xs
xsm
sm
md
lg

ผจญภัยทะเลทราย"ดูไบ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : จุชดานิน

นั่งเรือข้ามแม่น้ำดูไบครีก
"ดูไบ" เมืองสำคัญแห่งอาหรับเอมิเรตส์ ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเมืองอันน่าอัศจรรย์ที่มนุษย์เนรมิตขึ้น ดูมีความทันสมัยไฮโซ แต่กระนั้นดูไบก็ยังมีย่านเมืองเก่า(Dubai Old Town)ให้เที่ยวชมกัน

เมืองเก่าแห่งนี้ตั้งอยู่ริม แม่น้ำ"ดูไบ ครีก"(Dubai Creek) แม่น้ำสายสำคัญที่แต่เดิมเป็นเส้นทางการค้าขายสินค้าของยูเออีไปยังเอเชียตะวันออก โดยสินค้าจะมาขนถ่ายกันที่ท่าเรือเพื่อนำไปยังเรือสินค้าใหญ่อีกที

แม่น้ำดูไบครีกนี้เองทำให้ดูไบแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ได้แก่ฝั่งเดรา (Deira) และฝั่งเบอร์ ดูไบ (Bur Dubai)ซึ่งเป็นฝั่งเมืองเก่าที่มีวิถีชีวิตอีกแบบแตกต่างจากในเมืองลิบลับ
เครื่องเทศนานาชนิดในตลาดเครื่องเทศ
ความมีชีวิตชีวาของเมืองเก่าแห่งนี้ดูได้ง่ายๆในบริเวณท่าเรือที่ผู้คนยังสัญจรไปมาด้วย Abra เรือข้ามฟากที่ทำจากไม้ หรือดูที่ตลาดหรือ Souk โดยจากท่าเรือเดินไปไม่ไกลก็จะเจอ"ตลาดเครื่องเทศ" (Spice Souk) ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปภายในย่านตลาดก็แทบไม่ต้องบอกกันเลยว่าขายอะไร เพราะกลิ่นของเครื่องเทศและเครื่องปรุงของชาวอาหรับนานาชนิดตลบอบอวนเป็นที่ยิ่ง แบบที่เราคุ้นเคยกันดีก็เช่น กานพลู กระวาน อบเชย ส่วนที่ไม่คุ้นทั้งรูปร่างและกลิ่นก็มีเยอะ รวมไปถึงพวกกำยาน ผลไม้แห้ง และถั่วชนิดต่างๆ รวมถึงของที่ระลึกและระทึกอาทิที่สูบชิชาหลากหลายขนาดก็มีวางขายให้เห็นมากมาย

เพลิดเพลินกับข้าวของในซุกเครื่องเทศแล้ว เดินเข้าซอยเลาะๆไปไม่ไกลพวกเราก็มาเจอะกับ "ตลาดทอง" (Gold Souk) ฉันเห็นแล้วลมแทบจับ เพราะนอกจากจะต้องทนกับอากาศร้อนอบจนหายใจไม่ค่อยสะดวกแล้ว ยังมาเจอกับความยิบยับวับวาวของทองรูปพรรณมากมายที่สะท้อนแสงเข้าตาเหมือนจะเชื้อเชิญให้พวกเราแวะเวียนเข้าไปชม
ทองอร่ามในตู้โชว์หน้าร้านในตลาดทองที่ใหญ่ที่สุด
หน้าร้านแต่ละร้านมีทองอร่ามสวยแสบตาอยู่ในตู้โชว์ ทั้งทองรูปพรรณในรูปแบบของสร้อยคอ กำไล ต่างหู แหวน มีมากมายลวดลายดูแล้วออกแขกๆละเอียดสวยงาม นอกจากทองแล้วที่นี่ยังเป็นศูนย์กลางการจำหน่ายเพชร และอัญมณีมีค่าอื่นๆ อีกด้วย ส่วนราคาทองที่นี่ก็ไม่เหมือนบ้านเราตรงที่คิดกันตามน้ำหนัก แต่ของเราจะคิดตามน้ำหนักบวกค่ากำเหน็จตามความยากง่ายของงานจึงทำให้ดูเหมือนว่าทองที่นี่จะถูกกว่าบ้านเรา ใครที่มาดูไบต้องไม่พลาดเพราะเขาว่าตลาดทองที่นี่ใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกกลางเลยทีเดียว

ดูของสวยๆงามๆจนอิ่มอกอิ่มใจแล้ว สถานที่ต่อไปจะทำให้เราได้รู้ซึ้งถึงความเป็นมาเป็นไปตั้งแต่อดีตของเมืองดูไบกันก็คือ "พิพิธภัณฑ์ดูไบ" (Dubai Museum) ซึ่งจัดแสดงอยู่ในป้อมปราการอัลฟาฮิดิ (Al Fahidi)
ป้อมปราการอัลฟาฮิดิกลายเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ดูไบเมื่อปี 2514
ป้อมอัลฟาฮิดินี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปี 1787 เพื่อป้องกันเมืองจากภัยคุกคาม และในปี 1971ป้อมปราการแห่งนี้ก็ได้รับการบูรณะและจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์ เมื่อเข้ามาในเขตป้อมแล้วฉันนึกกระหยิ่มในใจ นี่หรือพิพิธภัณฑ์ของเมืองดูไบ เล็กนิดเดียวมีเรือ มีปืนใหญ่จัดโชว์อยู่ไม่กี่ชิ้น หน้ากระทรวงกลาโหมบ้านเรายังมีปืนใหญ่มากกว่าตั้งแยะ แต่เมื่อเจ้าหน้าที่พาพวกเราเดินชมพร้อมทั้งอธิบายว่าการจัดแสดงตรงส่วนนี้แสดงเกี่ยวกับชีวิตในสมัยก่อนของชาวเอมิเรตส์สมัยที่ยังไม่พบน้ำมัน ชาวพื้นเมืองมีอาชีพประมง อย่างเพิ่งสงสัยว่าประเทศเขาเป็นทะเลทรายจะประมงอย่างไร เพราะแม้จะเป็นทะเลทรายแต่ก็มีภูมิประเทศติดทะเลด้วย

โดยเรือที่จัดแสดงไว้เป็นเรือในสมัยก่อนที่ใช้ออกทะเลหาปลา งมหอยมุก ซึ่งในสมัยก่อนใช่ว่าจะงมหอยมุกกันได้ง่ายๆ เขาต้องใช้เชือกผูกขาบีบจมูกกลั้นหายใจแล้วดำลงไปงมหอยมุก ให้เพื่อที่อยู่บนเรือนับ1-10 แล้วดึงเชือกขึ้นมา ฟังดูแล้วยากเย็นแสนเข็ญกว่าจะได้มา นอกจากนี้ยังมีการจำลองบ้านของชาวอาหรับโบราณที่บนหลังคาจะมีลักษณะแบบเปิดรับลมเข้าในตัวบ้าน
ชั้นใต้ดินในพิพิธภัณฑ์ดูไบจัดแสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ชาวดูไบ
ทางด้านปีกขวาภายในกำแพงป้อมที่จัดแสดงอาวุธ และเครื่องแต่งกายนักรบในสมัยก่อน ด้านปีกซ้ายก็จัดแสดงอาวุธและอุปกรณ์ในสมัยก่อน ส่วนชั้นใต้ดินมีวีดิทัศน์เล่าเรื่องราวตั้งแต่ครั้งอดีตจนปัจจุบัน มีการจัดแสดงประวัติศาสตร์โดยใช้หุ่นขี้ผึ้งจะลองเป็นเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นชนเผ่าเบดูอินร่อนเร่พเนจรกลางทะเลทราย สมัยยังไม่เจอบ่อน้ำมัน จนมาสมัยขุดเจอน้ำมันถึงปัจจุบัน

หลังชมความเป็นดูไบกันอย่างลึกซึ่งในพิพิธภัณฑ์กันไปแล้ว ต่อมาฉันมาแวะที่ "สุเหร่าจูไมร่า" (Jumeirah Mosque) สุเหร่าคู่บ้านคู่เมืองของชาวดูไบกันบ้าง สุเหร่านี้มองจากภายนอกดูสวยสง่าด้วยการสร้างที่ใช้หินอ่อนทั้งหลังและยังได้ชื่อว่าเป็นสุเหร่าที่สวยงามที่สุดในแถบนี้อีกด้วย
สุเหร่าจูไมร่าที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดในละแวกนี้
เที่ยวกันมาหลายที่แล้ว ทีนี้ก็มาถึงไฮไลท์แห่งดูไบด้วยการตะลุยทะเลทราย โดย รถ 4WD ขับเคลื่อน 4 ล้อ พาเราหันหลังให้เมืองมุ่งหน้าสู่ทะเลทรายของแท้เพื่อไปร่วมเล่นกิจกรรม "ผจญภัยในทะเลทราย" (Dessert Safari and Dune Dinner)

จากตัวเมืองดูไบประมาณ 1.30 ชม.ฉันมาถึงยังทะเลทรายที่มองไปทางไหนก็ดูเวิ้งว้างรถ 4WD จอดกลางทะเลทรายให้เราลงไปชมฟาร์มอูฐ พอเปิดประตูรถเท่านั้น โอ๊ว..แม่เจ้า โค-ตะ-ระ อภิมหาร้อนเลยทีเดียว ฉันว่าในเมืองยามอยู่นอกอาคารร้อนแล้วแต่นี่แบบว่าสุดๆ ไปเลย แต่เอ๊า..ในเมื่อมาแล้วฉันก็พร้อมที่จะสู้กับแดดและความร้อนเยี่ยงตู้อบ 50 องศานี้

