โดย : จุชดานิน
ในสมัยก่อนมนุษย์อาศัยอยู่ตามถ้ำตามซอกหลืบภูเขา ต่อมาเมื่อออกจากถ้ำก็มาอาศัยอยู่ในป่าตามต้นไม้ ในยุคถัดมาผู้คนถอนต้นไม้ถางป่าปลูกสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นพรสวรรค์ของมนุษย์ที่สามารถปรับปรุงพื้นที่จนสามารถสร้างเป็นเมืองได้อย่างไม่เหลือเค้าของเดิม
สำหรับยุคนี้ พ.ศ.นี้ หากพูดถึงผลงานการสร้างเมืองของมนุษย์ที่หลายๆคนยกให้เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ของโลกก็คือ "เมืองดูไบ" แห่งสหพันธรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมนุษย์เราสามารแปรเปลี่ยนทะเลทรายอันร้อนระอุแห้งแล้ง เนรมิตให้กลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงใหญ่ จนกลายเป็นเมืองท่าศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งตะวันออกกลางได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าดูไบเป็นเมืองหลวงของประเทศนี้เลยทีเดียว ซึ่งจริงๆแล้วเมืองหลวงคือ เมืองอาบูดาบี (Abu Dhabi)
นอกจากจะสร้างเมืองบนทะเลทรายแล้ว ความน่าทึ่งของดูไบยังไม่หมดแค่นั้น ดูไบยังสามารถถมทะเลเพื่อสร้างเมืองบนเกาะเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้อีกด้วย ทั้งหมดนั้นคือวิสัยทัศน์ของ เชค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิต อัล มาคทูม ( Shiekh Mohammed bin Rashid Al Maktoum) เจ้าผู้ปกครองเมืองดูไบ นายกรัฐมนตรี และรองประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐอาหรับเอมิเรตส์
อภิมหาโปรเจ็คที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก The Palm Islands เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้กลายเป็นแหล่งความเจริญทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม และรีสอร์ท ต่างๆ ด้วยงบลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ โดยการถมทะเลอาหรับ ชายฝั่งทะเลในอ่าวเปอร์เซียมาสร้างเป็นเกาะที่หากดูจากมุมสูงหรือดูจากบนเครื่องบิน จะเห็นคล้ายรูปต้นอินทผลัม พืชในตระกูลปาล์ม ล้อมรอบด้วยเสี้ยววงกลม นับได้ว่าเป็นเกาะที่สร้างขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งหลายๆคนคงรู้จากข่าวคราวอันโด่งดังเมื่อไม่กี่ปีก่อน
ฉันได้มีโอกาสเข้าไปชมโรงแรมหรูสุดอลังการที่ส่วนของยอดต้นอินทผลัม เป็นที่ตั้งของ "โรงแรมแอตแลนติส ปาล์ม จูไมราห์" (Atlantis Hotel Palm Jumeirah) แค่เห็นตัวโรงแรมก็ดูอลังการด้วยสถาปัตยกรรมแบบมหานครแอตแลนติสโบราณในตำนาน ภายในมีร้านอาหารและบาร์หลายต่อหลายร้าน มี Aquariamlost Chambers อควอเรี่ยมขนาดใหญ่มากมายด้วยพันธ์สัตว์น้ำนานาชนิด
และยังมี Aquaventure สวนน้ำขนาดใหญ่สำหรับครอบครัว ซึ่งเป็น slider ที่มีความแตกต่างจากที่อื่นตรงที่เมื่อสไลด์ตัวลงมาตามท่อระหว่างสองข้างจะสามารถมองเห็นฝูงฉลามที่รายล้อมรอบตัว ให้ได้ตื่นเต้น สนุกสนานกับการเล่นน้ำอย่างเต็มที่
แต่ฉันไม่ได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้หรอกนะ เพราะราคาห้องพักของโรงแรมสุดหรูนี้ราคาไม่ต่ำกว่าแสนไปจนถึงเกินหนึ่งล้านบาทต่อคืน แค่คิดขนหน้าแข้งก็ร่วงหมดตัวแล้ว แค่เสียค่าเข้าชมโรงแรมไปชมสิ่งอลังการต่างๆก็เป็นบุญของฉันแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้นดูไบยังมีอภิมหาโปรเจ็คต่อไปที่ยิ่งใหญ่กว่า The Palm Islands ก็คือ กลุ่มเกาะโลก หรือ The World ซึ่งจะเป็นเกาะเทียมเหมือนหมู่เกาะปาล์ม แต่มีจำนวนราว 300 เกาะ ซึ่งสร้างเป็นรูปร่างแผนที่โลกที่ดูอลังการงานสร้างมากกว่าเก่า และนอกจากโครงการอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ดูไบยังมีอีกหลายที่สุดในโลก
