ช่วงปลายฝนต้นหนาวแบบนี้ อารมณ์อยากเที่ยวคงบังเกิดกับใครหลายๆ คน แน่นอนว่ารวมทั้งตัว “ผู้จัดการท่องเที่ยว” เองด้วย และจุดหมายปลายทางในทริปนี้ก็คือ จังหวัดกาญจนบุรี ดินแดนแห่งพลอย น้ำตก และแพ
ถึงแม้ว่าในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีงานสัปดาห์สะพานข้ามแม่น้ำแควก็ตาม แต่ด้วยความที่ไม่ชอบเบียดเสียดกับผู้คนมากมาย ก็เลยต้องไปเที่ยวในวันธรรมดาที่คนทั่วไปเขาทำงานกัน
ตอนเช้า “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ออกเดินทางตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ฉายแสงเต็มที่เท่าไหร่ กะว่าไปถึงเมืองกาญจน์ไม่สายมากนัก
สถานที่หนึ่งที่ต้องไปให้ได้ถ้ามาถึงแล้ว ก็คือ "สะพานข้ามแม่น้ำแคว" สะพานประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นเกณฑ์มา ถึงแม้ว่าช่วงที่กำลังสร้างสะพานและทางรถไฟอยู่นั้นจะมีเชลยเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก แต่ทุกวันนี้ สะพานข้ามแม่น้ำแควได้กลายมาเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อเตือนใจคนรุ่นหลังให้คิดถึงความสูญเสียจากสงครามได้เป็นอย่างดี
แดดเริ่มร้อนแรงขึ้นทุกที แวะหลบร้อนแถวๆ ร้านค้าพลอยที่อยู่ละแวกนั้น เดินดูไปเรื่อยๆ ก็ชื่นใจดี ถึงแม้จะไม่มีเงินซื้อก็ตาม
ออกจากตัวเมืองมาทางอำเภอไทรโยคอีกประมาณ 20 กิโล ก็จะถึง “อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์” สารภาพตามตรงเลยว่าผิดจากที่คิดไว้มาก ก่อนจะมาฉันคิดไว้ว่าคงจะร้อนมากๆ เหมือนกับตอนไปปราสาทของแถวอีสานใต้ แต่ที่นี่แตกต่างไปอย่างมาก ถึงมากที่สุด ร่มรื่น ร่มเย็น สวย สงบ สะอาด เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ มีสายลมพัดให้เย็นชื่นใจ
อุทยานประวัติศาสตร์เมืองสิงห์มีศิลปะการก่อสร้างอยู่ในยุคลพบุรีตอนปลาย รูปแบบสถาปัตยกรรมและประติมากรรมสร้างตามลักษณะขอมแบบบายน ในส่วนของนักท่องเที่ยว นอกจากจะเข้ามาชมตัวปราสาทแล้ว ก็ยังมีอาคารแสดงวัตถุโบราณ และแผนผังจำลองบริเวณอุทยานฯ รวมถึงหลุมขุดค้นให้เลือกศึกษาอีกด้วย
มาถึงเมืองกาญจน์ ถ้าไม่ได้ไปน้ำตกก็คงไม่ได้บรรยากาศเท่าไรนัก “ผู้จัดการท่องเที่ยว” เดินทางมาที่ “น้ำตกเอราวัณ” น้ำตกชื่อดังของเมืองกาญจน์ที่ใครๆก็ต้องแวะมาเที่ยว
น้ำตกเอราวัณ อยู่ในอุทยานแห่งชาติเอราวัณ ที่อำเภอศรีสวัสดิ์ ตัวน้ำตกแบ่งเป็น 7 ชั้น มีชื่อที่คล้องจองและเรียงตามลำดับไหล่ดังนี้ ไหลคืนรัง – วังมัจฉา – ผาน้ำตก – อกผีเสื้อ – เบื่อไม่ลง – ดงพฤกษา – ภูผาเอราวัณ
