xs
xsm
sm
md
lg

ป่าช้าวัดดอน-สุดท้ายต้องไป "สุสาน"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
ป่าช้าวัดดอนวันนี้กลายเป็นสวนสวย
ขึ้นชื่อว่า "ผี" แม้บางคนจะไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส แต่พูดถึงทีไรก็เป็นต้องขนหัวลุก ไม่ขอพบขอเจอหรือญาติดีกับผีไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม ฉันเองแม้รู้ว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องกลายเป็นผีในสักวันหนึ่ง แต่ในตอนนี้ก็ยังไม่อยากจะทำความคุ้นเคยกับผีสักเท่าไร

แต่ในเมื่ออีกไม่กี่วันนี้จะเป็นวันฮัลโลวีน (31 ตุลาคม) หรือวันปล่อยผีของพวกฝรั่งเขา ก็เลยต้องเข้ากระแส ขอพาไปชมสถานที่อยู่ของผี ที่ "สุสาน" กัน
หลุมศพนับหมื่นในป่าช้าวัดดอน
สุสานหรือป่าช้าที่ใครๆก็ยกนิ้วให้ในเรื่องของความเฮี้ยนนั้น ก็ต้องนึกถึง "ป่าช้าวัดดอน" สุสานขนาดใหญ่ มีพื้นที่มากกว่า 150 ไร่ ตั้งอยู่ในเขตสาทร บริเวณซอยเจริญกรุง 57 เชื่อมต่อจนถึงเซ็นต์หลุยส์ ซอย 3ที่มีเรื่องผีหลอกวิญญาณหลอนมาเล่าให้ได้ยินอยู่หลายเรื่องด้วยกัน อย่างเรื่องที่มักมีคนเล่าว่าหากใครขับรถผ่านเข้ามาบริเวณนี้ก็มักจะมีคนเห็นว่า เข้ามาคนเดียว แต่ขากลับออกไปสองคน หรือมากกว่าสองคน แล้วแต่ละคนก็สภาพกะรุ่งกะริ่งไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าไหร่ ดังนั้นเมื่อก่อนเวลาใครโบกแท็กซี่ให้เข้ามาส่งแถวๆ นี้โชเฟอร์ก็มักจะส่ายหัวกันเป็นแถวๆ

สาเหตุของความเฮี้ยนก็เพราะว่าป่าช้าวัดดอนนั้นเป็นสุสานแห่งนี้อยู่ในความดูแลของ 3 องค์กร คือ สมาคมแต้จิ๋วแห่งประเทศไทย มูลนิธิปอเต็กตึ้ง และสมาคมไหหลำด่านเกเต้ มีศพถูกฝังอยู่บริเวณนี้มากกว่าหมื่นศพ ทั้งศพที่ฝังในลักษณะของฮวงซุ้ย ศพที่บรรจุเฉพาะอัฐิ รวมไปถึงศพที่ไม่มีญาติบรรจุรวมกันไว้
ผู้คนวิ่งออกกำลังกายข้างหลุมศพ
แต่ส่วนที่ว่าเฮี้ยนนักเฮี้ยนหนาก็คือในส่วนของมูลนิธิปอเต็กตึ้งที่มีพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ นั้น ถูกเช่าเป็นที่ฝังศพไม่มีญาติ ศพที่ตายเพราะอุบัติเหตุ หรือโรคร้ายแรงต่างๆ สรุปก็คือศพเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นการตายที่ไม่ปกติ ความเฮี้ยนที่ร่ำลือกันจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไรนัก

พื้นที่อันกว้างใหญ่ของป่าช้าวัดดอนนั้น แต่ก่อนนี้มีรั้วรอบขอบชิดไม่เปิดให้ใครได้เข้าไป แต่จะเข้าได้ก็เฉพาะช่วงเทศกาลเชงเม้ง หรือวันที่ชาวจีนจะไปไหว้บรรพบุรุษกัน ทำให้ในช่วงเวลาอื่นๆนั้นป่าช้าวัดดอนจะเงียบสงบ มีบรรยากาศวังเวงสมเป็นป่าช้าโดยแท้
รูปปั้นเทพของชาวจีนในสุสานแต้จิ๋ว
แต่มาปัจจุบันนี้เรื่องราวความเฮี้ยนเริ่มลดน้อยลงไป อย่างหนึ่งเพราะมีการล้างป่าช้าทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับดวงวิญญาณเหล่านั้นไปหลายครั้ง และอีกอย่างหนึ่งคือการขยายของเมืองเริ่มมากขึ้น บริเวณใกล้เคียงกับป่าช้ามีทางด่วนตัดผ่านและเป็นจุดขึ้นลงทางด่วนเชื่อมต่อกับถนนสาทร ถนนจันทน์ จึงต้องมีการปรับปรุงสภาพป่าช้าบริเวณโดยรอบ จนเป็นที่มาของโครงการ "สวนสวยในป่าช้า" หรือ "สวนสวยสมาคมแต้จิ๋ว" โดยได้มีการปรับปรุงป่าช้าวัดดอนบางส่วนเพื่อใช้เป็นสวนสาธารณะให้คนได้เข้าไปออกกำลังกาย ผนวกกับปัจจุบันนี้ไม่มีการนำศพเข้ามาฝังในป่าช้าวัดดอนอีกแล้ว ทำให้บรรยากาศความเงียบสงัดที่ชวนให้ขนหัวลุกก็ลดน้อยลงไปด้วยเช่นกัน

แม้ป่าช้าวัดดอนบางส่วนจะกลายเป็นสวนสาธารณะไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ทิ้งบรรยากาศของป่าช้าเดิม ซึ่งก็ทำให้ที่นี่ถือเป็นสวนสาธารณะที่แปลกไม่ซ้ำใคร เพราะขณะที่คนมาวิ่งหรือเดินออกกำลัง ก็จะได้ชมทิวทัศน์ข้างทางเป็นฮวงซุ้ยที่ตั้งอยู่เรียงราย ออกกำลังไปก็จะได้ปลงเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตายไปพร้อมกันได้เลย
ภายในสุสานโปรเตสแตนท์
นอกจากนั้นแล้วที่นี่ก็ยังมีลานกีฬา มีมุมให้อ่านหนังสือ มีพื้นที่สงบให้คนมานั่งพักผ่อนอ่านหนังสือ และส่วนของสนามเด็กเล่น ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ อีกทั้งยังมีศาลเจ้าเก่า และด้านหน้าศาลเจ้าเก่าก็มีรูปปั้นเทพของชาวจีนสีทองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางบ่อน้ำอย่างสวยงาม ลบภาพความน่าสะพรึงกลัวของป่าช้าไปเกือบหมดสิ้น

ไม่ไกลจากป่าช้าวัดดอนเท่าไรนัก บริเวณนี้ก็ยังมีสุสานอีกแห่งหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นเคย เพราะไม่ได้เปิดให้คนเข้าออกเป็นพื้นที่สาธารณะ แต่ที่นี่เป็นสุสานที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก นั่นก็คือ "สุสานโปรเตสแตนท์" ที่ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้กับวัดราชสิงขรนั่นเอง
หลุมศพหลากหลายสไตล์ในสุสานโปรเตสแตนท์
สุสานแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยในช่วงเวลานั้นได้มีชาวต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะจากยุโรปและอเมริกา ซึ่งบางคนได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศไทยจนถึงบั้นปลายของชีวิต จึงจำเป็นต้องมีสุสานสำหรับฝังศพตามขนบธรรมเนียมประเพณี แต่ในขณะนั้นยังไม่มีสถานที่ที่จะใช้เป็นสุสาน ฝรั่งชาวโปรเตสแตนท์จึงต้องมีความยุ่งยากไม่น้อย โดยในหนังสือพิมพ์เก่าชื่อ "วชิรญาณวิเศษ" ได้กล่าวถึงประวัติของสุสานแห่งนี้ไว้ว่า

