xs
xsm
sm
md
lg

ท่องหัวใจกวางสี ที่"หลิ่วโจว-หนานหนิง"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : เหล็งฮู้ชง
ตัวเมืองหลิ่วโจวยามโพล้เพล้
“จ้วง พี่น้องเผ่าไทยเก่าแก่ที่สุด”

รศ.ศรีศักร วัลลิโภดม เคยกล่าวไว้อย่างนั้น ในขณะที่ สุจิตต์ วงษ์เทศ ดูจะชอบอกชอบใจนักหนาเมื่อถูกเรียกว่า “ปี้น้อง”หลังกรึ๊บเหล้าข้าวเหนียงไปพอมึนๆ(สรุปจากบทความ “ชนชาติจ้วง” ที่เขียนโดย : วิวัฒน์ พันธวุฒิยานนท์, นิตยสาร “สารคดี” ฉบับที่ 119)

นักประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์บ้านเราส่วนใหญ่เชื่อว่า “ชาวจ้วง”เป็นเครือญาติกับคนไทย(ที่มีรากมาจากชนชาติ”ไท”หรือ“ไต”)เพราะมีวิถีวัฒนธรรมและภาษาพูดที่คล้ายคลึงกัน

ปัจจุบันชาวจ้วงส่วนใหญ่(กว่า 90% ประมาณ 15 ล้านคน)อาศัยอยู่ในมณฑลกวางสีหรือกว่างซี(เป็นเขตปกครองตนเอง) ทางตอนใต้ของประเทศจีน ที่มีเมืองหนานหนิงเป็นเมืองหลวง และมีเมืองหลิ่วโจวเป็นเมืองใหญ่อันดับรองลงมา ซึ่งทั้งคู่เป็นเป้าหมายหลักของการเดินทางในตอนนี้

ทัศนาหลิ่วโจว หัวใจเบอร์รอง

“หลิ่วโจว” เป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของมณฑลกวางสี และเป็นเมืองอุตสาหกรรมต่อรถยนต์ขึ้นชื่อของจีน อีกทั้งยังเป็นเมืองไม้มีคุณภาพ ถึงขนาดคำกล่าวจากคนจีนโบราณว่า“ถ้าจะตายควรไปตายที่หลิ่วโจว”เพราะเมืองนี้มีไม้ทำโลงศพคุณภาพเป็นเลิศ
วิถีสีสันอันมีชีวิตชีวาของชาวจีนที่สวนหยีฟง
ขณะที่ทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวนั้น หลิ่วโจวก็มีจุดน่าสนใจให้เที่ยวชมกัน อาทิ

พิพิธภัณฑ์หินงาม ที่เก็บรักษาและจัดแสดงหินธรรมชาติที่มีลักษณะเฉพาะ รูปร่างแปลกตา หายาก หินบางก้อนทรงคุณค่าแบบประมาณค่าไม่ได้

สุสานหลิ่วจงหยวน ขุนนาง นักเขียน นักกวี แห่งราชวงศ์ถังอันเลื่องแห่งมณฑลหลิ่วโจว ที่นี่นอกจากจะเป็นสุสานเก็บหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับหลิ่วจงหยวนแล้ว ยังเป็นสวนสาธารณะ ปอดของเมืองให้ชาวบ้านได้พักผ่อนกันอีกด้วย

พูดถึงสวนสาธารณะ เมืองนี้เขามีสวนสาธารณะน่าสนใจในบรรยากาศที่แตกต่างกันอยู่ 2 แห่ง

สวนแรกที่ไกด์มาวินพาไป คือ สวนหยีฟง เชิงเขาหยีฟง ที่มีสระน้ำกลางสวนซึ่งชาวเมืองนี้เชื่อว่า “หลิวซานเจี่ย” วีรสตรีชาวจ้วง ผู้เป็นเลิศด้านการร้องเพลง ได้หนีเศรษฐีที่บังคับให้ตนแต่งงานด้วยมากระโดดน้ำตายที่สระแห่งนี้ แต่มีปลาตัวหนึ่งช่วยเหลือไว้ให้หลิวซานเจี่ยกลายเป็นนกบินขึ้นสู่สรวงสวรรค์