ที่นี่ ถึงแม้จะเป็นวันธรรมดา แต่ก็มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะพอสมควร บรรยากาศโดยรอบก็เย็นสบาย สมกับเป็นน้ำตกชื่อดังเลยทีเดียว แอบแนะนำเล็กน้อยสำหรับคนที่จะนำอาหารเข้าไปรับประทาน เจ้าหน้าที่อนุญาตให้นำเข้าไปได้แค่น้ำตกชั้นที่ 2 เท่านั้น อีกเรื่องก็คือ ระวังของที่ถือติดมือเข้าไปไว้ให้ดี ไม่ว่าจะเป็นของกินหรือไม่ก็ตาม ถ้ามันเกิดไปถูกตาต้องใจเจ้าลิงหน้าขาวเข้า ของของคุณก็อาจจะถูกฉกไปได้อย่างง่ายดายภายในพริบตาเดียว “ผู้จัดการท่องเที่ยว” เองก็เกือบจะเสียถุงผลไม้ไปแล้ว ดีที่ไหวตัวทันเสียก่อน
ออกจากน้ำตกก็เย็นย่ำ แวะไปดูพระอาทิตย์ตกที่ “เขื่อนศรีนครินทร์” กันหน่อยก่อนจะเข้าที่พัก บรรยากาศยามเย็นนี่ช่างโรแมนติคเหมาะกับการไปกระหนุงกระหนิงกับแฟนเสียจริง
ตื่นเช้ามาอากาศยามเช้าก็แสนสบายไม่แพ้ตอนเย็น อากาศดีๆอย่างนี้ช่างเหมาะกับจุดหมายที่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” จะไปในวันนี้เสียจริง นั่นก็คือที่ “โรงถ่ายทำภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ที่ตั้งอยู่ในกองพลทหารราบที่ 9 ค่ายสุรสีห์ ต.ลาดหญ้า อ.เมือง
อันที่จริง จะว่าโรงถ่ายฯ เป็นจุดมุ่งหมายหลักของทริปนี้เลยก็ว่าได้ เพราะในภาพยนตร์ที่ออกฉายมาสองภาคแล้วนั้น “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ได้เห็นถึงความอลังการของฉาก ทั้งของไทยและพม่า เกิดอาการอยากจะมาเห็นของจริงที่ใช้ถ่ายทำ และวันนี้ก็สำเร็จ
มีคนเคยแนะนำว่าน่าจะมาตอนบ่ายแก่ๆ ที่แดดอ่อนแสงลงบ้างแล้ว จะได้เดินดูสบายๆ ไม่ร้อนมากเกินไป แต่ “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ซะอย่าง แม้แดดเมืองกาญจน์จะร้อนแรงเพียงใด ก็สู้ไหวอยู่แล้ว
ซื้อบัตรเรียบร้อยแล้ว อาจจะมานั่งชมวีดิทัศน์แนะนำสถานที่เล็กน้อยก่อนจะไปเดินดู จะได้รู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน แต่ตลอดเส้นทางก็มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำอยู่แล้ว
เข้าไปถึงฉากแรก จะเป็นหมู่บ้านโยเดีย หมู่บ้านที่อยู่ในกรุงหงสาวดี ถัดมาก็เป็นวัดร้าง ที่ที่นัดเจอกันของพระนเรศวรกับมณีจันทร์ ตามมาด้วย วัดมหาเถรคันฉ่อง ที่มีเจดีย์สูงใหญ่สีทองอร่าม ตอนแรกที่เห็นก็นึกว่าเป็นเจดีย์จริงๆ แต่ปรากฏว่าเป็นแค่ฉากในภาพยนตร์เท่านั้นเอง แหม...เหมือนซะขนาดนั้น
ขึ้นไปบนศาลาของวัดก็จะมีพระพุทธรูป ศิลปะแบบมอญ และแบบพม่า ส่วนกุฏิของพระมหาเถรคันฉ่องก็จำลองมาจนเหมือนเป็นของจริง และปิดท้ายที่วัดนี้ด้วยห้องเก็บศาสตราวุธ ซึ่งเป็นที่เก็บพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงอันโด่งดังในภาพยนตร์ภาคที่สอง
สิ่งที่สำคัญที่สุดในเมืองหงสาวดีก็คงจะหนีไม่พ้นสิงห์คู่ตัวโต พระราชวัง และสีหสาสนบัลลังก์ในท้องพระโรงใหญ่ ที่อลังการงานสร้าง ทองอร่ามมากกว่าของจริง (ที่เหลืออยู่) ที่เป็นต้นแบบเสียอีก เจ้าหน้าที่ประจำจุดนี้เล่าให้ฟังถึงวิธีการทำทองลวดลายฉลุที่ประดับตามเสาว่า ที่เห็นแปะไว้ตามเสานี่คือโฟม แต่ไม่ใช่โฟมทั่วไปที่ใช้กัน วิธีทำก็ต้องใช้ขี้ผึ้งมาทำเป็นบล็อกก่อน แล้วค่อยเทโฟมลงไป รอให้แห้ง ถึงจะนำมาประดับประดาได้ ส่วนสาเหตุที่ใช้เป็นโฟม เพราะในการถ่ายทำก็ต้องมีบางส่วนที่ชำรุดเสียหาย ไม่ได้ทำเพียงชุดเดียวแล้วใช้ได้ตลอดไป เป็นการประหยัดเวลาและแรงงานในการทำมากกว่าที่จะแกะสลักไม้จริงๆ
