โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
เริ่มการทำงานอาทิตย์แรกมาได้ 3 วันหลังจากหยุดยาวช่วงปีใหม่ หลายๆคนอาจกำลังฝันหวานถึงงานฉลอง การท่องเที่ยว และการพักผ่อนที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่จะมัวทำตัวเฉื่อยๆ ก็ใช่ที่ เริ่มต้นปีใหม่ทั้งทีก็ต้องกระตือรือร้นตั้งใจทำงานกันหน่อย การงานจะได้ผ่านฉลุยอนาคตสดใสกันตั้งแต่ต้นปี
และเพื่อเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ให้เป็นสิริมงคลสักหน่อย ฉันก็อยากจะชวนทุกคนไปทำบุญไหว้พระกันด้วยกัน โดยในครั้งนี้จะชวนไปไหว้ 5 วัด ในเส้นทาง "ไหว้พระงามเมืองบางกอก" ที่ทางกองการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานครเขาจัดขึ้น นอกจากจะได้ทำบุญไหว้พระแล้วก็ยังได้ชมความงามของพระพุทธรูปสำคัญในกรุงเทพอีกด้วย
เริ่มต้นที่วัดแรก "วัดเบญจมบพิตร" วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แต่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระองค์ทรงมีจุดประสงค์ 3 ประการด้วยกันคือ ตั้งใจจะสร้างวัดให้งดงามเป็นที่เลื่องลือ ซึ่งในปัจจุบันก็ถือกันว่าวัดแห่งนี้เป็น “สุดยอดสถาปัตยกรรมไทย” อีกทั้งยังจะสร้างให้เป็นวัดศูนย์กลางของมหานิกาย และตั้งใจให้เป็นพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปอีกด้วย
สำหรับพระงามในวัดเบญจมบพิตรนี้ มีอยู่หลายองค์ด้วยกัน เริ่มตั้งแต่องค์แรกในพระอุโบสถ ซึ่งก็เป็นพระพุทธชินราชที่จำลองมาจากพระพุทธชินราชของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ในตอนแรกนั้นรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริจะอัญเชิญพระพุทธชินราชองค์จริงจากเมืองพิษณุโลกมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ แต่ชาวเมืองพิษณุโลกได้แสดงความหวงแหน เพราะพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกอีกสององค์ก็ได้ถูกอัญเชิญลงมายังพระนครแล้ว จึงได้กราบบังคมทูลยับยั้ง พระองค์จึงโปรดฯ ให้ช่างหล่อรูปจำลองของพระพุทธชินราชมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถนี้แทน
นอกจากนั้นแล้ว ที่พระระเบียงของวัดเบญฯนั้นจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูป มีพระพุทธรูปแปลกๆ สวยๆ มากมายมารวมไว้ที่นี่ ทั้งพระพุทธรูปนั่งและพระพุทธรูปยืนตั้งเรียงสลับกันไป มีทั้งองค์จริงและองค์ที่สร้างจำลองขึ้น เช่น พระสมัยเชียงแสน พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อยอยุธยา พระสมัยทวารวดี พระสมัยอู่ทอง และไม่ควรพลาดชมพระปางลีลาสมัยสุโขทัยที่งดงาม ส่วนองค์ที่สำคัญอีกองค์หนึ่งก็คือองค์ที่อยู่ด้านหลังพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทองที่องค์ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุด รวมเป็น 53 องค์ในพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปแห่งนี้
