โดย : เหล็งฮู้ชง
"โอ...ฉันได้ทัศนาศิลปะความงามที่คดเคี้ยวดังสายหมอก
แม่น้ำหลีเพียบพร้อมด้วยความงามบริสุทธิ์
อา...ฉันทัศนาทิวเขานับพันลูกพิงกันเหมือนเมฆหมอกในความฝัน
ฉันเกือบหลงผิดไปว่านี้คือแดนสรวง
นางกำนัลเฝ้าชะแง้แลหาสามีสุดที่รักที่ได้จากไปนานแสนนาน
อีกทั้งภาพเขียนบนหน้าผาที่เป็นมังกรราวกับจะเผ่นโผนออกมา
ฉันกำลังถูกมนต์เสน่ห์ของทิวเขาอันเลื่องลือ
และช่วยไม่ได้ ถ้าฉันจะต้องรำลึกถึงความหลังพร้อมแก้วเหล้าอยู่ในมือ บนริมฝั่งของแม่น้ำหลี"
กวีโบราณคนหนึ่งรจนาความงามของแม่น้ำหลี(หลีเจียง)และทิวทัศน์ทิวเขามากมายของกุ้ยหลินในอดีตเอาไว้เช่นนี้
มาวันนี้แม้บ้านเมืองกุ้ยหลินจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ความงามของแม่น้ำหลีก็ยังคงอยู่ แถมยังมีตำแหน่งไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวแห่งกุ้ยหลินพ่วงติดมาด้วย ซึ่งหลายคนเปรียบเปรยว่า ถ้ามาเที่ยวกุ้ยหลินแล้วไม่ได้ไปล่องเรือแม่น้ำหลีชมทิวทัศน์ก็เปรียบเสมือนว่ายังมาไม่ถึงกุ้ยหลินโดยสมบูรณ์
เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการตอกย้ำการเที่ยวกุ้ยหลินให้สมบูรณ์แบบ ผมจึงไม่พลาดการล่องเรือท่องแม่น้ำหลีจากกุ้ยหลินสู่หยางซั่วด้วยประการทั้งปวง โดยก่อน 9 โมงเช้านิดๆ ไกด์มาวินพาผมและคณะมาคอยท่าอยู่ที่ท่าเรือสูเจียง ซึ่งต้องนั่งรถออกนอกเมืองไปประมาณ 1 ชั่วโมง
พอถึงเวลาประมาณ 9 โมงเศษๆ เรือนำเที่ยวที่มีอยู่มากมายหลายลำก็ทยอยกันเคลื่อนลำออกจากท่าไปตามลำน้ำหลีที่ใสแจ๋วแหวว
แน่นอนว่าผมรีบขึ้นไปจับจองพื้นที่บนดาดฟ้าเรือ เพื่อหาจุดเหมาะเหม็ง ชมวิว ถ่ายรูป ซึ่งหน้าหนาวอย่างนี้ มีน้ำน้อยแต่อากาศหนาวเย็นสุดขั้วและมีหมอกลงมาก ทำให้ทัศนียภาพขุนเขาแม่น้ำดูฟุ้งขาว ทว่ากลับดูงดงามชวนฝันไปอีกแบบ สายน้ำและขุนเขาบางช่วงบางตอนดูคล้ายภาพวาดที่ถือเป็นเสน่ห์อันโดดเด่นของแม่น้ำหลีซึ่งแต่ละฤดูจะมีความงามที่แตกต่างกันให้ได้ทัศนา
สำหรับการชมทิวทัศน์ขุนเขา สายน้ำ ในเส้นทางสายนี้ สิ่งที่พึงกระทำก็คือการเปิดหัวใจและปลดปล่อยจินตนาการไปกับภาพขุนเขาน้อย-ใหญ่ ที่ประสบพบเจอในเบื้องหน้า เพราะขุนเขาหลายลูกถ้าใช้จินตนาการมองตามที่ไกด์มาวินบอกก็จะได้อรรถรสในการชมมากขึ้น
พูดถึงขุนเขาที่เด่นๆและจินตนาการตามแบบไม่ยากก็มี เขารูปอูฐ เขารูปแอปเปิ้ล เขารูปเจ้าแม่กวนอิม เขามีรู เขารูปกวนอู เขาที่มองเป็นรูปผู้หญิงคอยสามี เขาหน้าผาลายม้า 9 ตัวนั้น (เขาลูกนี้ผมมองยังไงก็ไม่เห็นเป็นม้า 9 ตัว สงสัยเราคงจินตนาการไม่ถึง) และขุนเขาน้อย-ใหญ่อีกมากมายให้จินตนาการกันอีกเพียบ ซึ่งบรรดาสารพัดขุนเขาเหล่านี้ในอดีตคนจีนเคยกล่าวว่า