นั่นจึงทำให้ในช่วงวันหยุดมีคุณน้า คุณป้า ชาวจีน มายืนร้องเพลง แสดง ร่ายรำเป็นหลิวซานเจี่ยกันเพียบ ในขณะที่ผู้ชายอย่างคุณลุง คุณตา คุณยาย ก็มาพบปะพูดคุย บ้างเล่นหมากรุก บ้างเล่นดนตรี กันแน่นบริเวณ ส่วนบรรดาครอบครัววัยกลางคนก็พาลูกเด็กเล็กแดงมาเดินเล่นกันทั่วสวน ด้านนักท่องเที่ยวนั้น หากอยากจะขึ้นชมทิวทัศน์เมืองหลิ่วโจวในมุมสูง บริเวณนี้ก็มีกระเช้าแบบเสียวๆให้นั่งขึ้นไปชมกันบนยอดเขาหยีฟง นับได้ว่าสวนหยีฟงเต็มไปด้วยวิถีสีสันความเป็นจีนที่ดูมีชีวิตชีวาไม่น้อยเลย
ทิวทัศน์สระกระจกในสวนมังกรดำ
อีกสวนหนึ่งคือสวนมังกรดำ(ต้าหลงถาน) สวนนี้ดูไฮโซขึ้นมาหน่อย เพราะต้องเสียสตางค์ค่าเข้าสวน เนื่องจากเป็นสวนขนาดใหญ่มากกว้างขวางกว่า 6 พันไร่ มี ภูเขา 24 ลูกล้อมรอบ ในสวน

สวนมังกรดำ ที่มีไฮไลท์อยู่ที่ สะพานลมฝน สัญลักษณ์ของชาวต้งที่เชื่อว่าใครเดินผ่านสะพานแห่งนี้แล้วจะโชคดี เพราะลมฝนแห่งความโชคร้ายจะพัดผ่านไป ซึ่งทางสวนมังกรดำจำลองแบบมา สร้างทอดยาวผ่านสระกระจกที่ยามสะท้อนเงาดูคล้ายกระจกบานยักษ์
น้ำตกจำลอง ริมแม่น้ำหลิ่ว กับกิจกรรมล่องเรือยลราตรีที่หลิ่วโจว
นอกจากนี้ในสวนมังกรดำยังมีสิ่งชวนชมอย่าง หอกลอง ศูนย์รวมกิจกรรมของชาวต้ง บึงมังกรใหญ่ เป็นต้น

ส่วนของใหม่ที่ทางเมืองหลิ่วโจวภูมิในนำเสนอก็คือ การล่องเรือแม่น้ำหลิ่ว(หลิ่วเจียง)ชมทัศนียภาพรอบข้างและสีสันยามราตรี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงาน Man made คล้ายกุ้ยหลิน โดยในเส้นทางจะผ่านสะพานหลากรูปแบบ 7สะพาน ผ่านตึก อาคารที่ประดับประดาแสงสีไปอย่างสวยงาม และไปแวะชมไฮไลท์น้ำตกจำลองยาว 200 เมตร ที่ทางเมืองนี้สร้างได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกัน
สวนมิตรภาพ ไทย-จีน ขอนแก่น-หนานหนิง
ทัศนาหนานหนิง หัวใจเบอร์หนึ่ง

“หนานหนิง” เมืองหลวงของมณฑลกวางสีนั้น หัวใจเบอร์หนึ่งแห่งมณฑลกวางสีนั้น เป็นเมืองแห่งความเขียวขจีที่น่าอยู่แห่งหนึ่งของเอเชีย ที่สำคัญหนานหนิงยังเป็นเมืองที่มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับเมืองไทย โดยเฉพาะกับจังหวัดขอนแก่น ที่ทางการหนานหนิงได้ตอกย้ำความสัมพันธ์อันเหนียวแน่น ด้วยการสร้าง “สวนมิตรภาพ ไทย-จีน ขอนแก่น-หนานหนิง” ขึ้นที่ “เขาชิงซิ่ว” ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของเราในเมืองนี้