แอบกระซิบถามคุณเจ้าหน้าที่ว่าจะได้ชมภาคที่สามกันเมื่อไหร่ คำตอบก็คือ น่าจะเป็นประมาณกลางปีหน้า เพราะท่านมุ้ยก็พยายามเร่งถ่ายทำอยู่ ตอนนี้ถ่ายทำเสร็จไปแล้วหกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ถึงจะนานกว่านี้ก็ยังอยากรอต่อไปอยู่ดี หนังดีๆ ที่ทุ่มทุนสร้างขนาดนี้หาดูได้บ่อยเสียที่ไหน
ออกจากเมืองหงสาวดีแล้วก็นั่งรถไฟฟ้าต่อไปที่กรุงศรีอยุธยา มีทั้งหมู่บ้าน วัด ตลาด และที่สำคัญคือ พระที่นั่งสรรเพชรปราสาท ซึ่งดูจะแตกต่างจากฝั่งพม่าก็ตรงที่เป็นสีทองและสีแดง ไม่ใช่สีทองอย่างเดียวเหมือนสีหสาสนบัลลังก์ ปัจจุบันนี้พระที่นั่งสรรเพชรปราสาทองค์จริงไม่มีเหลืออยู่แล้ว ฉากที่สร้างขึ้นก็ใช้ข้อมูลจากเมืองโบราณ
ในฝั่งไทย “ผู้จัดการท่องเที่ยว” ตามไปดูช้างไทยแท้ๆ ช้างของที่นี่ นอกจากจะนำมาเข้าฉากแล้วก็ยังมีหน้าที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว คอยโพสท่าถ่ายรูป ข่าวดีที่น่าจะมีในปีหน้าก็คือ จะมีลูกช้างเกิดใหม่สองตัว จากแม่สองตัวที่ตอนนี้อุ้มท้อง 8 เดือน สงสัยจะเป็นท้องสาวเลยยังมองไม่เห็น และฉันก็นึกว่าคงไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า คงจะได้เห็นลูกช้างแล้ว ปรากฏว่าช้างอุ้มท้องสองปี กว่าจะคลอดก็คงปลายปีหน้า
ก่อนออกจากฉากถ่ายทำ นอกจากจะมีร้านขายของที่ระลึกแล้ว ก็ยังมีสตูดิโอที่ใช้ถ่ายทำจริง และใช้เป็นฉากถ่ายรูปของนักท่องเที่ยวด้วย จะเลือกเป็นฝั่งไทยฝั่งพม่า หรือเป็นทหาร เป็นเจ้าหญิงก็ตามสบาย มีเจ้าหน้าที่ช่วยแต่งตัวให้เรียบร้อย ได้ภาพที่ระลึก 1 ใบ พร้อมกับ CD เก็บกลับไปบ้านอีกหนึ่งแผ่น
นับว่าเมืองกาญจน์มีที่เที่ยวหลากหลายแบบ ทั้งที่เที่ยวธรรมชาติอย่างน้ำตก ที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ และที่ท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น ที่สบายใจอีกอย่างคือการมาท่องเที่ยววันธรรมดาก็ดีแบบนี้แหละ คนไม่เยอะ รถไม่ติด ไม่ต้องแย่งกันกิน แย่งกันใช้ แย่งกันนอน
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สอบถามรายละเอียดการท่องเที่ยวได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานจังหวัดกาญจนบุรี โทรศัพท์.0-3451-1200, 0-3451-2500
การเดินทาง ที่พัก ร้านอาหาร
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
ผจญป่าฝ่าสายน้ำที่"กาญจนบุรี" ทริปนี้เหนื่อย-เปียก แต่มันสะใจ
เสน่ห์แห่งสังขละ เมืองบาดาล กลางสายน้ำ