"จิตรกรคนใดถ้าไม่เคยมาเยือนกุ้ยหลิน จิตรกรคนนั้นมิอาจวาดภาพภูเขาที่สวยงามได้"
นอกจากความงามของขุนเขาลูกน้อยใหญ่กับความสวยใสของแม่น้ำหลีแล้ว ยังมีวิวทิวทัศน์ภาพวิถีชีวิตชนบทจีน ริม 2 ฟากฝั่งน้ำ ให้ชมกันตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ภาพชาวบ้านพายแพไม้ไผ่ หาปลา ภาพของชาวบ้านเลี้ยงเป็ด ภาพฝูงวัว-ควาย เดินลงอาบน้ำ รวมไปถึงภาพบ้านเรือนเก่าๆในสไตล์จีนที่ตั้งแทรกตัวอยู่ในขุนเขาที่โอบล้อม ส่วนที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยก็เห็นจะเป็นการที่ชาวบ้านพายแพขายสินค้าเข้าเทียบประชิดเรือ พร้อมนำเสนอสินค้าให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อ นับเป็นวิธีการขายของที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยเลย
เรียกว่าในบรรยากาศที่ดูเพลินและทิวทัศน์ที่งดงาม ทำให้มื้อเที่ยงบนเรือมาถึงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซึ่งชาวจีนบนเรือส่วนใหญ่มีความสามารถในการกิน(บุฟเฟ่ต์)สูงมากจนผมเห็นแล้วอดทึ่งไม่ได้ (ทึ่งพอๆกับได้เห็นวิถีการเข้าห้องน้ำของชาวจีน...เกี่ยวกันมั้ยนั่น)
หลังอาหารเที่ยงผ่านพ้นไปไม่นาน เรือก็มาจอดเทียบท่ายังเมือง"หยางซั่ว" เมืองชนบทท่ามกลางขุนเขาที่โดดเด่นมากในด้านการท่องเที่ยว
หยางซั่วมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเด่นๆอย่าง เขาพระจันทร์ เขาหัวมังกร เขาหัวสตรี เมืองลับแล แม่น้ำมังกรหยก และถ้ำเงินอันสวยงาม แต่งานนี้ไกด์มาวินพาคณะเราไปเที่ยวถ้ำดอกบัวที่เพิ่งถูกค้นพบไม่นาน
"ถ้ำดอกบัว" ตั้งอยู่ที่ ตำบลซิงผิง ในหมู่บ้านชนบทบรรยากาศดี ใกล้ๆปากถ้ำมีรูปสลักเจ้าแม่กวนอิมให้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเข้าถ้ำ ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปแล้ว ไม่ผิดหวังเพราะในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยสวยๆงามๆมากมาย ยิ่งได้เทคนิคการใช้ไฟแสงสีฉูดฉาดประดับ ยิ่งทำให้บรรยากาศในถ้ำดอกบัวดูชวนฝันมากขึ้น