ขณะที่ฉันนั่งรถชมเมืองดูไบก็ได้เจอะกับอีกหนึ่งที่สุดในโลกได้แก่ "เบิร์จดูไบ" (Burj Dubai) ถ้ามาที่ดูไบแล้วเราจะพบเจอกับคำว่า Burj บ่อยมากๆ เพราะคำว่า Burj นั้นมีความหมายว่า ตึก นั้นเอง ฉันมองดูเบิร์จดูไบแล้วรู้สึกว่าเป็นตึกที่มีรูปทรงเรียวยาวแหลมคล้ายจรวด เริ่มก่อสร้างในปี 2005 ที่ผ่านมา และเมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว เบิร์จดูไบจะกลายเป็นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงถึง 818 เมตร และมีมากกว่า 140 ชั้น อีกด้วย
แม้ขณะนี้การก่อสร้างจะยังไม่แล้วเสร็จแต่ก็เป็นรูปเป็นร่างเกือบจะสมบูรณ์แล้ว แม้อากาศจะร้อนระอุอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายแต่ก็สร้างตึกที่สูงที่สุดในโลกได้เร็วกว่าการสร้างหลายๆอย่างในเมืองไทยซะอีก น่าทึ่งจริงๆ นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า ดูไบยังมีโครงการสร้างตึก Al Burj ซึ่งคาดว่าจะสร้างให้สูงเกิน 1 พันเมตร ซึ่งหากสร้างจริงก็จะกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกแทนที่เบิร์จดูไบ โอ๊ว!แม่เจ้า เห็นแต่ละโครงการของดูไบแล้ว เค้าสุดยอดๆไปเลยจริงๆ
จากเบิร์จดูไบตึกสูงใจกลางเมือง ฉันได้ไปดูอีกตึกหนึ่งที่เป็นดังสัญลักษณ์ของเมืองดูไบ ก็คือ "เบิร์จ อัล อาหรับ" (Burj Al Arab) ได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 321 เมตร และยังได้รับการกล่าวขวัญกันว่าเป็นโรงแรมที่หรูหราระดับ 7 ดาว เพียงแห่งเดียวในโลกอีกด้วย
เบิร์จ อัล อาหรับ นี้ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวเปอร์เซีย โดยมีสะพานเชื่อมโรงแรมต่อกับฝั่ง ก่อสร้างเมื่อปี 1994 เปิดใช้งานในปี 1999 ดูภายนอกแล้วลักษณะคล้ายเรือใบ Dhow ซึ่งเป็นยานพาหนะชนิดหนึ่งของชาวอาหรับ แต่ก็อีกนั้นแหละ ดูไบเขาก็ชอบความอลังการจึงได้สร้าง Burj Al Alam หรือ หอโลก(World Tower) ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จในปีนี้หรือปีหน้า ก็จะกลายเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 480 เมตรเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องสวนสนุก Walt Disney World ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ต้องเกรง เพราะที่ดูไบเขาก็กำลังสร้างสวนสนุก "Dubailand" ที่จะรวบรวมโครงการยักษ์ๆทั้งความบันเทิงและความสนุกไว้อย่างครบวงจรบนเนื้อที่ 3 ล้านตารางฟุต
อีกหนึ่งความที่สุดก็คือ "ดูไบ มอลล์" (Dubai Mall) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่กว่า 9 ล้านตารางฟุต ประกอบด้วยหลายส่วนใหญ่ๆ อาทิ ส่วนของร้านค้าจำนวนประมาณ 1,000 ร้าน ส่วนของร้านอาหาร ส่วน Dubai Ice Rink ซึ่งเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งคล้ายกับลานสเก็ตน้ำแข็งที่เวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์บ้านเราแต่ก่อนนั่นเอง และส่วนของอควอเรียม (Dubai Aquarium & Underwater Zoo) ซึ่งเป็นอควอเรี่ยมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสัตว์น้ำมากกว่า 33,000 ชนิด
