xs
xsm
sm
md
lg

วังเวียงฝังใจ วิถีในม่านเขา-สายน้ำ และแบ็กแพ็กเกอร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : เหล็งฮู้ชง
ฉากขุนเขาที่โอบล้อมเมืองมนต์เสน่ห์มัดใจในวังเวียง
“วังเวียงแห่งนี้ เหมือนมีอำนาจ มัดจิตใจฝัง ภูผาอ้อมบังวังเวียงแสนงาม
ผาแดงผาตั้งงามตา เขาสูงเสียดฟ้าสีคราม ชมแล้วเมื่อยามสุดแสนเพลินใจ...”


เพลง วังเวียงฝังใจ : ขับร้องโดย (สำลอง) ก.วิเสด

1...

เวลาเปลี่ยน สรรพสิ่งเปลี่ยน คนเปลี่ยน เมืองเปลี่ยน วิถีเปลี่ยน ล้วนเป็นไปตามสัจธรรม
ขุนเขา-สายน้ำ มนต์เสน่ห์วังเวียงที่ในอดีตถูกยกให้เป็นดัง กุ้ยหลินเมืองลาว
นั่นจึงทำให้ “วังเวียง”เมืองงามฝังใจของ ก.วิเสด เปลี่ยนผ่านจากอดีตฐานที่มั่นกองกำลังปลดแอก กองทัพขบวนการประเทศลาวในช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองในลาว(ช่วงพ.ศ.2504-2518) กลายเป็นเมืองผ่านและเมืองพักกลางทางสำคัญจากเวียงจันทน์ไปหลวงพระบาง-หลวงพระบางไปเวียงจันทน์(ถ.หมายเลข 13 เหนือ) หลังลาวเปิดประเทศและการท่องเที่ยวในหลวงพระบางเฟื่องฟูจากการเป็นเมืองมรดกโลกในปี พ.ศ.2538

ช่วงนั้นวังเวียงยังอยู่ใต้เงาทางการท่องเที่ยวของหลวงพระบาง บรรดาแบ็กแพ็กเกอร์ผู้ผ่านทางส่วนใหญ่นอกจากจะใช้เป็นจุดพักค้างคืนแล้ว ยังใช้เป็นแหล่งพี้ยาตามสไตล์ของพวกเขาอีกด้วย

อย่างไรก็ตามด้วยความสงบงามของเมืองกลางขุนเขาหินปูนรายรอบและสายน้ำซองเย็นใสที่ไหลผ่าน ทำให้วังเวียงในยุคนั้นได้รับการขนานนามให้เป็นดัง “กุ้ยหลินเมืองลาว” ซึ่งนักท่องเที่ยวหลายคนเมื่อเห็นในศักยภาพจึงยืดวันพักค้างออกไปเพื่อท่องเที่ยวทัศนาในวิถีอันไร้การปรุงแต่งของเมืองนี้ ส่งผลให้วังเวียงกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวรองไปโดยปริยาย
สายหมอกหยอกขุนเขา ณ ยามเช้าในวังเวียง
จากนั้นด้วยพลวัตรขับเคลื่อนอันเร็ว-แรงแห่งโลกโลกาภิวัฒน์ ผนวกกับการที่หลวงพระบางเปลี๊ยนไป๋ ทำให้วันนี้วังเวียงเติบโตแบบก้าวกระโดดจากเมืองผ่านสู่เมืองท่องเที่ยวหลัก ขึ้นชั้นไปตีคู่กับเมืองรุ่นพี่อย่างหลวงพระบาง กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งยุคสมัยที่มาแรงสุดๆในสปป.ลาว จนใครหลายคน(คนไทย)ตั้งฉายาใหม่ให้วังเวียงว่าเป็น“เมืองปายแห่งลาว” เพราะมีวิถีหลายอย่างในการเปลี่ยนผ่านคล้ายเมืองปาย จ.แม่ฮ่องสอน ของบ้านเรา แต่นั่นเป็นเพียงมายาคติเท่านั้น เพราะจริงๆแล้วสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งต่างก็มีวิถีและเอกลักษณ์ในแบบของตัว

และก็เป็นใครหลายคนอีกนั่นแหละที่ตั้งข้อสังเกตเจือความเป็นห่วงว่า ระวัง! ทั้ง 2 เมืองจะมีลักษณะ“ดังไว ไปเร็ว“คล้ายกันด้วย
ออกนอกตัวเมืองวังเวียงไปนิดเดียวก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศท้องทุ่งนาเขียวชอุ่ม
2...