หลายจุดในถ้ำเมื่อฟังไกด์บอกแล้วปล่อยจินตนาการตามก็จะยิ่งเห็นภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น หินต้นโพธิ์ หินเห็ดหลินจือ หินเรื่องไซอิ๋ว หินภูเขาหิมะ หินหมู่บ้านลูกท้อ หินนางเงือก หินพระพุทธเจ้าเทศนา ส่วนที่พิเศษสุดถือเป็นไฮไลท์ก็คือ หินงอกหินย้อยในลักษณะหินหยดที่หยดลงบนธารน้ำในถ้ำเกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติประหลาดดูคล้ายใบบัววิกตอเรียหรือบัวกระด้งมากมาย เรียงรายดารดาษในโพรงถ้ำที่มีธารน้ำหล่อเลี้ยงเป็นจุดๆ
ไกด์มาวินบอกว่ามีถึง 108 ใบเลยทีเดียว ชาวคณะเราหลายคนถึงกับอึ้งเมื่อเจอกับหินหยดใบบัวเหล่านี้ พร้อมกับให้ความเห็นว่าถ้ำแห่งนี้น่าจะชื่อถ้ำใบบัวมากกว่า ซึ่งนี่นับเป็นหนึ่งในความอัศจรรย์ที่ธรรมชาติบรรจงสร้างสรรค์ให้มนุษย์ได้ชมกันเป็นบุญตา
ออกจากถ้ำดอกบัวเวลาเย็นย่ำ ซึ่งหลังอาหารค่ำนี้เรามีนัดกับโชว์ Impression Liu Sanjie หรือ"หลิวซานเจี่ย" โชว์ชื่อก้องที่กำกับการแสดงโดยจางอี้โหมว ผู้กำกับชั้นเทพที่ฝากผลงานภาพยนตร์เด่นๆเอาไว้มากมายหลายเรื่อง อีกทั้งเขาได้รับเกียรติให้กำกับพิธีเปิด-ปิด กีฬาโอลิมปิก 2008
แน่นอนว่าชื่อชั้นระดับ"ตัวพ่อ"อย่างจางอี้โหมวนั้นย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว งานนี้จางอี้โหมวใช้ธรรมชาติเป็นฉากทั้งสายน้ำ ขุนเขา แล้วนำการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจใส่เข้าไป ซึ่งเรื่องราวหลักๆนั้นนำมาจากภาพยนตร์จีนละครเพลงสุดคลาสสิคเรื่อง"หลิวซานเจี่ย" หรือ "เพลงรักชาวเรือ"
เนื้อเรื่อง(ละครเพลง)กล่าวถึงหลิวซานเจี่ย นางเอกนักสู้ สาวงามชาวจ้วงสมัยราชวงศ์ถังที่มีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง(ชาวจ้วงชื่นชอบการร้องเพลงมาก) ซึ่งเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆทั่วไป แต่ถูกผู้มีอิทธิพลบีบบังคับให้แต่งงานด้วย แต่ว่าหลิวซานเจี่ยก็ได้ทำการต่อสู้กับความอยุติธรรมของผู้มีอิทธิพลโดยใช้เสียงเพลงร้องตอบโต้ จนเธอสามารถเอาชนะได้ครองคู่กับคนรักและได้รับการยกย่องให้เป็น"วีรสตรีชาวจ้วง" มาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับการแสดงชุดนี้แม้เป็นภาษาจีนล้วนๆซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่อง แต่ว่าด้วยเทคนิคการแสดงอันเหนือชั้นของจางอี้โหมว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับสี แสง เทคนิคมนุษย์หลอดไฟ ฉากธรรมชาติ และเนื้อเพลงที่ชวนฟัง ทำให้โชว์ชุดนี้ดูเพลิน พร้อมๆกับคำนิยมต่อโชว์ชุดนี้ว่า "จางอี้โหมว นายแน่มาก"
หลังดูโชว์จบ ก่อนเข้านอนเราเลือกไปเดินชมสีสันราตรีปิดท้ายทริปกุ้ยหลิน-หยางซั่วที่ย่าน"เวสท์สตรีท"หรือที่ไกด์มาวินเรียก"ถนนฝรั่ง"