สำหรับการเที่ยวชมเขาชิงซิ่วนั้น นอกจากไกด์มาวินแล้วยังมีไกด์ท้องถิ่น สาวชาวจ้วงหน้าตาน่ารักสดใสพานำชม โดยจุดแรกที่เธอพาไปชมก็คือ สวนมิตรภาพฯ ที่สร้างในปี ค.ศ. 1993 ซึ่งมีลักษณะเป็นวัดไทยในงานศิลปกรรมไทยฝีมือช่างชาวจีนที่ดูแปร่งๆตา

อีกจุดหนึ่งที่ถือเป็นไฮไลท์ประจำเขาก็คือ ศาลเจ้าแม่กวนอิมพันมือ อันเก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ(ค.ศ.960-1127) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาชิงซิ่ว
เจ้าแม่กวนอิมพันมือที่เขาชิงซิ่ว
สำหรับการเที่ยวชมเขาชิงซิ่วนั้น นอกจากไกด์มาวินแล้วยังมีไกด์ท้องถิ่น สาวชาวจ้วงหน้าตาน่ารักสดใสพานำชม โดยจุดแรกที่เธอพาไปชมก็คือ สวนมิตรภาพฯ ที่สร้างในปี ค.ศ. 1993 ซึ่งมีลักษณะเป็นวัดไทยในงานศิลปกรรมไทยฝีมือช่างชาวจีนที่ดูแปร่งๆตา

อีกจุดหนึ่งที่ถือเป็นไฮไลท์ประจำเขาก็คือ ศาลเจ้าแม่กวนอิมพันมือ อันเก่าแก่ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ(ค.ศ.960-1127) ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาชิงซิ่ว

ศาลเจ้าแม่กวนอิมพันมือ เป็นที่ประดิษฐาน เจ้าแม่กวนอิมพันมือที่แกะจากไม้จันทน์หอม มีสรีสระสวยงามขรึมขลัง ในบริเวณศาลยังมีอาคารพระพุทธรูป 5 องค์อันใหญ่โตให้นักท่องเที่ยวสักการะ และยังมีอาคารทรงคล้ายหอสักการะฟ้าในปักกิ่งที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งไกด์มาวินบอกว่า ที่นี่ทางการจีนจะสร้างให้เป็นศาลเจ้าแม่กวนอิมที่ใหญ่ที่สุดในกวางสี ที่อีกไม่นานเกินรอเราคงได้เห็นกัน เพราะเรื่องความรวดเร็วในการก่อสร้างนั้นคนจีนเก่งอยู่แล้ว
บริเวณศาลเจ้าแม่กวนอิมพันมือ บนยอดเขาชิงซิ่ว
เขาชิงซิ่วนอกจาก 2 จุดที่กล่าวมาแล้ว ยังมีจุดน่าสนใจให้เที่ยวชมกันอีกมากมาย อาทิ เจดีย์ 9 ชั้น จุดชมวิวเมืองหนานหนิง วัดกวนอู เจดีย์มังกรช้าง สวนต้นปรงขนาดยักษ์และต้นปาล์มที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจีน และสวนป่าไม้เมืองร้อน เป็นต้น