วังเวียงวันนี้เปลี่ยนไปมากจากเมื่อแรกที่ผมรู้จัก

หากมองเผินๆผ่านทางกายภาพจากภายนอก วังเวียงดูเหมือนจะเดินเข้าสู่วังวนของปายอย่างที่เขาว่าจริงๆนั่นแหละ แถมบางช่วงบางมุมผมว่าหนักกว่าเสียอีก กระเดียดไปทางถนนข้าวสารโน่นเลย เพราะเต็มไปด้วยพวกฝรั่งแบ็กแพ็กเกลื่อนเมือง แถมฝรั่งแนวนี้ส่วนใหญ่มักไม่ค่อยแคร์สายตาชาวบ้านเสียด้วยสิ

หลายคนเดินเมากรึ่มโวยวายแบบไม่กลัวใคร หลายคู่เดินกอดจูบกันกลางเมือง หลายคนขึ้นจากเล่นน้ำซองมาพวกเดินถอดชุดนั้นนอกอวดพุงหน้าตาเฉย โดยเฉพาะสาวหลายคนๆที่นุ่งน้อยห่มน้อยมาในชุดบิกินี่ ทูพีช โชว์รูปร่างอันอะร้าอร่ามนั้น บางคนดูดี ส่วนบางคนไม่ดูดีกว่า ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสาวพื้นเมืองที่นุ่งซิ่นไปไหนมาไหนจะมีทัศนะคติอย่างไรต่อแนวทางแบบนี้
ตัวเมืองวังเวียงยามราตรีกับวิถีอิทธิพลตะวันตก
ไม่เพียงฝรั่งเท่านั้น คนเอเชียเดี๋ยวก็เริ่มทยอยเข้ามาเที่ยวในวังเวียงกันมากขึ้น ทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลี เวียดนาม คนลาวด้วยกัน พวกแขกอินเดียก็มี ส่วนพี่ไทยเรานั้นก็ไม่น้อยหน้ามาเยอะพอตัวทีเดียว แต่สิ่งที่ผมอยากฝากบอกกันสักนิดก็คือ เรื่องราคาค่าใช้จ่ายที่นี่ไม่ได้ถูกกว่าบ้านเราเลย อาหารการกิน ขนม เครื่องดื่ม สินค้าหลายอย่างแพงกว่าเมืองไทย เนื่องจากต้องนำเข้าจากบ้านเรา ส่วนที่ราคาใกล้เคียงกับบ้านเราก็เห็นจะมีแต่เบียร์ลาวนั่นแหละ(เบียร์ลาวที่อื่นที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวขายถูกกว่า) เพราะฉะนั้นทริปนี้เบียร์ลาวจึงเป็นเครื่องดื่มหลักของผมไปโดยปริยาย

เมื่อดีมานด์นักท่องเที่ยวมีมาก ซับพลายด้านที่พักย่อมตามมา ในวังเวียงจึงมีที่พักผุดขึ้นเพียบราวกับดอกเห็ด มีหลายระดับหลายราคาตั้งแต่เกสเฮาส์ราคาประหยัดไม่กี่ร้อยบาท ไปจนถึงโรงแรม รีสอร์ทหรู หลักพันสำหรับนักท่องเที่ยวเงินหนา มือเติบ เป็นการขยายฐานกลุ่มเป้าหมายของนักท่องเที่ยวจากกลุ่มแบ็กแพ็กที่เข้ามายึดหัวหาดเมื่อ 10 กว่าปีก่อนให้กวางขวางขึ้น

