xs
xsm
sm
md
lg

"สโตนเฮนจ์" กลุ่มหินพิศวง สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : จุชดานิน

สโตนเฮนจ์ 1ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง
มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่?

ณ วันนี้ยังหาข้อพิสูจน์ไม่ได้ ตอกย้ำให้เห็นว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่อุบัติขึ้นบนโลกยังคงความลี้ลับ ชวนพิศวง ไม่สามารถอธิบายด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์อย่างกระจ่างชัด ดังกรณี กลุ่มหินประหลาดขนาดใหญ่ที่วางเรียงรายเป็นวงกลมกลางท้องทุ่งกว้างใหญ่ ในบริเวณที่ราบซัลลิสเบอร์รี่(Salisbury) ในเขต Wiltshire ทางตอนใต้ของอังกฤษ หรือที่ทุกคนรู้จักกันดีในนาม "สโตนเฮนจ์" (Stonehenge)

สโตนเฮนจ์ หมายถึง หินที่แขวนอยู่ (Hanging Stone) เชื่อกันว่ามันมีอยู่มาตั้งแต่ 5,000 ปีมาแล้ว แม้นักวิชาการส่วนใหญ่จะเห็นพ้องต้องกันว่า "สโตนเฮนจ์" เป็นสิ่งก่อสร้างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลี้ลับ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สร้าง? และจริง ๆ แล้วมันมีไว้เพื่ออะไร?
กลุ่มหินอันเป็นปริศนาตั้งอยู่กลางที่ราบSalisbury
ในสมัยก่อนตอนฉันยังเด็กๆเคยได้อ่านการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง เนื้อเรื่องของการ์ตูนเรื่องนี้เกี่ยวกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องกลับไปในอดีตในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ได้โดยอาศัยวันที่เกี่ยวกับดวงอาทิตย์เพื่อเปิดประตูเชื่อมที่สโตนเฮนจ์เพื่อไปทำหน้าที่เอาตัวเองเป็นผนึกปิดประตูมิติระหว่างโลกมนุษย์กับโลกอันชั่วร้าย

ในตอนนั้นเมื่อฉันได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้แล้วก็สงสัยว่าสโตนเฮนจ์ที่ปรากฏในการ์ตูนมีจริงหรือไม่ มันเป็นอย่างไรและเมื่อโตขึ้นฉันก็ได้รู้ว่าสโตนเฮนจ์มีอยู่จริง และเรื่องในการ์ตูนก็อ้างอิงความเชื่อของคนกลุ่มหนึ่งที่เชื่อว่าสโตนเฮนจ์เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์และการโคจรของโลก
ทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ในที่ราบ Salisbury
ขณะที่นักวิชาการและนักโบราณคดีบางกลุ่มเชื่อว่ามันเป็นซากปรักหักพังของวิหารโรมัน บ้างก็ว่าใช้เป็นที่ประกอบพิธีบูชาพระอาทิตย์ บางกลุ่มเชื่อว่าเป็นสถานที่ประกอบพิธีฝั่งศพ หรือบางท่านก็เชื่อว่าเป็นสถานที่สำหรับเยียวยาผู้ป่วย เพราะในบริเวณนี้มีกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่เจ็บป่วยหรือได้รับบาดเจ็บมากผิดปกติ

ส่วนนักดาราศาสตร์ก็อ้างว่าสามรถถอดรหัสแนวหินสโตนเฮนจ์ได้ เขาเสนอว่าสโตนเฮนจจ์ คือ เครื่องคำนวณเวลายุคก่อนประวัติศาสตร์ซึ่งใช้เป็นปฏิทินดาราศาสตร์และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลุ่มก้อนต่างๆ ล้วนมีความสัมพันธ์กับแนวการเคลื่อนของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น แม้ทฤษฎีทั้งหลายจะมีตัวเลขและสถิติผลการวิจัยสนับสนุน แต่ก็ยังไม่มีแนวคิดใดไขปริศนาลึกลับแห่งสโตนเฮนจ์ได้อย่างสมบูรณ์

แต่อย่างไรก็ตามความลึกลับชวนค้นหานั้นเองที่ทำให้ "Stonehenge" ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของอังกฤษ แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวมากมายจากทั่วทุกมุมโลกหลั่งไหลมาเยี่ยมชมกลุ่มหินประหลาดนี้
Stone Circles กับหมู่บ้าน Avebury
สำหรับรูปลักษณะของสโตนเฮนจ์ ประกอบไปด้วยแนวหินขนาดใหญ่วางเรียงรายราว 3 กิโลเมตร มีหินทั้งสิ้นประมาณ 112 ก้อน เป็นรูปวงกลมซ้อนกัน 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อน

วงนอกเป็นแผ่นหินทรายขนาดใหญ่ มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 100 ฟุต มีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูงประมาณ 13 ฟุต วงกลางและวงในเป็นหินสีฟ้า ซึ่งเชื่อว่าเป็นหัวใจของสโตนเฮนจ์ โดยวงกลางมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มี 2 ก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต ส่วนวงในสุดมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 50 ฟุต มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ลักษณะของหินในชั้นนี้ล้มบ้างตั้งบ้าง เฉลี่ยแล้วสูงประมาณ 13 ฟุต หนักประมาณ 26 ตัน
Avebury Stone Circles กว้างถึง 348 เมตร
ความน่าพิศวงอีกอย่างหนึ่งของสโตนเฮนจ์คือ บริเวณรอบๆนั้นเป็นทุ่งกว้าง ไม่มีภูเขาหรือสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่นๆ จึงเป็นปริศนาว่าหินก้อนยักษ์เหล่านี้มาจากที่ไหน และด้วยความหนักและใหญ่โตของหินแต่ละก้อนจึงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ หากมนุษย์เราที่ยังไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้เครื่องทุนแรงจะยกหรือลากมันมาได้ จึงมีความเชื่อของคนบางกลุ่มว่า สโตนเฮนจ์เป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์บางประการ