สำหรับของดีหนานหนิงยังไม่หมดเท่านี้ เพราะที่นี่ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเด่นๆให้เลือกเที่ยวชมกันอีก ไม่ว่าจะเป็น “ถ้ำอีหลิ่ง” ถ้ำหินปูนอันสวยงามจนได้รับการขนานนามให้เป็นพระราชวังใต้ดิน, ภูเขาต้าหมิงซาน เขาสูงสวยที่ถูกเรียกขานว่า “เขามหัศจรรย์จีนตอนใต้ แหล่งเทวดาในโลกมนุษย์”,สวนสมุนไพรกวางสี สวนสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดเอเชีย, พิพิธภัณฑ์กวางสี พิพิธภัณฑ์กลองทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หลากหลายของกินบนถนนอาหาร หนานหนิง
เสน่ห์หนานหนิงยังไม่หมดเท่านี้ เพราะในยามราตรีหนานหนิงก็มีแหล่งชอปปิ้ง สถานบันเทิงให้เลือกเที่ยวกันทั่วไปในเขตเมือง ส่วนใครที่เป็นนักกินหากมาหนานหนิงที่นี่มีเมนูเด่นประจำเมือง อย่าง ก๋วยเตี๋ยวเหล่าเหย่า เกี๊ยวเฝิ่นเจี่ยว บะจ่างข้าวเหนียว ให้เลือกกินกันตามใจชอบ แต่ถ้าใครอยากได้บรรยากาศการหม่ำแบบตลาดโต้รุ่งเมืองไทย ก็ต้องไปเดินคนเดินย่านอาหารการกิน(เปิดถึงประมาณเที่ยงคืนตีหนึ่ง)ที่มีของกินมากมายราคาเยาในลักษณะร้านรวงริมทางให้เลือกซื้อเลือกกินกันเพียบ แถมยังมีเมนูพิเศษบางอย่างที่ดูแล้วแสลงใจคนรักสัตว์ยิ่งนักในเลือกหม่ำกันอีกด้วย
บรรยากาศยามราตรีที่ย่านธุกิจใจกลางหนานหนิง
อีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นความภูมิใจของชาวหนานหนิงก็คือ เทศกาลร้องเพลงชนชาติแห่งสากลในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของทุกๆปีให้ได้เสพอรรถรสกัน ซึ่งที่โดดเด่นมากก็เห็นจะเป็นบทเพลงแห่งขุนเขาของชาวจ้วง อันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น

พูดถึงการร้องเพลงกับวิถีชีวิตชาวจ้วง แยกกันไม่ออก ชาวจ้วงโดยเฉพาะผู้หญิงฝึกร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่ง ณ วันนี้ ในบางพื้นที่ยังมีการสู่ขอกันด้วยวิธีร้องเพลง ที่หากผู้หญิงร้องเพลงแพ้ผู้ชายที่มาสู่ขอก็จำต้องไปออกเรือนแต่งงานด้วยแม้จะไม่ได้รักชอบมาก่อนก็ตาม

..........................

และนั่นก็เป็นเสน่ห์ของ 2 เมืองใหญ่ หัวใจเบอร์ 1และ 2 ของมณฑลกวางสี ดินแดนชาวจ้วง เครือญาติชาวไทยที่เก่าแก่ที่สุด
*****************************************

มณฑลกวางสี ประเทศจีน มีชาวจ้วงอาศัยอยู่กว่า 90% ประมาณ 14 ล้านคน(ของชาวจ้วงในจีน) ชาวจ้วงเป็นชนชาติที่ประชากรมากเป็นอันดับ 2 ในประเทศจีน จาก 56 ชนชาติหรือชนเผ่า(อันดับ 1 คือ ชาวฮั่น มีมากกว่า 90 %) ในหนานหนิงมีชาวจ้วงอยู่ 57% ของประชาการในหนานหนิง กว่า 6.7 ล้านคน ซึ่งนอกจากนี้ก็ฮั่น,แม้ว,เย้า,ต้ง ฯลฯ รวมทั้งหมด 36 ชนชาติ

มณฑลกวางสี มีเมืองหนานหนิงเป็นเมืองหลวงใหญ่เป็นอันดับ1 เมืองหลิ่วโจวเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 และเมืองกุ้ยหลินเป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 แต่เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 1 สำหรับเมืองหลิ่วโจวและเมืองหนานหนิง ทัวร์ไทยมักจะใช้เป็นจุดแวะพัก จากกุ้ยหลินเพื่อไปเที่ยวยังน้ำตกเต๋อเทียน น้ำตกระหว่างพรมแดนที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

กำลังโหลดความคิดเห็น