"วัดเทพศิรินทราวาส" ก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีพระพุทธรูปงดงาม ภายในพระอุโบสถหลังใหญ่ของวัด ใครที่ได้เห็นก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของพระประธานที่อยู่ด้านในแทบทุกคน เพราะองค์พระประธานนั้นประดิษฐานอยู่บนฐานเบญจา ซึ่งเคยใช้ตั้งพระโกศของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ บนยอดของฐานเบญจานั้นก็มีปราสาททรงจัตุรมุขประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้หล่อขึ้นและอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาสแห่งนี้
ภายในพระอุโบสถก็ยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกหลายองค์เช่น พระนิรันตราย พระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 4 ซึ่งโปรดฯ ให้หล่อขึ้นปีละองค์และอัญเชิญไปประดิษฐานตามวัดธรรมยุติกนิกาย รวมถึงที่วัดเทพศิรินทร์ฯด้วย อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ฉลองพระองค์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีนาถ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจันทรมณฑลโสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกษัตริย์
นอกจากพระพุทธรูปจะงามแล้ว ที่วัดเทพศิรินทร์ฯก็ยังมีพระสงฆ์ที่มีจริยวัตรงดงาม แม้ท่านจะมรณภาพไปแล้ว ก็ยังเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนมาจนปัจจุบัน นั่นก็คือท่านเจ้าคุณนรฯ หรือพระยานรรัตนราชมานิต ต้นห้องใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยท่านได้บวชหน้าไฟที่วัดเทพศิรินทร์ฯ ถวายเป็นพระราชกุศลเมื่อรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต และไม่สึกอีกเลยตราบจนมรณภาพ ผู้คนยกย่องท่านว่าเป็นพระอริยสงฆ์ที่เคร่งครัดในศีลจารวัตรธรรมวินัย จึงมีผู้คนเคารพศรัทธาแม้เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วเกือบ 40 ปี
"วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม" เป็นวัดที่เล็กที่สุดในกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่เพียง 2 ไร่ 3 งาน 10 วา เท่านั้นเอง แม้จะมีขนาดเล็กมากๆ แต่ก็มีความสำคัญตรงที่เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 4 ซึ่งพระองค์โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นด้วยเหตุผลตามโบราณราชประเพณีที่ถือกันว่า เมืองหลวงจะต้องมีวัดสำคัญ 3 วัด ด้วยกัน คือวัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดราชประดิษฐ์ ขณะนั้นกรุงรัตนโกสินทร์ยังขาดเพียงวัดราชประดิษฐ์ พระองค์จึงโปรดฯ ให้สร้างขึ้น อีกทั้งพระองค์ยังทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างวัดธรรมยุติกนิกายขึ้นใกล้กับพระบรมมหาราชวังอีกด้วย
สิ่งก่อสร้างที่สำคัญภายในวัดนี้นั้นตั้งอยู่บนฐานไพทีทั้งหมด คือพระวิหาร พระปาสาณเจดีย์ หอไตร ปราสาทพระจอม สำหรับพระวิหารนั้นทำหน้าที่เป็นพระอุโบสถด้วย ภายในมีพระประธานนามว่า "พระพุทธสิหังคปฏิมากร" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดไม่ใหญ่นักพอเหมาะกับพระวิหาร ประดิษฐานอยู่ในบุษบก โดยรัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้สร้างจำลองขึ้นจากพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปที่พระองค์ทรงโปรดในพุทธลักษณะอันงดงาม รวมทั้งมีพระราชศรัทธาเป็นพิเศษ อีกทั้งเบื้องหลังพระประธานก็ยังมีบุษบกน้อยอีก 3 องค์ที่จำลองเอาพระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระพุทธชินราชมาไว้ด้วย
และที่เบื้องหน้าพระประธานจะมีครอบแก้วเล็กๆ มีพระพุทธรูปอยู่ภายใน นั่นก็คือพระนิรันตราย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่หล่อด้วยทองคำ มีผู้ขุดพบแล้วนำมาถวายรัชกาลที่ 4 พระองค์ได้ทรงนำมาเก็บรักษาไว้ ณ หอเสถียรธรรมปริตร และได้มีผู้ร้ายเข้ามาขโมยของในหอนี้ แต่ไม่ได้นำพระองค์นี้ไป พระองค์ทรงเห็นว่าพระพุทธรูปองค์นี้พ้นอันตรายมาสองครั้งแล้ว คือผู้ขุดก็ไม่ทำอันตราย และผู้ร้ายก็ไม่ลักไป จึงได้ขนานนามพระองค์นี้ว่าพระนิรันตราย และได้หล่อพระพุทธรูปนี้ขึ้นอีก 18 องค์ เท่าจำนวนปีที่เสวยราชย์ เพื่อถวายเป็นที่ระลึกแก่วัดในธรรมยุติกนิกาย ซึ่งก็รวมถึงวัดราชประดิษฐ์ฯนี้ด้วยเช่นกัน
"วัดมหรรณพาราม" เป็นวัดที่มีกลิ่นอายของวัดในสมัยรัชกาลที่ 3 คือเป็นวัดที่มีรูปแบบคล้ายสถาปัตยกรรมจีน ที่ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ โดยพระองค์เจ้าอรรณพ พระราชโอรสในสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ได้ทรงสร้างวัดนี้ขึ้น และได้ทรงรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ทางเมืองเหนือเสาะหาพระพุทธรูปใหญ่มาประดิษฐานเป็นพระประธาน เมื่อทรงพบพระพุทธรูปถูกใจก็ทรงรับสั่งให้อัญเชิญลงมายังกรุงเทพฯ แต่น่าเสียดายที่การเดินทางนั้นล่าช้า ไม่ทันกับงานฉลองพระอุโบสถและผูกพัทธสีมา พระพุทธรูปองค์นั้นจึงได้มาประดิษฐานอยู่ในพระวิหารแทน
พระพุทธรูปองค์ที่ว่านี้ก็คือหลวงพ่อพระร่วง เป็นพระสมัยสุโขทัยที่มีความงามอย่างยิ่ง พระพักตร์อิ่มเอิบมองดูแล้วเหมือนยิ้มนิดๆ นิ้วพระหัตถ์เรียวงาม อีกทั้งยังเป็นพระพุทธรูปทองคำที่กรมศิลปากรเคยมาพิสูจน์แล้วลงความเห็นว่าเป็นเนื้อทองคำถึงประมาณ 60% เลยทีเดียว
นอกจากนั้นภายในวัดก็ยังมีพระเจดีย์ทองที่รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างขึ้น อยู่ด้านหลังพระอุโบสถ ด้านบนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนด้านล่างเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าอาวาสในอดีตอีกด้วย
และพระงามวัดสุดท้าย คือที่ "วัดสุทัศนเทพวราราม" ที่เป็นวัดที่ได้ชื่อว่ามีการจัดผังวัดได้งามที่สุดในรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว และนอกจากนั้นก็ยังมีพระพุทธรูปงดงามอย่าง "พระศรีศากยมุนี" ซึ่งเป็นพระประธานในพระวิหารหลวง พระพุทธรูปองค์นี้แต่เดิมประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย จึงถือเป็นพระพุทธรูปสำคัญมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเลยทีเดียว ขึ้นชื่อว่าเป็นพระในสมัยสุโขทัย อีกทั้งยังเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองแล้ว ความงดงามของพระองค์นี้จึงไม่ต้องพูดถึงเลยทีเดียว
หากใครได้เข้ามากราบพระในพระวิหารแล้ว ก็อย่าลืมเดินอ้อมมาด้านหลัง เพื่อชมแผ่นหินแกะสลักสมัยทวารวดี มีอายุกว่า 1,000 ปีแล้ว แผ่นหินนี้แกะสลักเป็นภาพนูนต่ำเป็นเรื่องราวตอนที่พระพุทธเจ้าเทศนาโปรดพระพุทธมารดาและแสดงยมกปาฏิหาริย์