เวสท์สตรีทย่านเก่าแก่อายุร่วม 100 ปี ที่วันนี้ปรับปรุงเป็นย่านถนนคนเดิน 1 ข้างทางล้วนเต็มไปด้วยร้านรวง ผับ บาร์ ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ที่ผมเห็นแล้วอดนึกถึงถนนข้าวสารบ้านเราไม่ได้
เฮ้อ...นี่แหละคนไกลบ้าน ถึงแม้ธรรมชาติกุ้ยหลิน หยางซั่ว จะเต็มไปด้วยธรรมชาติอันมหัศจรรย์ มีการแสดงอันน่าทึ่ง แต่ยังไงผมก็ยังอดคิดถึงเมืองไทยไม่ได้ เพราะ ...บ้านเรา แสนสุขใจ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
กุ้ยหลิน เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของมณฑลกวางสี ประเทศจีน แต่เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของมณฑล ในช่วงหน้าหนาวเดือน ธ.ค.-ก.พ. จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 8 องศาเซลเซียส
วันนี้กุ้ยหลินมีความพร้อมด้านการท่องเที่ยวในอันดับต้นๆของจีน มีโรงแรมตั้งแต่ 2-5 ดาว มีแหล่งช็อปปิ้งทั้งกลางวัน กลางคืน และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายทั้งในตัวเมือง และต่างเมือง
สำหรับช่วงนี้ถึง 28 ก.พ.51 สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ได้ออกแพ็กเกจพิเศษเที่ยวกุ้ยหลิน ซึ่งผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1771 หรือที่ฟ้าไทยฮอลิเดย์ส โทร 02-265-5769-74 หรือดูข้อมูลทางเว็บไซต์ที่ www.bangkokair.com
"โอ...ฉันได้ทัศนาศิลปะความงามที่คดเคี้ยวดังสายหมอก
แม่น้ำหลีเพียบพร้อมด้วยความงามบริสุทธิ์
อา...ฉันทัศนาทิวเขานับพันลูกพิงกันเหมือนเมฆหมอกในความฝัน
ฉันเกือบหลงผิดไปว่านี้คือแดนสรวง
นางกำนัลเฝ้าชะแง้แลหาสามีสุดที่รักที่ได้จากไปนานแสนนาน
อีกทั้งภาพเขียนบนหน้าผาที่เป็นมังกรราวกับจะเผ่นโผนออกมา
ฉันกำลังถูกมนต์เสน่ห์ของทิวเขาอันเลื่องลือ
และช่วยไม่ได้ ถ้าฉันจะต้องรำลึกถึงความหลังพร้อมแก้วเหล้าอยู่ในมือ บนริมฝั่งของแม่น้ำหลี"
กวีโบราณคนหนึ่งรจนาความงามของแม่น้ำหลี(หลีเจียง)และทิวทัศน์ทิวเขามากมายของกุ้ยหลินในอดีตเอาไว้เช่นนี้
มาวันนี้แม้บ้านเมืองกุ้ยหลินจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ความงามของแม่น้ำหลีก็ยังคงอยู่ แถมยังมีตำแหน่งไฮไลท์ทางการท่องเที่ยวแห่งกุ้ยหลินพ่วงติดมาด้วย ซึ่งหลายคนเปรียบเปรยว่า ถ้ามาเที่ยวกุ้ยหลินแล้วไม่ได้ไปล่องเรือแม่น้ำหลีชมทิวทัศน์ก็เปรียบเสมือนว่ายังมาไม่ถึงกุ้ยหลินโดยสมบูรณ์
เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการตอกย้ำการเที่ยวกุ้ยหลินให้สมบูรณ์แบบ ผมจึงไม่พลาดการล่องเรือท่องแม่น้ำหลีจากกุ้ยหลินสู่หยางซั่วด้วยประการทั้งปวง โดยก่อน 9 โมงเช้านิดๆ ไกด์มาวินพาผมและคณะมาคอยท่าอยู่ที่ท่าเรือสูเจียง ซึ่งต้องนั่งรถออกนอกเมืองไปประมาณ 1 ชั่วโมง
พอถึงเวลาประมาณ 9 โมงเศษๆ เรือนำเที่ยวที่มีอยู่มากมายหลายลำก็ทยอยกันเคลื่อนลำออกจากท่าไปตามลำน้ำหลีที่ใสแจ๋วแหวว
แน่นอนว่าผมรีบขึ้นไปจับจองพื้นที่บนดาดฟ้าเรือ เพื่อหาจุดเหมาะเหม็ง ชมวิว ถ่ายรูป ซึ่งหน้าหนาวอย่างนี้ มีน้ำน้อยแต่อากาศหนาวเย็นสุดขั้วและมีหมอกลงมาก ทำให้ทัศนียภาพขุนเขาแม่น้ำดูฟุ้งขาว ทว่ากลับดูงดงามชวนฝันไปอีกแบบ สายน้ำและขุนเขาบางช่วงบางตอนดูคล้ายภาพวาดที่ถือเป็นเสน่ห์อันโดดเด่นของแม่น้ำหลีซึ่งแต่ละฤดูจะมีความงามที่แตกต่างกันให้ได้ทัศนา
สำหรับการชมทิวทัศน์ขุนเขา สายน้ำ ในเส้นทางสายนี้ สิ่งที่พึงกระทำก็คือการเปิดหัวใจและปลดปล่อยจินตนาการไปกับภาพขุนเขาน้อย-ใหญ่ ที่ประสบพบเจอในเบื้องหน้า เพราะขุนเขาหลายลูกถ้าใช้จินตนาการมองตามที่ไกด์มาวินบอกก็จะได้อรรถรสในการชมมากขึ้น
พูดถึงขุนเขาที่เด่นๆและจินตนาการตามแบบไม่ยากก็มี เขารูปอูฐ เขารูปแอปเปิ้ล เขารูปเจ้าแม่กวนอิม เขามีรู เขารูปกวนอู เขาที่มองเป็นรูปผู้หญิงคอยสามี เขาหน้าผาลายม้า 9 ตัวนั้น (เขาลูกนี้ผมมองยังไงก็ไม่เห็นเป็นม้า 9 ตัว สงสัยเราคงจินตนาการไม่ถึง) และขุนเขาน้อย-ใหญ่อีกมากมายให้จินตนาการกันอีกเพียบ ซึ่งบรรดาสารพัดขุนเขาเหล่านี้ในอดีตคนจีนเคยกล่าวว่า
"จิตรกรคนใดถ้าไม่เคยมาเยือนกุ้ยหลิน จิตรกรคนนั้นมิอาจวาดภาพภูเขาที่สวยงามได้"
นอกจากความงามของขุนเขาลูกน้อยใหญ่กับความสวยใสของแม่น้ำหลีแล้ว ยังมีวิวทิวทัศน์ภาพวิถีชีวิตชนบทจีน ริม 2 ฟากฝั่งน้ำ ให้ชมกันตลอดเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ภาพชาวบ้านพายแพไม้ไผ่ หาปลา ภาพของชาวบ้านเลี้ยงเป็ด ภาพฝูงวัว-ควาย เดินลงอาบน้ำ รวมไปถึงภาพบ้านเรือนเก่าๆในสไตล์จีนที่ตั้งแทรกตัวอยู่ในขุนเขาที่โอบล้อม ส่วนที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อยก็เห็นจะเป็นการที่ชาวบ้านพายแพขายสินค้าเข้าเทียบประชิดเรือ พร้อมนำเสนอสินค้าให้นักท่องเที่ยวเลือกซื้อ นับเป็นวิธีการขายของที่น่าตื่นเต้นไม่น้อยเลย
เรียกว่าในบรรยากาศที่ดูเพลินและทิวทัศน์ที่งดงาม ทำให้มื้อเที่ยงบนเรือมาถึงแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ซึ่งชาวจีนบนเรือส่วนใหญ่มีความสามารถในการกิน(บุฟเฟ่ต์)สูงมากจนผมเห็นแล้วอดทึ่งไม่ได้ (ทึ่งพอๆกับได้เห็นวิถีการเข้าห้องน้ำของชาวจีน...เกี่ยวกันมั้ยนั่น)