พูดถึงห้างแล้ว ยังมีอีกห้างหนึ่งคือ "มอลล์ เอมิเรตส์" (Mall of Emirates) ที่แม้ขนาดจะเป็นน้องๆของดูไบ มอลล์ แต่ก็ถือว่าใหญ่โตกว่าห้างบ้านเรา และที่ฉันคิดว่าเป็นที่สุดก็คงเป็นเรื่องการขัดแย้งกันแบบสุดขั้วของการสามารสร้างลานสกีหิมะอันหนาวเย็นได้กลางทะเลทรายอันร้อนหูดับตับไหม้
ลานสกี (Ski Dubai Complex) นี้เป็นลานสกีหิมะขนาดใหญ่ โดยได้สร้างจำลองมาจากเมืองตากอากาศประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ภายในจะมีลานสกีเล็กสำหรับเด็ก และลานสกีใหญ่สำหรับผู้ใหญ่ สามารนั่งกระเช้าขึ้นไปบนยอดเนินแล้วสกีลงมาได้เหมือนไปเล่นในสถานที่จริงเลยทีเดียว..น่าทึ่งกำลังสอง
เอาล่ะชมความมหัศจรรย์สุดอลังการของดูไบ เมือง Manmade อันน่าทึ่งแล้ว ในตอนหน้าฉันจะพาไปเที่ยวในเมืองดูไบในมุมอื่นนอกจากความเป็นที่สุด และพาไปท่องโลกทะเลทรายกันบ้าง..โปรดติดตามในตอนต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เมืองดูไบ ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นเมืองใหญ่ที่เป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาคตะวันออกกลาง (Middle East) มีภาษาอาระบิกเป็นภาษาทางการ โดยมีภาษาที่สองคือ ภาษาเปอร์เซีย อังกฤษ ฮินดู ภูมิอากาศมีลักษณะกึ่งเขตร้อน และแห้งแล้ง โดยมีอุณหภูมิระหว่างต่ำสุดคือเกือบ 10 องศาเซลเซียส ไปจนถึงอุณหภูมิที่ระดับ 50 องศาเซลเซียส เวลาช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 3 ชั่วโมง ใช้เงินสกุล Dirham (dh) อัตราแลกเปลี่ยน 1dh ประมาณ 9 บาทกว่า มีสายการบินเอมิเรตส์บินตรงกรุงเทพฯ-ดูไบ
คลิกเพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
ผจญภัยทะเลทราย"ดูไบ"
ในสมัยก่อนมนุษย์อาศัยอยู่ตามถ้ำตามซอกหลืบภูเขา ต่อมาเมื่อออกจากถ้ำก็มาอาศัยอยู่ในป่าตามต้นไม้ ในยุคถัดมาผู้คนถอนต้นไม้ถางป่าปลูกสร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ซึ่งถือเป็นพรสวรรค์ของมนุษย์ที่สามารถปรับปรุงพื้นที่จนสามารถสร้างเป็นเมืองได้อย่างไม่เหลือเค้าของเดิม
สำหรับยุคนี้ พ.ศ.นี้ หากพูดถึงผลงานการสร้างเมืองของมนุษย์ที่หลายๆคนยกให้เป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์ของโลกก็คือ "เมืองดูไบ" แห่งสหพันธรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งมนุษย์เราสามารแปรเปลี่ยนทะเลทรายอันร้อนระอุแห้งแล้ง เนรมิตให้กลายเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยตึกสูงใหญ่ จนกลายเป็นเมืองท่าศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งตะวันออกกลางได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าดูไบเป็นเมืองหลวงของประเทศนี้เลยทีเดียว ซึ่งจริงๆแล้วเมืองหลวงคือ เมืองอาบูดาบี (Abu Dhabi)
นอกจากจะสร้างเมืองบนทะเลทรายแล้ว ความน่าทึ่งของดูไบยังไม่หมดแค่นั้น ดูไบยังสามารถถมทะเลเพื่อสร้างเมืองบนเกาะเทียมที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้อีกด้วย ทั้งหมดนั้นคือวิสัยทัศน์ของ เชค โมฮัมเหม็ด บิน ราชิต อัล มาคทูม ( Shiekh Mohammed bin Rashid Al Maktoum) เจ้าผู้ปกครองเมืองดูไบ นายกรัฐมนตรี และรองประธานาธิบดีแห่งสหพันธรัฐอาหรับเอมิเรตส์