และนอกจากพระวิหารแล้ว ก็ควรไปกราบพระประธานในพระอุโบสถด้วยเช่นกัน โดยพระอุโบสถของวัดสุทัศน์ฯนี้ถือเป็นพระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศ และในพระอุโบสถนั้นมี "พระพุทธตรีโลกเชษฐ์" เป็นพระประธานที่หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีสูง เบื้องหน้ามีพระอสีติมหาสาวก 80 องค์ นั่งพนมมือเหมือนกำลังฟังพระบรมโอวาทจากพระพุทธองค์ซึ่งประทับเป็นประธานตรงกลาง ดูงามสง่าไม่น้อยเลยทีเดียว
และนี่ก็คือพระงามทั้ง 5 วัดในกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นความงามคู่กับกรุงรัตนโกสินทร์อย่างแท้จริง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ 69 ถนนพระราม 5 แขวงจิตรลดา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 โทร.0-2282-2667, 0-2281-7825, 0-2282-5591 เวลาเปิดปิด 8.00-17.00 น. ชาวต่างชาติมีค่าธรรมเนียมเข้าชมคนละ 20 บาท
วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ 423 ถนนหลวง แขวงยศเส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร 10100 อยู่ใกล้สะพานกษัตริย์ศึก สอบถามรายละเอียดโทร.0-2221-8877, 0-2222-0700
วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ข้างเสาชิงช้า เขตพระนคร บริเวณวัดเปิดให้เข้าชมทุกวัน 08.30-21.00 น. โบสถ์เปิดทุกวัน 9.00-16.00 น. วิหารหลวงเปิดทุกวัน 9.00-21.00 น. ชาวต่างชาติเสีย 20 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 0-2224-9845,0-2222-9632
วัดมหรรณพาราม ตั้งอยู่ที่ถนนตะนาว แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพฯ เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-17.00 น. โทร.0-2224-1811
วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนสราญรมณ์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 สอบถามรายละเอียดโทร.0-2622-1030
เริ่มการทำงานอาทิตย์แรกมาได้ 3 วันหลังจากหยุดยาวช่วงปีใหม่ หลายๆคนอาจกำลังฝันหวานถึงงานฉลอง การท่องเที่ยว และการพักผ่อนที่เพิ่งผ่านพ้นไป แต่จะมัวทำตัวเฉื่อยๆ ก็ใช่ที่ เริ่มต้นปีใหม่ทั้งทีก็ต้องกระตือรือร้นตั้งใจทำงานกันหน่อย การงานจะได้ผ่านฉลุยอนาคตสดใสกันตั้งแต่ต้นปี
และเพื่อเป็นการเริ่มต้นปีใหม่ให้เป็นสิริมงคลสักหน่อย ฉันก็อยากจะชวนทุกคนไปทำบุญไหว้พระกันด้วยกัน โดยในครั้งนี้จะชวนไปไหว้ 5 วัด ในเส้นทาง "ไหว้พระงามเมืองบางกอก" ที่ทางกองการท่องเที่ยวกรุงเทพมหานครเขาจัดขึ้น นอกจากจะได้ทำบุญไหว้พระแล้วก็ยังได้ชมความงามของพระพุทธรูปสำคัญในกรุงเทพอีกด้วย
เริ่มต้นที่วัดแรก "วัดเบญจมบพิตร" วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 แต่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระองค์ทรงมีจุดประสงค์ 3 ประการด้วยกันคือ ตั้งใจจะสร้างวัดให้งดงามเป็นที่เลื่องลือ ซึ่งในปัจจุบันก็ถือกันว่าวัดแห่งนี้เป็น “สุดยอดสถาปัตยกรรมไทย” อีกทั้งยังจะสร้างให้เป็นวัดศูนย์กลางของมหานิกาย และตั้งใจให้เป็นพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปอีกด้วย
