าวคนเดียวแบบเหงาๆ แต่ดูเหมือนว่าการนั่งกินข้าวที่นี่จะไม่เพียงอิ่มกายเท่านั้น แต่อิ่มใจด้วย เมื่อกลุ่มน้องๆนักท่องเที่ยวที่เดินมาทีหลังเข้ามาส่งรอยยิ้ม พูดคุยทักทายกับผมอย่างเป็นกันเอง พร้อมเชิญชวนว่าถ้าตอนเย็นสะดวก อย่าลืมแวะเวียนไปนั่งพูดคุยและดริ๊งก์เชื่อมสัมพันธ์กันพอหอมปากหอมคอ
ดูเหมือนว่าข้าวเที่ยงที่เป็นเพียงข้าวผัดหมูใส่ไข่ธรรมดาๆ แต่เมื่อได้นั่งกินในบรรยากาศโรแมนติกริมสระอโนดาดอันมากไปด้วยน้ำมิตรไมตรีเช่นนี้ ทำให้ข้าวผัดมื้อนี่เอร็ดอร่อยขึ้นมาชนิดอาหาร 5 ดาวตามโรงแรมต้องชิดซ้าย
หลังอิ่มข้าว หนังท้องตึง หนังตาหย่อน ถ้าขืนไม่รีบออกเดินต่อต้องเผลอหลับเป็นแน่ เพราะฉะนั้นออกเดินทางต่อดีกว่า ซึ่งสุดท้ายเดินไปพักไปใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงผมก็มาถึงผาหล่มสัก พระเอกของภูกระดึงจนได้(พร้อมกับผู้คนอีกนับร้อย)
ผาหล่มสักวันนี้ยังดูมีเสน่ห์โรแมนติกไม่สร่าง แม้บางอย่างจะดูเสื่อมโทรมไป(บ้าง)ตามกาลเวลา แต่ว่าองค์ประกอบแห่งความเป็นหนึ่งในจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่คลาสสิกที่สุดในเมืองไทยยังมีอยู่ล้นเหลือ โดยเฉพาะแท่นหินที่ยื่นออกไปนอกแนวหน้าผากับต้นสนเดียวดายที่ยืนทระนงเคียงคู่นั้นมันช่างสอดรับกันในระดับสุดยอดขั้นเทพ ไม่มีที่ใดเสมอเหมือน
นี่ถ้าแท่นหินยื่นไม่มีสน(เดียวดาย)ต้นนี้ เสน่ห์ของผาหล่มสักจะลดหายไปมากโขเลยทีเดียว
แล้วห้วงเวลาแห่งการรอคอยที่ต้องดั้นด้นเดินทางมาครึ่งค่อนวันก็มาถึง เมื่อดวงอาทิตย์ลูกกลมโตสีแดงฉานค่อยๆ เคลื่อนตัวคล้อยต่ำ ก่อนจะหายเข้าไปในกลีบเมฆที่ส่องสีทองเหลืองอร่าม ท่ามกลางองค์ประกอบธรรมชาติที่ลงตัว ทั้งต้นสน แท่งหิน ก้อนเมฆ ท้องฟ้า และภูเขาเบื้องหน้า
ในที่สุดแสงสุดท้ายแห่งวันถูกแทนที่ด้วย ลมหนาวไอเย็นและแสงไฟฉายที่ส่องพรึ่บ พรั่บทั่วทางเดิน ผมและกลุ่มผู้พิชิตผาหล่มสักค่อยๆทยอยเดินโต้ลมหนาวฝ่าความมืดกลับที่พัก ทิ้งให้ผาหล่มสักและสนเดียวดายยืนโต้ลมหนาวรอคอยผู้พิชิตคนใหม่มาเยือนในวันต่อไป
...ระหว่างเดินทางกลับ ผมอดนึกถึงสมัยเมื่อมาสวีทที่ผาหล่มสักกับน้องหน้าใสคนนั้นไม่ได้ ครั้นเมื่อต้องมาเดินคนเดี่ยวเปลี่ยวเอกาแบบไม่มีเธอเคียงข้าง มันทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองกับต้นสนเดียวดายนั้นช่างไม่แตกต่างกันเลย...