แน่นอนว่าที่พักริมน้ำย่อมเป็นที่หมายปองในลำดับต้นๆ ก่อนที่ความต้องการจะเขยิบเข้ามาสู่ที่พักในเมืองที่อยู่ห่างกันไม่ไกล ข้อดีของที่พักโซนนี้ก็คือ หากเป็นนักท่องราตรีมันสะดวกต่อการเดินเที่ยว ดื่ม กิน ยิ่งนัก ซึ่งวันนี้ย่านดาวน์ทาวน์ของวังเวียงคึกคักไปด้วยแสงสี ร้านรวง ผับบาร์ มากหลาย แสดงให้เห็นถึงความโตเร็วและรุกคืบของวัฒนธรรมตะวันตกได้เป็นอย่างดี
แสงสุดท้ายริมสายน้ำซอง
3…

อมตะวาจาว่าไว้ว่าอย่ามองคนแค่ภายนอก ฉันใดก็ฉันเพล ที่เราจะมองวังเวียงเพียงภายนอกจากการเจริญทางวัตถุไม่ได้ เพราะถ้าเมืองนี้มีแค่ย่านบันเทิง ร้านรวง ผับบาร์ แบ็กแพ็กเกอร์ หลายคนคงไม่ด้นดั้นฟันฝ่าไป(รวมถึงตัวผมด้วย)

แต่วังเวียงมีศักยภาพและมีดีมากกว่านั้น เพราะเมื่อเที่ยวลึกลงไปผมพบว่าธรรมชาติ ขุนเขา ป่าไม้ สายน้ำที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์ ขณะที่วิถีชีวิตชุมชนนอกรอบยังคงเรียบง่าย พอเพียง ไม่เสียศูนย์ไปตามธุรกิจท่องเที่ยวที่รุมเร้า

สำหรับผม สิ่งสำคัญในวังเวียงที่ผูกมัดใจให้ชวนหลงใหลแบบมิรู้เบื่อก็คือ มนต์เสน่ห์แห่งขุนเขาที่ตั้งตระหง่านรายล้อมเมือง ขุนเขาพวกนี้ไม่ได้ขึ้นเป็นเทือกใหญ่ แต่ขึ้นเป็นลูกขยุกขย่อนโค้ง เว้า มน แหลม เหลี่ยม ทิ่มแทงท้องฟ้าตามแบบฉบับเขาหินปูน ดุจดังฉากม่านแห่งขุนเขาแสนงามที่จิตรกรธรรมชาติบรรจงสร้างสรรค์ขึ้นโอบล้อมเมือง
ผาตั้ง(เขาลูกเด่น) ตั้งตระหง่านริมสายน้ำ
ยามเช้าจะเห็นเมฆหมอกลอยอ้อยอิ่งหยอกล้อกับขุนเขา ยามสาย-ยามบ่าย(วันฟ้าเปิด)จะมองเห็นม่านเขาเป็นเชิงชั้นตัดกับปุบเมฆและสีงามตามธรรมชาติของท้องฟ้า ส่วนยามเย็นแสงแห่งม่านฟ้ายามพระอาทิตย์ใกล้ลาลับคือมนต์สะกดให้หลายคนหลงใหลเคลิบเคลิ้ม

อนึ่งในบรรดาขุนเขาที่มากมายนั้น เขาหลายลูกมีหน้าผาอันสวยงามให้ชื่นชม อาทิ ผาแดง ผาฮ้อม(ผาล้อม) ผาปลวก ผานางฮั่ว และ“ผาตั้ง”ที่อยู่นอกเมืองออกไปราว 20 กม.