หลังอาหารเที่ยงผ่านพ้นไปไม่นาน เรือก็มาจอดเทียบท่ายังเมือง"หยางซั่ว" เมืองชนบทท่ามกลางขุนเขาที่โดดเด่นมากในด้านการท่องเที่ยว
หยางซั่วมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติเด่นๆอย่าง เขาพระจันทร์ เขาหัวมังกร เขาหัวสตรี เมืองลับแล แม่น้ำมังกรหยก และถ้ำเงินอันสวยงาม แต่งานนี้ไกด์มาวินพาคณะเราไปเที่ยวถ้ำดอกบัวที่เพิ่งถูกค้นพบไม่นาน
"ถ้ำดอกบัว" ตั้งอยู่ที่ ตำบลซิงผิง ในหมู่บ้านชนบทบรรยากาศดี ใกล้ๆปากถ้ำมีรูปสลักเจ้าแม่กวนอิมให้สักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนเข้าถ้ำ ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปแล้ว ไม่ผิดหวังเพราะในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยสวยๆงามๆมากมาย ยิ่งได้เทคนิคการใช้ไฟแสงสีฉูดฉาดประดับ ยิ่งทำให้บรรยากาศในถ้ำดอกบัวดูชวนฝันมากขึ้น
หลายจุดในถ้ำเมื่อฟังไกด์บอกแล้วปล่อยจินตนาการตามก็จะยิ่งเห็นภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น หินต้นโพธิ์ หินเห็ดหลินจือ หินเรื่องไซอิ๋ว หินภูเขาหิมะ หินหมู่บ้านลูกท้อ หินนางเงือก หินพระพุทธเจ้าเทศนา ส่วนที่พิเศษสุดถือเป็นไฮไลท์ก็คือ หินงอกหินย้อยในลักษณะหินหยดที่หยดลงบนธารน้ำในถ้ำเกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติประหลาดดูคล้ายใบบัววิกตอเรียหรือบัวกระด้งมากมาย เรียงรายดารดาษในโพรงถ้ำที่มีธารน้ำหล่อเลี้ยงเป็นจุดๆ
ไกด์มาวินบอกว่ามีถึง 108 ใบเลยทีเดียว ชาวคณะเราหลายคนถึงกับอึ้งเมื่อเจอกับหินหยดใบบัวเหล่านี้ พร้อมกับให้ความเห็นว่าถ้ำแห่งนี้น่าจะชื่อถ้ำใบบัวมากกว่า ซึ่งนี่นับเป็นหนึ่งในความอัศจรรย์ที่ธรรมชาติบรรจงสร้างสรรค์ให้มนุษย์ได้ชมกันเป็นบุญตา
ออกจากถ้ำดอกบัวเวลาเย็นย่ำ ซึ่งหลังอาหารค่ำนี้เรามีนัดกับโชว์ Impression Liu Sanjie หรือ"หลิวซานเจี่ย" โชว์ชื่อก้องที่กำกับการแสดงโดยจางอี้โหมว ผู้กำกับชั้นเทพที่ฝากผลงานภาพยนตร์เด่นๆเอาไว้มากมายหลายเรื่อง อีกทั้งเขาได้รับเกียรติให้กำกับพิธีเปิด-ปิด กีฬาโอลิมปิก 2008
แน่นอนว่าชื่อชั้นระดับ"ตัวพ่อ"อย่างจางอี้โหมวนั้นย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว งานนี้จางอี้โหมวใช้ธรรมชาติเป็นฉากทั้งสายน้ำ ขุนเขา แล้วนำการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจใส่เข้าไป ซึ่งเรื่องราวหลักๆนั้นนำมาจากภาพยนตร์จีนละครเพลงสุดคลาสสิคเรื่อง"หลิวซานเจี่ย" หรือ "เพลงรักชาวเรือ"