ระหว่างที่พวกเราถ่ายรูปกะน้องอูฐด้วยความตื่นเต้น พี่คนขับซึ่งหน้าตาละม้ายคล้าย วิลล์ สมิทธ์ ก็ปล่อยยางรถทั้ง 4 ล้อเพื่อเตรียมพร้อมจะพาพวกเราตะลุยทะเลทรายกัน ก่อนที่จะเข้าสู่การผจญภัยพ่อวิลล์ สมิทธ์ หันมาถามพวกเราว่า "Are you ready?" Yes!! พวกเราตอบกันอย่างพร้อมเพียงเต็มปากเต็มคำด้วยท่าทีคึกคักเต็มกำลัง
รถ 4WD ขับผจญภัยในทะเลทราย
แต่พวกเราไม่ได้รู้เลยว่ากำลังจะเจอกับอะไร ทะเลทรายที่ดูราบเรียบสุดลูกหูลูกตานั้นแท้จริงแล้วไม่ได้เรียบอย่างที่คิดมันเต็มไปด้วยลูกคลื่น สันทราย เนินทราย ภูเขาทราย สูงต่ำลาดชันสันเหลี่ยมแตกต่างกันมากมายหลายร้อยลูก พ่อวิลล์ สมิทธ์ ของเราขับนำขบวนรถอีกหลายคันแบบห่างๆเริ่มต้นด้วยสันทรายแบบเบบี๋ๆ พวกเราก็อึกอักส่ายสะบัดหัวกันเล็กน้อยส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดกันเป็นพิธี

พ่อวิลล์ สมิทธ์เห็นเราสนุกกันก็เริ่มขับรถแบบฉวัดเฉวียงสวิงสวายมากขึ้น ปีนแนวสันทรายที่ลาดชัดสูงต่ำเยอะขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้เสียงกรี๊ดของเราไม่ใช่เสียงหวีดร้องให้เข้าบรรยากาศแล้ว แต่เป็นเสียงกรี๊ดจากความหวาดเสียว เสียวท้อง กระเด้งกระดอนกันจนแทบอ้วก ยิ่งกว่าเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกซะอีก
อูฐทั้งเด็กและแก่มากมายที่ฟาร์มอูฐกลางทะเลทราย
แต่เพื่อไม่ให้พวกเราคายอาหารใส่รถให้เลอะเทอะ จึงมีการจอดพักเป็นระยะๆ เพื่อให้พวกเราออกไปเดินเล่นถ่ายรูปในทะเลทรายจนลืมความร้อนกันไปเลย และก่อนที่การตะลุยทะเลทรายจะจบลงด้วยเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ที่สุดท้ายที่พ่อวิลล์ สมิทธ์หยุดแวะพักก็เป็นช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน เอ๊ย!! ตกทะเลทรายพอดี ขอบอกว่าสวยโรแมนติกอย่าบอกใครเลยเชียวหละ

หลังจากที่เรียงไส้เรียงตับม้ามกันใหม่แล้ว รถก็พาฉันไปถึงยังแคมป์กระโจมแบบอาหรับโบราณกลางทะเลทราย เพื่อกินอาหารเย็นแบบบุฟเฟ่ต์บาร์บีคิวปิ้งย่างกัน อาทิ สเต็กเนื้อแกะ เนื้อไก่ ข้าวเหลือง แผ่นแป้งอะไรซักอย่างแต่เคี้ยวแล้วก็เพลินๆดี แล้วก็เครื่องดื่มนานาชนิด
 พระอาทิตย์ตกดินที่ทะเลทราย
ระหว่างรออาหารพร้อมภายในกระโจมซึ่งมีการเพ้นเฮนน่า แต่งกายชุดอาหรับถ่ายรูป แล้วก็มีชิชาบาลากู รสผลไม้เช่นรสแอปเปิ้ล รสเชอร์รี่ให้สูบกันเพลินๆด้วย ถือเป็นการต้อนรับของชาวอาหรับ และเมื่อพวกเรากินอาหารกันอย่างอิ่มท้องก็มีการแสดงระบำหน้าท้อง (Belly Dance) โดยสาวที่ไม่ใช่คนพื้นเมือง(เพราะข้อบังคับทางศาสนา)มีพุงพุ้ยๆเล็กน้อย มาโชว์เต้นระบำหน้าท้องอย่างคึกคันเรียกเสียงเฮฮาจากทั้งพวกเราชาวไทยและชาวต่างชาติได้ตลอดการแสดง เป็นการเที่ยวปิดทริปตะลุยดูไบ เมืองมหัศจรรย์ที่มีความหลากหลายอยู่ในตัว
ผ่อนคลายสบายๆที่แคมป์ ก่อนได้เวลา Dune Dinner
 
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เมืองดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาคตะวันออกกลาง (Middle East) ภูมิอากาศมีลักษณะกึ่งเขตร้อนและแห้งแล้ง อุณหภูมิต่ำสุดคือเกือบ 10 องศาเซลเซียส ไปจนถึงที่ระดับ 50 องศาเซลเซียส เวลาช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 3 ชั่วโมง ใช้เงินสกุล Dirham (dh) อัตราแลกเปลี่ยน 1dh ประมาณ 9 บาทกว่า มีสายการบินเอมิเรตส์บินตรงกรุงเทพฯ-ดูไบ


คลิกเพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

"ดูไบ"เมืองมหัศจรรย์
กำลังโหลดความคิดเห็น