"เดิมเมื่อฝรั่งนิกายโปรเตสแตนท์ถึงแก่กรรมลงต้องได้รับความลำบากมาก ด้วยไม่มีที่ฝังศพเช่นฝ่ายโรมันคาทอลิก เมื่อจะฝังต้องไปอาศัยฝังที่บ้านจีนที่เป็นคนชอบกันบ้าง ดูน่าสังเวชนัก ภายหลังท่านบัตเตอเวิด ผู้สำเร็จราชการเมืองสิงคโปร์ ปีนัง ซึ่งคุ้นเคยกับรัชกาลที่ 4 มาแต่ก่อน จึงมีหนังสือขอพระราชทานที่มา และที่สุดก็ทรงยินดีอุดหนุนกิจ ได้ทรงซื้อที่พระราชทานให้ตามขอ เป็นจำนวนถึง 10 ชั่ง ทำให้ชาวโปรเตสแตนท์รู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นยิ่งนัก"
หินเหนือหลุมศพในสุสานโปรเตสแตนท์เป็นรูปเทวดาน้อยๆ
ภายในสุสานนี้ได้เป็นสถานที่ฝังร่างไร้ชีวิตของฝรั่งหลายเชื้อชาติที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ ซึ่งก็เป็นทั้งพ่อค้า มิชชันนารี และผู้ที่เข้ามารับราชการในประเทศไทย ซึ่งหลายท่านเป็นผู้ที่สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศไทยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหมอบรัดเลย์ ชาวอเมริกันผู้บุกเบิกการแพทย์สมัยใหม่และการพิมพ์ ผู้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของเมืองไทย คือบางกอกรีคอร์ดเดอร์ เมื่อ พ.ศ.2387

และยังเป็นสถานที่ฝังนายเฮนรี่ อลาบาสเตอร์ ชาวอังกฤษ ต้นสกุลเศวตศิลา ผู้เป็นที่ปรึกษาของรัชกาลที่ 5 เป็นผู้วางแนวถนนเจริญกรุง ผู้ตกแต่งจัดสวนสราญรมย์ ผู้ริเริ่มงานไปรษณีย์ไทย เป็นผู้สอนวิชาแผนที่ และเป็นผู้จัดการพิพิธภัณฑ์แห่งแรกของไทยที่หอคองคอเดียอีกด้วย นอกจากนั้นก็ยังเป็นที่ฝังกัปตันจอห์น บุช กัปตันเรือชาวอังกฤษผู้วางรากฐานงานเจ้าท่าในสมัยรัชกาลที่ 5 ให้มีมาตรฐานสากล จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวิสูตรสาครดิษฐ์ มีสุสานของตระกูลแมคฟาร์แลนด์ ผู้ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดไทย และเป็นอาจารย์แพทย์รุ่นแรกๆ
หินเหนือหลุมศพแกะเป็นรูปนางฟ้า
มีสุสานของจอห์น เทเลอร์ โจนส์ ชาวอเมริกันผู้ทำพจนานุกรมแปลภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษรุ่นแรกๆ ใน พ.ศ.2389 ต้นฉบับยังอยู่ที่หอสมุดแห่งชาติ แต่ยังไม่เคยตีพิมพ์ และเป็นสถานที่ฝังร่างของนายแฮมิลตัน คิง อัครราชทูตอเมริกาประจำประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 5-6 ผู้เก็บหนังสือพิมพ์บางกอกรีคอร์ดเดอร์ฉบับแรกของไทยที่ออกเมื่อปี พ.ศ.2387-2388 ของหมอบรัดเลย์ไว้ และทายาทของท่านได้นำมามอบไว้ที่สำนักข่าวสารอเมริกัน กรุงเทพฯ

ปัจจุบันสุสานโปรเตสแตนท์นี้อยู่ในความดูแลของสถานทูตอังกฤษ บรรยากาศของสุสานฝรั่งนี้ดูน่าสนใจไม่น้อย เพราะหินเหนือหลุมฝังศพในสุสานบางชิ้นเป็นศิลปกรรมตะวันตกแบบบาร็อก ส่วนมากแล้วจะทำเป็นหินรูปไม้กางเขนแบบเรียบๆ แต่บางหลุมศพทำเป็นรูปแกะสลักสวยงาม เป็นรูปนางฟ้าบ้าง หรือเทวดาตัวน้อยๆ ดูหน้าตาเศร้าสร้อย บ้างก็ทำสุสานสวยงามคล้ายปราสาทหลังย่อมๆ
หลุมศพของหมอบรัดเลย์
และนี่ก็เป็นสองสุสานในกรุงเทพฯที่มีความน่าสนใจ ส่วนเรื่องจะเฮี้ยนหรือไม่นั้นฉันไม่ขอพิสูจน์ดีกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น