สำหรับพระงามในวัดเบญจมบพิตรนี้ มีอยู่หลายองค์ด้วยกัน เริ่มตั้งแต่องค์แรกในพระอุโบสถ ซึ่งก็เป็นพระพุทธชินราชที่จำลองมาจากพระพุทธชินราชของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก ในตอนแรกนั้นรัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำริจะอัญเชิญพระพุทธชินราชองค์จริงจากเมืองพิษณุโลกมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ แต่ชาวเมืองพิษณุโลกได้แสดงความหวงแหน เพราะพระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา ซึ่งเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกอีกสององค์ก็ได้ถูกอัญเชิญลงมายังพระนครแล้ว จึงได้กราบบังคมทูลยับยั้ง พระองค์จึงโปรดฯ ให้ช่างหล่อรูปจำลองของพระพุทธชินราชมาประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถนี้แทน
นอกจากนั้นแล้ว ที่พระระเบียงของวัดเบญฯนั้นจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูป มีพระพุทธรูปแปลกๆ สวยๆ มากมายมารวมไว้ที่นี่ ทั้งพระพุทธรูปนั่งและพระพุทธรูปยืนตั้งเรียงสลับกันไป มีทั้งองค์จริงและองค์ที่สร้างจำลองขึ้น เช่น พระสมัยเชียงแสน พระพุทธรูปทรงเครื่องน้อยอยุธยา พระสมัยทวารวดี พระสมัยอู่ทอง และไม่ควรพลาดชมพระปางลีลาสมัยสุโขทัยที่งดงาม ส่วนองค์ที่สำคัญอีกองค์หนึ่งก็คือองค์ที่อยู่ด้านหลังพระอุโบสถ เป็นพระพุทธรูปสมัยอู่ทองที่องค์ใหญ่และสมบูรณ์ที่สุด รวมเป็น 53 องค์ในพิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปแห่งนี้
"วัดเทพศิรินทราวาส" ก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีพระพุทธรูปงดงาม ภายในพระอุโบสถหลังใหญ่ของวัด ใครที่ได้เห็นก็ต้องตื่นตาตื่นใจกับความอลังการของพระประธานที่อยู่ด้านในแทบทุกคน เพราะองค์พระประธานนั้นประดิษฐานอยู่บนฐานเบญจา ซึ่งเคยใช้ตั้งพระโกศของพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ บนยอดของฐานเบญจานั้นก็มีปราสาททรงจัตุรมุขประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้หล่อขึ้นและอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาสแห่งนี้
ภายในพระอุโบสถก็ยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกหลายองค์เช่น พระนิรันตราย พระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 4 ซึ่งโปรดฯ ให้หล่อขึ้นปีละองค์และอัญเชิญไปประดิษฐานตามวัดธรรมยุติกนิกาย รวมถึงที่วัดเทพศิรินทร์ฯด้วย อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ฉลองพระองค์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีนาถ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจันทรมณฑลโสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกษัตริย์
นอกจากพระพุทธรูปจะงามแล้ว ที่วัดเทพศิรินทร์ฯก็ยังมีพระสงฆ์ที่มีจริยวัตรงดงาม แม้ท่านจะมรณภาพไปแล้ว ก็ยังเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนมาจนปัจจุบัน นั่นก็คือท่านเจ้าคุณนรฯ หรือพระยานรรัตนราชมานิต ต้นห้องใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยท่านได้บวชหน้าไฟที่วัดเทพศิรินทร์ฯ ถวายเป็นพระราชกุศลเมื่อรัชกาลที่ 6 เสด็จสวรรคต และไม่สึกอีกเลยตราบจนมรณภาพ ผู้คนยกย่องท่านว่าเป็นพระอริยสงฆ์ที่เคร่งครัดในศีลจารวัตรธรรมวินัย จึงมีผู้คนเคารพศรัทธาแม้เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วเกือบ 40 ปี
"วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม" เป็นวัดที่เล็กที่สุดในกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่เพียง 2 ไร่ 3 งาน 10 วา เท่านั้นเอง แม้จะมีขนาดเล็กมากๆ แต่ก็มีความสำคัญตรงที่เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 4 ซึ่งพระองค์โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นด้วยเหตุผลตามโบราณราชประเพณีที่ถือกันว่า เมืองหลวงจะต้องมีวัดสำคัญ 3 วัด ด้วยกัน คือวัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดราชประดิษฐ์ ขณะนั้นกรุงรัตนโกสินทร์ยังขาดเพียงวัดราชประดิษฐ์ พระองค์จึงโปรดฯ ให้สร้างขึ้น อีกทั้งพระองค์ยังทรงมีพระราชประสงค์จะสร้างวัดธรรมยุติกนิกายขึ้นใกล้กับพระบรมมหาราชวังอีกด้วย
สิ่งก่อสร้างที่สำคัญภายในวัดนี้นั้นตั้งอยู่บนฐานไพทีทั้งหมด คือพระวิหาร พระปาสาณเจดีย์ หอไตร ปราสาทพระจอม สำหรับพระวิหารนั้นทำหน้าที่เป็นพระอุโบสถด้วย ภายในมีพระประธานนามว่า "พระพุทธสิหังคปฏิมากร" ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดไม่ใหญ่นักพอเหมาะกับพระวิหาร ประดิษฐานอยู่ในบุษบก โดยรัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้สร้างจำลองขึ้นจากพระพุทธสิหิงค์ พระพุทธรูปที่พระองค์ทรงโปรดในพุทธลักษณะอันงดงาม รวมทั้งมีพระราชศรัทธาเป็นพิเศษ อีกทั้งเบื้องหลังพระประธานก็ยังมีบุษบกน้อยอีก 3 องค์ที่จำลองเอาพระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระพุทธชินราชมาไว้ด้วย
และที่เบื้องหน้าพระประธานจะมีครอบแก้วเล็กๆ มีพระพุทธรูปอยู่ภายใน นั่นก็คือพระนิรันตราย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่หล่อด้วยทองคำ มีผู้ขุดพบแล้วนำมาถวายรัชกาลที่ 4 พระองค์ได้ทรงนำมาเก็บรักษาไว้ ณ หอเสถียรธรรมปริตร และได้มีผู้ร้ายเข้ามาขโมยของในหอนี้ แต่ไม่ได้นำพระองค์นี้ไป พระองค์ทรงเห็นว่าพระพุทธรูปองค์นี้พ้นอันตรายมาสองครั้งแล้ว คือผู้ขุดก็ไม่ทำอันตราย และผู้ร้ายก็ไม่ลักไป จึงได้ขนานนามพระองค์นี้ว่าพระนิรันตราย และได้หล่อพระพุทธรูปนี้ขึ้นอีก 18 องค์ เท่าจำนวนปีที่เสวยราชย์ เพื่อถวายเป็นที่ระลึกแก่วัดในธรรมยุติกนิกาย ซึ่งก็รวมถึงวัดราชประดิษฐ์ฯนี้ด้วยเช่นกัน
"วัดมหรรณพาราม" เป็นวัดที่มีกลิ่นอายของวัดในสมัยรัชกาลที่ 3 คือเป็นวัดที่มีรูปแบบคล้ายสถาปัตยกรรมจีน ที่ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ โดยพระองค์เจ้าอรรณพ พระราชโอรสในสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ได้ทรงสร้างวัดนี้ขึ้น และได้ทรงรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ทางเมืองเหนือเสาะหาพระพุทธรูปใหญ่มาประดิษฐานเป็นพระประธาน เมื่อทรงพบพระพุทธรูปถูกใจก็ทรงรับสั่งให้อัญเชิญลงมายังกรุงเทพฯ แต่น่าเสียดายที่การเดินทางนั้นล่าช้า ไม่ทันกับงานฉลองพระอุโบสถและผูกพัทธสีมา พระพุทธรูปองค์นั้นจึงได้มาประดิษฐานอยู่ในพระวิหารแทน
พระพุทธรูปองค์ที่ว่านี้ก็คือหลวงพ่อพระร่วง เป็นพระสมัยสุโขทัยที่มีความงามอย่างยิ่ง พระพักตร์อิ่มเอิบมองดูแล้วเหมือนยิ้มนิดๆ นิ้วพระหัตถ์เรียวงาม อีกทั้งยังเป็นพระพุทธรูปทองคำที่กรมศิลปากรเคยมาพิสูจน์แล้วลงความเห็นว่าเป็นเนื้อทองคำถึงประมาณ 60% เลยทีเดียว