ผาตั้งมีสายน้ำซองไหลเลาะเลียบผ่าน มีบ้านผาตั้ง หมู่บ้านเล็กตั้งแอบอิงอยู่ ผาแห่งนี้มีตำนานเล่าว่า พระสุธน(มโนห์รา)ใช้ง้าวฟันภูเขาเกิดเป็นผาตั้งขึ้นมา ชาวบ้านที่นี่เชื่อว่าเป็นผาศักดิ์สิทธิ์ ห้ามไปจับปลาบริเวณนั้น ทำให้เกิดเขตอภัยทานผาตั้งไปในตัว
หินงอกหินย้อยภายในถ้ำจัง
นอกจากภูผาเลื่องชื่อแล้ว เสน่ห์แห่งขุนเขายังก่อให้เกิดถ้ำมากมายในวังเวียง ที่เด่นๆก็มี ถ้ำปู่คำ ถ้ำหลุก ถ้ำลม ถ้ำน้ำ และ“ถ้ำจัง” ถ้ำดังแห่งวังเวียง ซึ่งชาวบ้านที่นี่นับถือเป็นถ้ำศักดิ์สิทธิ์ เชื่อว่าเคยเป็นที่ประทับของเจ้าแม่กวนอิมมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ภายในถ้ำมีรูพญานาคเชื่อมต่อกับลำน้ำซอง โดยระหว่างทางไปถ้ำจังจะมีของแปลกอย่างต้นมะพร้าว 2 ยอดที่ผมไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนให้ชมกันด้วย ซึ่งถ้าเป็นที่เมืองไทยนะ รับรองว่ามะพร้าวต้นนี้ดังไปแล้ว มีคนมาตั้งศาล ขอหวย ขูดเลข ผูกพ้าแพรสีกันเต็มไปหมด

สำหรับถ้ำจังนั้น ปัจจุบันมีคนมาสัมปทานทำรีสอร์ทหน้าถ้ำ ทำให้คนจะไปเที่ยวถ้ำต้องเสียเงินค่าพื้นที่ให้เขาก่อนจะไปเสียเงินค่าเข้าถ้ำอีกต่อหนึ่ง(โดน 2 เด้งเลย) ไม่เพียงเท่านั้นพวกยังเล่นเปิดเธคอยู่ใกล้ๆถ้ำ เป็นเธคชื่อดังของคนวังเวียงเสียด้วย วัยรุ่นที่นี่เขารู้กันดีว่า ถ้าบอกไปเที่ยวถ้ำจังตอนกลางคืน นั่นหมายถึงไปเที่ยวเธคที่นี่
ใครจะข้ามสะพานนี้ต้องเสียเงิน
ส่วนถ้ำจังของจริงนั้นต้องไปช่วงกลางวัน เพราะเขากำหนดเวลาปิด-เปิด เช้าถึงเย็น เมื่อเดินขึ้นบันได 147 ขั้นไป บนนั้นมีจุดชมวิวมองลงมาเห็นทิวทัศน์ท้องทุ่งนาอันสวยงามกว้างไกล ภายในมีหินงอกหินย้อยสวยงามมากมายหลายรูปทรง(มีหินรูปเจ้าแม่กวนอิมด้วย) แถมอากาศข้างในยังเย็นสบายคล้ายติดแอร์ยังไงยังงั้น ส่วนหน้าทางขึ้นถ้ำมีแอ่งน้ำเกิดจากสายน้ำไหลผ่านถ้ำลงมา สวยงามใสแจ๋ว

ไหนๆเมื่อมาถึงเรื่องน้ำแล้ว ผมขอต่ออารมณ์เย็นใสด้วยมนต์เสน่ห์ของสายน้ำซองที่ไหลผ่านกลางเมือง นี่คือสายน้ำแห่งชีวิตของชาววังเวียง เป็นที่อาบน้ำชำระล้างร่างกาย เป็นแหล่งหาปลาของชาวบ้าน และเป็นแหล่งหาสตางค์ของนายทุน เนื่องจากสะพานบางเส้นมีนายทุนมาสัมปทานสร้างสะพาน ฉะนั้นผู้ที่จะข้ามสะพานทั้งคนลาวและชาวต่างชาติต้องจ่ายเงินตามอัตราที่กำหนด อย่างว่าแหละ เมืองท่องเที่ยว หลายสิ่งหลายอย่างมันเป็นเงินเป็นทองไปหมด
ล่องห่วงยาง ผจญภัยในสายน้ำซอง
อย่างไรก็ดีกับลำน้ำซองนั้น ในสายตาของนักท่องเที่ยวมันคือแหล่งทำกิจกรรมชั้นดี ทั้งล่องเรือเครื่อง พายคยัค ชื่นชมความงาม โดยเฉพาะการล่อง“กงเบ่ง”หรือห่วงยางให้ไหลล่องไปตามสายน้ำนั้นเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมกันมาก

นอกจากนี้ในสายน้ำซองยังมีโซนกิจกรรมมันๆของฝรั่งแถวออร์แกนนิคฟาร์ม ที่มีทั้งล่องห่วงยาง สไลดเดอร์ โหนสลิงกระโดดน้ำ พื้นที่โซนนี้เพื่อนลาวบางคนเรียกว่า“ย่านฝรั่งบ้า” ส่วนผมเมื่อผ่านมาที่นี่เห็นทั้งฝรั่งบ้า และฝรั่งเมา เพราะพวกเขาต่างสนุกสุดเหวี่ยงกับการดื่ม เต้น เล่นโคลน เล่นน้ำ และทำอะไรแปลกๆอีกหลายอย่าง ดูแล้วเหมาะสมกับฉายาที่เพื่อนลาวตั้งให้ไม่น้อยเลย
วิถีที่ยังแนบแน่นในพระพุทธศาสนา
4...

ย่านฝรั่งบ้าแม้จะเป็นอีกหนึ่งภาพการรุกคืบทางวัฒนธรรมของฝรั่ง แต่ในวังเวียงยังคงมีบรรยากาศแบบลาวๆให้สัมผัสกันอยู่ทั่วไป ซึ่งการขี่จักรยานชมเมืองถือว่าเหมาะสมที่สุด เพราะสามารถใกล้ชิดกับจุดน่าสนใจได้ไม่ยาก ถ้าใครตื่นเช้าลองขี่ไปชมวิถีชีวิตพื้นเมืองที่ตลาดเช้า และจะพบว่าสินค้าบางอย่างมันคือความแปลกใหม่ๆที่หาชมไม่ได้ในบ้านเรา

ส่วนถ้าวันไหนมีงานบุญใหญ่(ต้องถามข้อมูลจากชาวบ้านก่อน) ไม่ควรพลาดการไปวัดด้วยประการทั้งปวง เพราะจะได้พับกับศรัทธาในศาสนาพุทธอันแนบแน่น ชาวบ้านนำข้าวปลาอาหารมาถวายวัด ฟังเทศน์ ทำบุญ กันเป็นจำนวนมาก ที่นี่เราจะได้เห็นแม่หญิงลาวนุ่งผ้าซิ่นสวยงามมาทำบุญกันอย่างเพลินตา ดูแล้วเป็นวิถีที่สวนทางกับย่านฝรั่งบ้าโดยสิ้นเชิง
นอกตัวเมืองวังเวียงยังคงมีบรรยากาศชนบทแบบอยู่ทั่วไป
สำหรับวิถีแบบชนบทนั้นต้องออกนอกเมืองไปหน่อย จะพบกับวิถีหมู่บ้านที่อยู่กันอย่างเรียบง่าย ส่วนใหญ่ทำการเกษตร ปลูกข้าวทำนา หาปลา ล่องเรือ ใช้ชีวิตแอบอิงกับลำน้ำ หลายคนไปค้าขายในเมือง ยามเย็นย่ำเลิกงานก็กลับคืนสู่รังรัก นับเป็นมนต์เสน่ห์แห่งวังเวียงที่คงต้องตามดูกันต่อไปว่า ท่ามกลางกระแสธุรกิจท่องเที่ยวที่กำลังโตวันโตคืนนั้น วิถีแบบนี้ในอนาคตจะยังมั่นคง สั่นคลอน หรือ เสื่อมสูญ ?
*****************************************

วังเวียง เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของแขวงเวียงจันทน์ ห่างจากตัวเมืองหลวงเวียงจันทน์ประมาณ 156 กม. มีรถโดยสารจากเวียงจันทน์ไปยังวังเวียงตั้งแต่เช้าถึงราว 6 โมงเย็น ใช้เวลาเดินทางราว 3 ชม. นอกจากนี้สำหรับผู้ที่ต้องการเที่ยววังเวียงและเมืองอื่นๆในสปป.ลาวในรูปแบบทัวร์ที่แตกต่าง(หลวงพระบาง-เชียงขวาง(ทุ่งไหหิน)-วังเวียง-เวียงจันทน์) สามารถสอบถามได้ที่ สีสันทัวร์ 0-2693-1031-3
กำลังโหลดความคิดเห็น