xs
xsm
sm
md
lg

A 380 มหึมาเหนือน่านฟ้า เครื่องบินพานิชย์ใหญ่ที่สุดในโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เครื่องบินแอร์บัส A380 ของสายการบินเอมิเรตส์
ในสมัยก่อนการเดินทางจากอาณาจักรหนึ่งไปยังอีกอาณาจักรหนึ่ง หรือจากแคว้นหนึ่งไปยังแคว้นข้างเคียง เป็นเรื่องที่ลำบากยากเข็ญ ต้องใช้เวลาแรมวันเดือนปี กว่าจะเดินทางถึงกันอย่างยากลำบาก จนกระทั่ง วิลเบอร์ ไรท์ และ ออร์วิล ไรท์ สองพี่น้องตระกูลไรท์ ผู้ซึ่งมีความสนใจศึกษาและต้องการประดิษฐ์เครื่องบิน เครื่องร่อน พวกเขาเคยสร้างรถจักรยานที่มีปีกขนาดใหญ่ ติดเครื่องยนต์แต่บินไม่ได้ แต่ความฝันที่จะบินอยู่บนฟ้าเหมือนดังนกก็มีอยู่ตลอดเวลา

ในปี ค.ศ. 1900 พวกเขาตัดสินใจสร้างเครื่องบินลำแรก มีลักษณะคล้ายเครื่องร่อน ปีกทำด้วยผ้า เครื่องยนต์ ขนาด 12 แรงม้า สามารถบินได้ระยะสั้นๆ เพียง 1-2 นาที และไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ และทั้งสองก็สามารถพัฒนาปรับปรุงเครื่องบินพวกเขาเรื่อยมา
 สิ่งอำนวยความสะดวกในห้องผู้โดยสารชั้นธุรกิจ
จนกระทั้งในปี ค.ศ. 1903 ทั้งสองก็สามารถพัฒนาเครื่องบินของพวกเขาได้สำเร็จ สามารถบินได้ถึง 15 วินาที บินได้ไกล 200 ฟุต สูงจากพื้นดิน 850 ฟุต ในปี ค.ศ. 1908 เครื่องบินก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น มีที่นั่งผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมา หนัก 322 ปอนด์ เครื่องยนต์ 20 แรงม้า บินได้ถึง 56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ในปี ค.ศ. 1909 ออร์วิล ก็บินข้ามช่องแคบอังกฤษได้ จนพวกเขาสามารถจดทะเบียนสิทธิบัตร เป็นผู้บุกเบิกพัฒนาเครื่องบินได้สำเร็จเป็นคนแรกของโลก

ตั้งแต่นั้นมา “เครื่องบิน” ก็ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจนสามารถจุผู้โดยสารได้มากมายหลายร้อยที่นั่ง และด้วยความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีที่ไม่เคยหยุด "สายการเอมิเรตส์" ได้มองเห็นช่องทางจึงสั่งเครื่องบิน "แอร์บัส A380" จาก บริษัทแอร์บัส มาให้บริการผู้โดยสาร
 ที่นั่งผู้โดยสารชั้นธุรกิจ (Business Class)
คอนสแตนติน รีเจนคอฟ ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของเครื่องบินแอร์บัส 380, แอร์บัส ภูมิภาคตะวันออกกลาง และ ฌอน ลี ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ แอร์บัส ภูมิภาคเอเชีย ให้ความเห็นเกี่ยวกับ เครื่องบินแอร์บัส A380 ว่า เครื่องบินแอร์บัส A380 ถือเป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในขณะนี้ แอร์บัส A380 มีห้องโดยสารสองชั้นขนาดใหญ่ 4 เครื่องยนต์ สามารถบรรจุผู้โดยสารได้สูงสุด 800 คน เครื่องบินรุ่นนี้ได้ผ่านการทดสอบการบินเที่ยวแรกเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2548 โดยบินขึ้นจากเมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส

โดยสายการบินเอมิเรตส์ ก็ถือเป็นสายการบินแรกๆที่สั่งเครื่องบินยักษ์ใหญ่นี้มาใช้บริการ และเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดในโลกในตอนนี้ที่สั่งซื้อ A380 ถึง 58 ลำ บริษัทแอร์บัสเชื่อว่าในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า จะมีความต้องการใช้เครื่องบินนี้ถึง 1,280 ลำ

โดยเห็นว่า เครื่องบินแอร์บัส A380 นี้ เป็นเครื่องบินที่ใหญ่ ขนส่งผู้โดยสารได้เยอะในขณะเดียวกันก็ลดการใช้พลังงานได้เป็นอย่างดี โดยประหยัดพลังงานได้มากกว่ารุ่นเดิมที่เคยใช้ได้ถึง 17 % มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น ทำให้สามารเพิ่มเติมสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้โดยสารได้มากขึ้น เป็นเที่ยวบินที่ค่อนข้างเงียบ ไม่มีเสียงรบกวน เพิ่มจำนวนที่นั่งผู้โดยสารได้เป็น 489 ที่นั่ง ราคาต้นทุนต่อที่นั่งลดลงเมื่อเครื่องบินมีขนาดใหญ่ขึ้นช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของสายการบิน และA380 ถือเป็นเครื่องบินที่เป็นนวัตกรรมทางการบินที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน อีกทั้งยังสามารถให้ความสะดวกสบายกับผู้โดยสารได้อย่างเต็มที่

ซึ่งความพิเศษของเครื่องแอร์บัส A380 ภายใต้การบริหารของสายการบินเอมิเรตส์ ได้นำเสนอนวัตกรรมที่จะทำให้การเดินทางของผู้โดยสารทุกระดับชั้นมีความสะดวกสบายและมีความเพลิดเพลินมากขึ้น และจะแบ่งพื้นที่สำหรับผู้โดยสารเป็น 2 ชั้น โดยส่วนของชั้นบนจะเป็นห้องผู้โดยสารชั้นหนึ่ง (First Class) และห้องผู้โดยสารชั้นธุรกิจ (Business Class) ส่วนชั้นล่างจะเป็นส่วนของห้องผู้โดยสารชั้นประหยัด (Economy Class)
ห้องส่วนตัวของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง(First Class)
สำหรับ "ห้องผู้โดยสารชั้นหนึ่ง" จัดเป็นห้องสวีทส่วนตัวขนาด 2.08 เมตร มีจำนวน 14 ห้อง ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ที่นั่งที่สามารถปรับเอนนอนได้ เตียงติดตั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อำนวยความสะดวกในการวางขา พิงหลัง พิงศีรษะ วางแขน เบาะรองนั่งกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมีระบบนวดหลายมิติ พร้อมหน้าจอแอลซีดี ขนาด 23 นิ้ว ที่เชื่อมต่อกับระบบความบันเทิงไอซ์ (ICE) ซึ่งเป็นระบบที่ทางสายการบินมีให้บริการอยู่ในทุกชั้นของเครื่องบิน โดยประกอบไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ระบบสื่อสาร และความบันเทิง โดยมีช่องความบันเทิงกว่า 1,100 ช่อง วิทยุ 700 ช่อง โทรทัศน์ 100 ช่อง ภาพยนตร์ 190 ช่อง เกมส์ 100 เกม