นอกจากนั้นภายในวัดก็ยังมีพระเจดีย์ทองที่รัชกาลที่ 4 ทรงสร้างขึ้น อยู่ด้านหลังพระอุโบสถ ด้านบนยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ส่วนด้านล่างเป็นที่บรรจุอัฐิของเจ้าอาวาสในอดีตอีกด้วย
และพระงามวัดสุดท้าย คือที่ "วัดสุทัศนเทพวราราม" ที่เป็นวัดที่ได้ชื่อว่ามีการจัดผังวัดได้งามที่สุดในรัตนโกสินทร์เลยทีเดียว และนอกจากนั้นก็ยังมีพระพุทธรูปงดงามอย่าง "พระศรีศากยมุนี" ซึ่งเป็นพระประธานในพระวิหารหลวง พระพุทธรูปองค์นี้แต่เดิมประดิษฐานอยู่ในพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย จึงถือเป็นพระพุทธรูปสำคัญมาตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันเลยทีเดียว ขึ้นชื่อว่าเป็นพระในสมัยสุโขทัย อีกทั้งยังเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองแล้ว ความงดงามของพระองค์นี้จึงไม่ต้องพูดถึงเลยทีเดียว
หากใครได้เข้ามากราบพระในพระวิหารแล้ว ก็อย่าลืมเดินอ้อมมาด้านหลัง เพื่อชมแผ่นหินแกะสลักสมัยทวารวดี มีอายุกว่า 1,000 ปีแล้ว แผ่นหินนี้แกะสลักเป็นภาพนูนต่ำเป็นเรื่องราวตอนที่พระพุทธเจ้าเทศนาโปรดพระพุทธมารดาและแสดงยมกปาฏิหาริย์
และนอกจากพระวิหารแล้ว ก็ควรไปกราบพระประธานในพระอุโบสถด้วยเช่นกัน โดยพระอุโบสถของวัดสุทัศน์ฯนี้ถือเป็นพระอุโบสถที่ยาวที่สุดในประเทศ และในพระอุโบสถนั้นมี "พระพุทธตรีโลกเชษฐ์" เป็นพระประธานที่หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีสูง เบื้องหน้ามีพระอสีติมหาสาวก 80 องค์ นั่งพนมมือเหมือนกำลังฟังพระบรมโอวาทจากพระพุทธองค์ซึ่งประทับเป็นประธานตรงกลาง ดูงามสง่าไม่น้อยเลยทีเดียว
และนี่ก็คือพระงามทั้ง 5 วัดในกรุงเทพฯ ซึ่งถือเป็นความงามคู่กับกรุงรัตนโกสินทร์อย่างแท้จริง
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ 69 ถนนพระราม 5 แขวงจิตรลดา เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300 โทร.0-2282-2667, 0-2281-7825, 0-2282-5591 เวลาเปิดปิด 8.00-17.00 น. ชาวต่างชาติมีค่าธรรมเนียมเข้าชมคนละ 20 บาท
วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ 423 ถนนหลวง แขวงยศเส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร 10100 อยู่ใกล้สะพานกษัตริย์ศึก สอบถามรายละเอียดโทร.0-2221-8877, 0-2222-0700
วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ข้างเสาชิงช้า เขตพระนคร บริเวณวัดเปิดให้เข้าชมทุกวัน 08.30-21.00 น. โบสถ์เปิดทุกวัน 9.00-16.00 น. วิหารหลวงเปิดทุกวัน 9.00-21.00 น. ชาวต่างชาติเสีย 20 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 0-2224-9845,0-2222-9632
วัดมหรรณพาราม ตั้งอยู่ที่ถนนตะนาว แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร กรุงเทพฯ เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00-17.00 น. โทร.0-2224-1811
วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ถนนสราญรมณ์ แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 สอบถามรายละเอียดโทร.0-2622-1030