เนื้อเรื่อง(ละครเพลง)กล่าวถึงหลิวซานเจี่ย นางเอกนักสู้ สาวงามชาวจ้วงสมัยราชวงศ์ถังที่มีพรสวรรค์ด้านการร้องเพลง(ชาวจ้วงชื่นชอบการร้องเพลงมาก) ซึ่งเป็นที่หมายปองของหนุ่มๆทั่วไป แต่ถูกผู้มีอิทธิพลบีบบังคับให้แต่งงานด้วย แต่ว่าหลิวซานเจี่ยก็ได้ทำการต่อสู้กับความอยุติธรรมของผู้มีอิทธิพลโดยใช้เสียงเพลงร้องตอบโต้ จนเธอสามารถเอาชนะได้ครองคู่กับคนรักและได้รับการยกย่องให้เป็น"วีรสตรีชาวจ้วง" มาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับการแสดงชุดนี้แม้เป็นภาษาจีนล้วนๆซึ่งผมฟังไม่รู้เรื่อง แต่ว่าด้วยเทคนิคการแสดงอันเหนือชั้นของจางอี้โหมว ไม่ว่าจะเป็นการเล่นกับสี แสง เทคนิคมนุษย์หลอดไฟ ฉากธรรมชาติ และเนื้อเพลงที่ชวนฟัง ทำให้โชว์ชุดนี้ดูเพลิน พร้อมๆกับคำนิยมต่อโชว์ชุดนี้ว่า "จางอี้โหมว นายแน่มาก"
หลังดูโชว์จบ ก่อนเข้านอนเราเลือกไปเดินชมสีสันราตรีปิดท้ายทริปกุ้ยหลิน-หยางซั่วที่ย่าน"เวสท์สตรีท"หรือที่ไกด์มาวินเรียก"ถนนฝรั่ง"
เวสท์สตรีทย่านเก่าแก่อายุร่วม 100 ปี ที่วันนี้ปรับปรุงเป็นย่านถนนคนเดิน 1 ข้างทางล้วนเต็มไปด้วยร้านรวง ผับ บาร์ ร้านกาแฟ ร้านขายของที่ระลึก ที่ผมเห็นแล้วอดนึกถึงถนนข้าวสารบ้านเราไม่ได้
เฮ้อ...นี่แหละคนไกลบ้าน ถึงแม้ธรรมชาติกุ้ยหลิน หยางซั่ว จะเต็มไปด้วยธรรมชาติอันมหัศจรรย์ มีการแสดงอันน่าทึ่ง แต่ยังไงผมก็ยังอดคิดถึงเมืองไทยไม่ได้ เพราะ ...บ้านเรา แสนสุขใจ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ไม่สุขใจเหมือนบ้านเรา...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
กุ้ยหลิน เป็นเมืองใหญ่อันดับ 3 ของมณฑลกวางสี ประเทศจีน แต่เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 1 ของมณฑล ในช่วงหน้าหนาวเดือน ธ.ค.-ก.พ. จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 8 องศาเซลเซียส
วันนี้กุ้ยหลินมีความพร้อมด้านการท่องเที่ยวในอันดับต้นๆของจีน มีโรงแรมตั้งแต่ 2-5 ดาว มีแหล่งช็อปปิ้งทั้งกลางวัน กลางคืน และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายทั้งในตัวเมือง และต่างเมือง
สำหรับช่วงนี้ถึง 28 ก.พ.51 สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส ได้ออกแพ็กเกจพิเศษเที่ยวกุ้ยหลิน ซึ่งผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1771 หรือที่ฟ้าไทยฮอลิเดย์ส โทร 02-265-5769-74 หรือดูข้อมูลทางเว็บไซต์ที่ www.bangkokair.com