และที่พิเศษสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง ก็คือ มีบริการห้องอาบน้ำสปา 2 ห้อง โดยห้องอาบน้ำแต่ละห้องมีฝักบัวที่สามารถควบคุมอุณหภูมิและเวลาได้โดยแยกสัดส่วนจากบริเวณที่เปลี่ยนเสื้อผ้า และสุขภัณฑ์ อีกทั้งในห้องอาบน้ำยังมีจอแอลซีดีขนาด 15.4 นิ้ว ที่แสดงสถานะบิน บริการไดร์เป่าผม
ผู้โดยสารในชั้นธุรกิจและชั้นหนึ่ง สามารถใช้บริการบาร์แบบเต็มรูปแบบได้ตลอดเวลา
สำหรับ "ห้องผู้โดยสารชั้นธุรกิจ" มีจำนวน 76 ที่นั่ง พิเศษด้วยที่นั่งแบบปรับนอนราบได้ถึง 180 องศา เหมือนนอนบนเตียง ภายในที่นั่งประกอบไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ มินิบาร์ โต๊ะส่วนตัว ที่พักขาที่ปรับให้ยาวขึ้นได้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่เก็บเครื่องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค ช่องเก็บหนังสือ ช่องเก็บรองเท้า ที่พักศีรษะที่สามารถปรับได้ และในส่วนของหน้าจอแอลซีดีขาด 17 นิ้ว และระบบความบันเทิงแบบไอซ์ ทั้งดูหนังฟังเพลงเหมือนกับของชั้นหนึ่ง

ทั้งนี้ผู้โดยสารชั้นหนึ่งและชั้นธุรกิจสามารถใช้บริการห้องรับรองผู้โดยสารได้ โดยมีบาร์บริการอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมด้วยเครื่องดื่มสารพัด และอาหารว่างทั้งร้อนและเย็น
ห้องอาบน้ำแบบสปา สำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง
ในส่วนของ "ห้องผู้โดยสารชั้นประหยัด" มีจำนวน 399 ที่นั่ง สามารถปรับเอนได้ 6 นิ้ว ภายในที่นั่งประกอบไปด้วยหูฟัง ช่องใส่หนังสือ ที่แขวนเสื้อโค้ต โต๊ะที่สามารถพับได้ หน้าจอแอลซีดีกว้าง 10.6 นิ้ว ที่เชื่อต่อกับระบบความบันเทิงไอซ์ ช่องเสียบไฟสำหรับคอมพิวเตอร์โน๊คบุ๊ค ช่องเสียบหูฟังและช่องสายยูเอสบี

และในขณะนี้สายการบินเอมิเรตส์ได้นำเครื่องบินแอร์บัส A380 มาให้บริการบินตรงในเส้นทางกรุงเทพฯ-ดูไบ โดย จอห์น ฟีลิกซ์ รองประธานอาวุโสของเอมิเรตส์ ฮอลิเดย์ กล่าวว่า ส่วนมากเส้นทางดูไบ-กรุงเทพฯ ส่วนมากจะเต็มเกือบทุกเที่ยวบิน เนื่องจากทางเอมิเรตส์ ฮอลิเดย์ ได้ทำงานร่วมกับทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) อย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างกัน

สำหรับคนดูไบมักจะชอบไปช้อปปิ้งและไปเที่ยวในเมืองไทย เพราะเขาเห็นว่าประเทศไทยมีการท่องเที่ยวที่หลากหลายสามารถตอบสนองความต้องการของคนแต่ละกลุ่มได้เป็นอย่างดี เช่น กลุ่มท่องเที่ยวทะเล เที่ยวทางวัฒนธรรม สปา เชิงกีฬา และอาหารไทย โดยนักท่องเที่ยวจากดูไบจะมาเที่ยวในกรุงเทพฯ ประมาณ 50% และเที่ยวที่เชียงใหม่ และทางหาดทรายชายทะเล ประมาณ 25-30 % ส่วนคนไทย ที่นิยมไปเที่ยวดูไบ เนื่องจากเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ปลอดภาษี มีร้านอาหารมากมาย เที่ยวในทะเลทราย ขี่ม้า ขี่อูฐ ตกปลา เป็นต้น.
เก้าอี้นั่งผู้โดยสารในชั้นธุรกิจสามารถปรับนอนได้ถึง 180 องศา
กำลังโหลดความคิดเห็น