วันที่ 3
“ตึ่บ ตั่บ พรั่บ พรึ่บ กึ่บ กั่บ”
เสียงฝีเท้าคนไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ผานกแอ่นปลุกผมอีกครั้ง ผมรีบลุกขึ้นมาฉิ๊งฉ่องก่อนจะมุดกลับเข้าเต็นท์ล้มตัวนอนต่อ เพราะเช้าวันนี้ผมไม่มีโปรแกรมไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่มีโปรแกรมเที่ยวสบายๆบน“เส้นทางสายน้ำตก”ใกล้ๆที่พัก ฉะนั้นยามเช้าที่ทั้งมืด ทั้งหนาวเช่นนี้ การซุกตัวนอนเอาแรงรอตะวันมาเยือนในถุงนอนอุ่นๆนับว่าเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
หลังมื้อเช้าผ่านพ้นแบบไม่เร่งรีบ ซึ่งระหว่างกินข้าวมีกวางออกมาเดินโชว์ตัวเหมือนจะรู้ว่า สายนี้ผมมีโปรแกรมที่จะไปเที่ยวน้ำตกวังกวางด้วย
จากที่พักผมเดินร้องเพลงไทยตามสมัยนิยม 4 เพลงจบก็มาถึงยังน้ำตกวังกวาง น้ำตกเล็กๆมีลำธารตัดขวาง ที่ชื่อ“วังกวาง”เพราะว่ากวางชอบมากินน้ำบริเวณนี้ ต่อจากนั้นผมไปต่อยัง “น้ำตกเพ็ญพบใหม่”ที่ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นหนาแน่น 2 ฝั่งน้ำ ตัวน้ำตกเป็นแผ่นหินใหญ่โค้งเว้าดูคล้ายถ้ำ ข้างๆมีต้นเมเปิ้ลสูงขึ้นปกคลุมให้ร่มเงา หากใครมาในช่วงราวเดือน ม.ค.-ก.พ. ที่นี่จะพราวพรั่งไปด้วยใบเมเปิ้ลสีแดงสดมีทั้งที่อวดโฉมอยู่บนต้นและปลิดขั้วหล่นเกลื่อนแนวธารหิน ดูสวยงามยิ่งนัก
เส้นทางสายน้ำตกยังคงนำพาฝ่าความร่มรื่นไปสู่ น้ำตก“โผนพบ”ที่ไหลลดหลั่นตามผาหินชั้นเล็กๆ 8 ชั้น ก่อนจะไหลรวมเป็นม่านน้ำในชั้นสุดท้าย ประมาณความสูงรวมก็ไม่น่าต่ำกว่า 30 เมตร นับเป็นน้ำตกที่สวยงามและน่าดูไม่น้อย
สำหรับชื่อน้ำตกโผนพบนั้น ว่ากันว่า ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่ “โผน กิ่งเพชร” แชมป์โลกคนแรกของชาวไทยที่เป็นผู้ค้นพบน้ำตกแห่งนี้ จากนั้นผมออกลุยต่อสู่“น้ำตกเพ็ญพบ”ที่อยู่ใกล้ๆกัน ด้านบนตัวน้ำตกนี้เป็นลานหินกว้างใหญ่ มีหลุมหินที่เกิดจากการเซาะซึมของสายน้ำนับร้อยๆปีมากมายหลายหลุม ส่วนตัวน้ำตกเป็นหิน 3 ชั้น มีน้ำตกไหลลดระดับลดหลั่นลงมาบนแอ่งน้ำกว้างใหญ่ สวยงามน่าเล่นมากๆ
ประมาณครึ่งชั่วโมงจากน้ำตกเพ็ญพบ ผมเดินผ่านป่าทึบสู่“น้ำตกถ้ำใหญ่”ที่ค่อนข้างสูง ด้านล่างน้ำตกเป็นถ้ำกว้างใหญ่สมชื่อ ที่น้ำตกแห่งนี้มีเมเปิ้ลยืนต้นขึ้นปกคลุมเช่นเดียวกับที่น้ำตกเพ็ญพบใหม่
...จำได้ว่าตอนมากับน้องหน้าใส เธออยากจะเก็บใบเมเปิ้ลแดงกลับไว้เป็นที่ระลึก แต่ผมห้ามไว้ พร้อมให้เหตุผลว่าถ้านักท่องเที่ยวทุกคนเก็บใบเมเปิ้ลแดงกลับบ้านกันคนละใบ ภาพความสวยงามของใบเมเปิ้ลแดงที่หล่นกลาดเกลื่อนเป็นเสน่ห์ของน้ำตกคงไม่ปรากฏให้เห็น เธอซึ่งเข้าใจแต่ก็ยังงอนอยู่ดี...
มาวันนี้บรรยากาศและอารมณ์แบบนั้นคงไม่มีอีกแล้ว เพราะก่อนมาสัมผัสเสน่ห์ที่เปลี่ยนไปตามกาลเวลาของภูกระดึง หลังจากที่ไม่ได้เจอรุ่นน้องหน้าใสมานานก็นึกครึ้มอกครึ้มใจ โทรศัพท์ไปชวนเธอให้ขึ้นมารำลึกบรรยากาศเก่าๆอีกครั้ง แต่ก็ได้รับปฏิเสธมาแบบเรียบง่ายว่า “...ตัวหนูคงขึ้นมาใช้ชีวิตอย่างนั้นไม่ได้อีกแล้ว เพราะตอนนี้มีลูกน้อยน่ารักต้องดูแล...”
...บางครั้งความจริงอันเจ็บปวดถ้าเราเอาไปผูกโยงกับอดีตอันหวานชื่นมันก็จะกลายเป็นความขมขื่นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว...
แล้วจุดเริ่มต้นกับจุดสิ้นสุดก็มาบรรจบกันอีกครั้ง เมื่อผมพาตัวเองออกจากน้ำตกถ้ำใหญ่ กลับสู่ที่พักวังกวาง ปิดเส้นทางสายน้ำตกบนภูกระดึง เตรียมตัวล่ำลาภูกระดึงในรุ่งเช้าวันใหม่ เพื่อที่จะกลับไปใช้ชีวิตที่วุ่นวายในเมืองหลวงต่อไป
................................................................
ณ ที่พักวังกวาง นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาอยู่ก่อน(และเที่ยวจนครบตามใจปรารถนา)ทยอยเดินทางกลับ แต่มีผู้พิชิตภูกระดึงผู้มาทีหลังเข้ามาแทนที่ สำหรับพวกเขาเหล่านั้นต่างหลงใหลในเสน่ห์ของภูแห่งนี้เช่นเดียวกับผม แม้ว่าวันนี้ภูกระดึงจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่า คล้ายดัง(รุ่น)น้องหน้าใสที่เธอแปรเปลี่ยนไปมีคนใหม่ แต่ถึงยังไงฉันก็ยังรักภูกระดึงและเธอ(น้องหน้าใส)อยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
*****************************************
อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของ อ.ภูกระดึง จ.เลย สำหรับผู้สนใจเที่ยวภูกระดึงสามารถสอบถามข้อมูลการเดินทาง สิ่งอำนวยความสะดวก และสถานที่ท่องเที่ยว ได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวศรีฐาน อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โทร. 0-4287- 1333 หรือ 0-4287-1458