อภิมหาโปรเจ็คที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก The Palm Islands เป็นโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลให้กลายเป็นแหล่งความเจริญทั้งที่อยู่อาศัย โรงแรม และรีสอร์ท ต่างๆ ด้วยงบลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ โดยการถมทะเลอาหรับ ชายฝั่งทะเลในอ่าวเปอร์เซียมาสร้างเป็นเกาะที่หากดูจากมุมสูงหรือดูจากบนเครื่องบิน จะเห็นคล้ายรูปต้นอินทผลัม พืชในตระกูลปาล์ม ล้อมรอบด้วยเสี้ยววงกลม นับได้ว่าเป็นเกาะที่สร้างขึ้นโดยน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งหลายๆคนคงรู้จากข่าวคราวอันโด่งดังเมื่อไม่กี่ปีก่อน
ฉันได้มีโอกาสเข้าไปชมโรงแรมหรูสุดอลังการที่ส่วนของยอดต้นอินทผลัม เป็นที่ตั้งของ "โรงแรมแอตแลนติส ปาล์ม จูไมราห์" (Atlantis Hotel Palm Jumeirah) แค่เห็นตัวโรงแรมก็ดูอลังการด้วยสถาปัตยกรรมแบบมหานครแอตแลนติสโบราณในตำนาน ภายในมีร้านอาหารและบาร์หลายต่อหลายร้าน มี Aquariamlost Chambers อควอเรี่ยมขนาดใหญ่มากมายด้วยพันธ์สัตว์น้ำนานาชนิด
และยังมี Aquaventure สวนน้ำขนาดใหญ่สำหรับครอบครัว ซึ่งเป็น slider ที่มีความแตกต่างจากที่อื่นตรงที่เมื่อสไลด์ตัวลงมาตามท่อระหว่างสองข้างจะสามารถมองเห็นฝูงฉลามที่รายล้อมรอบตัว ให้ได้ตื่นเต้น สนุกสนานกับการเล่นน้ำอย่างเต็มที่
แต่ฉันไม่ได้เข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้หรอกนะ เพราะราคาห้องพักของโรงแรมสุดหรูนี้ราคาไม่ต่ำกว่าแสนไปจนถึงเกินหนึ่งล้านบาทต่อคืน แค่คิดขนหน้าแข้งก็ร่วงหมดตัวแล้ว แค่เสียค่าเข้าชมโรงแรมไปชมสิ่งอลังการต่างๆก็เป็นบุญของฉันแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้นดูไบยังมีอภิมหาโปรเจ็คต่อไปที่ยิ่งใหญ่กว่า The Palm Islands ก็คือ กลุ่มเกาะโลก หรือ The World ซึ่งจะเป็นเกาะเทียมเหมือนหมู่เกาะปาล์ม แต่มีจำนวนราว 300 เกาะ ซึ่งสร้างเป็นรูปร่างแผนที่โลกที่ดูอลังการงานสร้างมากกว่าเก่า และนอกจากโครงการอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว ดูไบยังมีอีกหลายที่สุดในโลก
ขณะที่ฉันนั่งรถชมเมืองดูไบก็ได้เจอะกับอีกหนึ่งที่สุดในโลกได้แก่ "เบิร์จดูไบ" (Burj Dubai) ถ้ามาที่ดูไบแล้วเราจะพบเจอกับคำว่า Burj บ่อยมากๆ เพราะคำว่า Burj นั้นมีความหมายว่า ตึก นั้นเอง ฉันมองดูเบิร์จดูไบแล้วรู้สึกว่าเป็นตึกที่มีรูปทรงเรียวยาวแหลมคล้ายจรวด เริ่มก่อสร้างในปี 2005 ที่ผ่านมา และเมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว เบิร์จดูไบจะกลายเป็นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูงถึง 818 เมตร และมีมากกว่า 140 ชั้น อีกด้วย
แม้ขณะนี้การก่อสร้างจะยังไม่แล้วเสร็จแต่ก็เป็นรูปเป็นร่างเกือบจะสมบูรณ์แล้ว แม้อากาศจะร้อนระอุอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายแต่ก็สร้างตึกที่สูงที่สุดในโลกได้เร็วกว่าการสร้างหลายๆอย่างในเมืองไทยซะอีก น่าทึ่งจริงๆ นอกจากนี้ยังมีข่าวว่า ดูไบยังมีโครงการสร้างตึก Al Burj ซึ่งคาดว่าจะสร้างให้สูงเกิน 1 พันเมตร ซึ่งหากสร้างจริงก็จะกลายเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลกแทนที่เบิร์จดูไบ โอ๊ว!แม่เจ้า เห็นแต่ละโครงการของดูไบแล้ว เค้าสุดยอดๆไปเลยจริงๆ