เช่นเดียวกับที่หมู่บ้าน "Avebury" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Stonehenge ห่างไปประมาณ 25 กิโลเมตร ที่ Avebury แห่งนี้เองก็มีลักษณะคล้ายกับสโตนเฮนจ์คือมีหินขนาดใหญ่วางเรียงห่างๆกันเป็นวงกลมชั้นเดียว เรียกกันว่า "Avebury Stone Circles"

ร่องรอย Crop Circle ปริศนากลางทุ่งกว้าง
โดยหินแต่ละก้อนจะถูกวางอยู่อย่างโดดๆ ห่างกันประมาณ 10 เมตร รวมแล้วกว้างถึง 348 เมตร มีถนนตัดผ่านกลางวงหิน ซึ่งหากมองในมุมสูงจะเห็นเป็นวงกลมได้อย่างชัดเจน แม้ที่ Avebury Stone Circles แห่งนี้จะดูไม่ยิ่งใหญ่อลังการเท่าสโตนเฮนจ์ แต่ก็สามารถสัมผัสได้อย่างใกล้ชิด และก็ยังคงความลี้ลับเช่นเดียวกับสโตนเฮนจ์

และหากนำแท่งเหล็กรูปตัว L 2 แท่ง เอามือกำด้านสั้นไว้อย่างหลวมๆ ให้แนวแท่งเหล็กทั้งสองขนานกัน แล้วค่อยๆเดินไปทางทิศใต้ของวงหิน จะเห็นว่าแท่งเหล็กทั้งสองที่ขนานกัน มันจะค่อยๆเบนเข้าหากันจนไขว้กันในที่สุด และหากเดินถอยหลังกลับแท่งเหล็กทั้งสองก็ค่อยๆกลับมาขนานกันอีกครั้ง ซึ่งก็ถือว่าน่าอัศจรรย์มาก
Salisbury Cathedral มหาวิหารอันสวยงาม
ไม่เพียงเท่านั้นที่ทุ่ง Avebury แห่งนี้ยังเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "Crop Circle" หรือปรากฏการณ์วงกลมปริศนาบนพื้นที่ไร่นา ไร่ข้าวโพ ข้าวบาร์เล่ย์ หากมองในมุมสูงจะเห็นเหมือนเป็นตราประทับหรือสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง หากนึกไม่ออก ก็ไปดูในภาพยนตร์เรื่อง "Signs" ที่นำแสดงโดย Mel Gibson เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายๆประเทศทางแถบยุโรปและอเมริกา ในพื้นที่ไร่ข้าวโพดอันกว้างขวาง วันดีคืนดีเมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าข้าวโพดล้มลงจำนวนมากเป็นรูปวงกลมและรูปทรงเลขาคณิตอื่นๆ โดยเกิดขึ้นในฤดูร้อนซึ่งก็เป็นปริศนาอีกเช่นกันว่าใครเป็นคนทำ? และด้วยจุดประสงค์อะไร?

เรื่องลี้ลับเหล่านี้เองที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางมายลโฉมและพยายามไขปริศนาของโลกที่ยังคงถูกเก็บงำมานานหลายพันปี
บรรยากาศแบบกอธิคใน Salisbury Cathedral
นอกจากสถานที่ปริศนาอันลี้ลับแล้ว เมือง"Salisbury" เมืองเล็กๆน่ารัก เงียบสงบ เมืองอันเป็นที่ตั้งของสถานที่ชวนพิศวงในข้างต้น ยังมีสิ่งชวนชมอย่าง "Salisbury Cathedral" หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า "Cathedral of Saint Mary"

Salisbury Cathedral เป็นมหาวิหารอันสวยงามอลังการ สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1221 แล้วเสร็จในปี ค.ศ.1280 รวมแล้วใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างถึง 59 ปีด้วยกัน และได้รับสถาปนาเป็นมหาวิหารในปี ค.ศ.1258 สถาปัตยกรรมของมหาวิหารแห่งนี้เป็นแบบกอธิคของอังกฤษตอนต้น ที่เป็นแนวเดียวกันหมดเพราะสร้างรวดเดียวเสร็จ ไม่เหมือนมหาวิหารอื่นที่ใช้เวลาหลายร้อยปีจึงสร้างเสร็จ ทำให้ลักษณะสถาปัตยกรรมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย
 รรยากาศน่ารักๆในเมือง Salisbury
ยอดของมหาวิหารสูงจากพื้น 123 เมตร ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในสหราชอาณาจักร ด้านระเบียงคดก็มีเนื้อที่มากที่สุด และเนื้อที่บริเวณรอบมหาวิหารซึ่งเท่ากับ 80 เอเคอร์ ก็ถือว่ากว้างใหญ่ที่สุดในอังกฤษเช่นกัน นอกจากนั้นมหาวิหารยังมีนาฬิกาที่สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1386 ที่ในปัจจุบันยังสามารถใช้การได้

ใกล้ๆกับมหาวิหารเป็นแหล่งช้อปปิ้งของฝากของที่ระลึกที่นอกจากจะเลือกซื้อของติดไม้ติดมือกลับบ้านแล้ว ยังสามารถเดินชมเมืองชนบทแห่งนี้ และอาคารบ้านเรือนแบบอังกฤษได้อย่างไม่ไกลอีกด้วย
วิวทิวทัศน์แม่น้ำอันร่มรื่นเป็นธรรมชาติที่เมือง Salisbury
กำลังโหลดความคิดเห็น