จากเบิร์จดูไบตึกสูงใจกลางเมือง ฉันได้ไปดูอีกตึกหนึ่งที่เป็นดังสัญลักษณ์ของเมืองดูไบ ก็คือ "เบิร์จ อัล อาหรับ" (Burj Al Arab) ได้ชื่อว่าเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 321 เมตร และยังได้รับการกล่าวขวัญกันว่าเป็นโรงแรมที่หรูหราระดับ 7 ดาว เพียงแห่งเดียวในโลกอีกด้วย
เบิร์จ อัล อาหรับ นี้ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลบริเวณอ่าวเปอร์เซีย โดยมีสะพานเชื่อมโรงแรมต่อกับฝั่ง ก่อสร้างเมื่อปี 1994 เปิดใช้งานในปี 1999 ดูภายนอกแล้วลักษณะคล้ายเรือใบ Dhow ซึ่งเป็นยานพาหนะชนิดหนึ่งของชาวอาหรับ แต่ก็อีกนั้นแหละ ดูไบเขาก็ชอบความอลังการจึงได้สร้าง Burj Al Alam หรือ หอโลก(World Tower) ซึ่งเมื่อแล้วเสร็จในปีนี้หรือปีหน้า ก็จะกลายเป็นโรงแรมที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 480 เมตรเลยทีเดียว
ส่วนเรื่องสวนสนุก Walt Disney World ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ต้องเกรง เพราะที่ดูไบเขาก็กำลังสร้างสวนสนุก "Dubailand" ที่จะรวบรวมโครงการยักษ์ๆทั้งความบันเทิงและความสนุกไว้อย่างครบวงจรบนเนื้อที่ 3 ล้านตารางฟุต
อีกหนึ่งความที่สุดก็คือ "ดูไบ มอลล์" (Dubai Mall) ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยพื้นที่กว่า 9 ล้านตารางฟุต ประกอบด้วยหลายส่วนใหญ่ๆ อาทิ ส่วนของร้านค้าจำนวนประมาณ 1,000 ร้าน ส่วนของร้านอาหาร ส่วน Dubai Ice Rink ซึ่งเป็นลานสเก็ตน้ำแข็งคล้ายกับลานสเก็ตน้ำแข็งที่เวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์บ้านเราแต่ก่อนนั่นเอง และส่วนของอควอเรียม (Dubai Aquarium & Underwater Zoo) ซึ่งเป็นอควอเรี่ยมที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสัตว์น้ำมากกว่า 33,000 ชนิด
พูดถึงห้างแล้ว ยังมีอีกห้างหนึ่งคือ "มอลล์ เอมิเรตส์" (Mall of Emirates) ที่แม้ขนาดจะเป็นน้องๆของดูไบ มอลล์ แต่ก็ถือว่าใหญ่โตกว่าห้างบ้านเรา และที่ฉันคิดว่าเป็นที่สุดก็คงเป็นเรื่องการขัดแย้งกันแบบสุดขั้วของการสามารสร้างลานสกีหิมะอันหนาวเย็นได้กลางทะเลทรายอันร้อนหูดับตับไหม้
ลานสกี (Ski Dubai Complex) นี้เป็นลานสกีหิมะขนาดใหญ่ โดยได้สร้างจำลองมาจากเมืองตากอากาศประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ภายในจะมีลานสกีเล็กสำหรับเด็ก และลานสกีใหญ่สำหรับผู้ใหญ่ สามารนั่งกระเช้าขึ้นไปบนยอดเนินแล้วสกีลงมาได้เหมือนไปเล่นในสถานที่จริงเลยทีเดียว..น่าทึ่งกำลังสอง
เอาล่ะชมความมหัศจรรย์สุดอลังการของดูไบ เมือง Manmade อันน่าทึ่งแล้ว ในตอนหน้าฉันจะพาไปเที่ยวในเมืองดูไบในมุมอื่นนอกจากความเป็นที่สุด และพาไปท่องโลกทะเลทรายกันบ้าง..โปรดติดตามในตอนต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เมืองดูไบ ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นเมืองใหญ่ที่เป็นเมืองท่าและศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญของภูมิภาคตะวันออกกลาง (Middle East) มีภาษาอาระบิกเป็นภาษาทางการ โดยมีภาษาที่สองคือ ภาษาเปอร์เซีย อังกฤษ ฮินดู ภูมิอากาศมีลักษณะกึ่งเขตร้อน และแห้งแล้ง โดยมีอุณหภูมิระหว่างต่ำสุดคือเกือบ 10 องศาเซลเซียส ไปจนถึงอุณหภูมิที่ระดับ 50 องศาเซลเซียส เวลาช้ากว่าประเทศไทยประมาณ 3 ชั่วโมง ใช้เงินสกุล Dirham (dh) อัตราแลกเปลี่ยน 1dh ประมาณ 9 บาทกว่า มีสายการบินเอมิเรตส์บินตรงกรุงเทพฯ-ดูไบ
คลิกเพื่ออ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
ผจญภัยทะเลทราย"ดูไบ"