xs
xsm
sm
md
lg

สวัสดีอินโด(จบ) : “ปรัมมานัน” มหัศจรรย์วิหารฮินดู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : เหล็งฮู้ชง
ปรัมบานัน วิหารฮินดูสุดอลังการ
เมือง“ยอกยาการ์ตา” (ยอกยา) ประเทศอินโดนีเซีย ได้ชื่อว่าเป็น “อู่วัฒนธรรมชวา” เพราะเป็นศูนย์กลางทางศิลปวัฒนธรรมสำคัญของชวา นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนเมืองนี้ สามารถสัมผัสกับศิลปวัฒนธรรมอินโดนีเซียทั้งเก่าใหม่ได้ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น สิ่งก่อสร้าง บ้านเรือน วัฒนธรรมการทำบาติกหรือผ้าปาเต๊ะ การแสดงปี่พาทย์ชวา การแสดงนาฏศิลป์ชวาเรื่องรามายณะและมหาภารตะ

ด้านคนไทยผู้มีวัฒนธรรมช้อปปิ้งติดอันดับต้นๆของโลกนั้น หากไปเยือนยอกยา ถ้าอยากจะช้อปปิ้งต้องไปนี่เลย“ถนนมาลิโอโบโร” (Malioboro) ถนนสายนี้เป็นย่านธุรกิจหลักและแหล่งจับจ่ายขึ้นชื่อแห่งยอกยามีสินค้ามากหลายสารพัดสารพันให้เลือกช้อปกัน
ส่วนหน้าของวังสุลต่าน
จากมาลิโอโบโรถ้าตรงไปผ่านถนน Jend A Yani ก็จะเป็นที่ตั้งของ Kraton ซึ่งเป็นจุดหมายแรกของการเที่ยวเช้าวันสุดท้ายในทริปตะลุยอินโดนีเซียครั้งนี้

สีสันยอกยา

Kraton หรือพระราชวังสุลต่านเมืองยอกยา เป็นที่อยู่ของสุลต่านฮาเม็งกู บูวอนอ(Hamengku Buwono) ที่ 1-10 เปิดให้เข้าชมบางจุด โดดเด่นไปด้วยสถาปัตยกรรมแบชวา ภายในมีสิ่งที่น่าสนใจอย่างพิพิธภัณฑ์ โถงแสดงดนตรีที่นับรวมอายุนักดนตรีทั้งวงแล้วน่าจะเกินพันปีขึ้นไป ส่วนจัดแสดงเรื่องราวของสุลต่านแต่ละองค์ รวมถึงการแต่งกายของผู้ดูแลวังที่แม้แต่ละคนจะเข้าสู่วัยอาวุโสแต่ว่าก็ดูน่าเลื่อมใสอยู่ในที โดยเฉพาะเหล่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายชายที่ดูเท่มากด้วยชุดลวดลายเป็นเอกลักษณ์และกริชเล่มงามที่เหน็บไว้ด้านหลัง
สระน้ำในตามันซารี
จาก Kraton คณะเราไปต่อยัง ตามันซารี(Taman Sari)ที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 1 กม. สถานที่แห่งนี้โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมยุโรปผสมชวา สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1758 โดยสุลต่านฮาเม็งกู บูวอนอที่ 1 เพื่อเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจและสวนหย่อมสำหรับครอบครัวสุลต่าน ภายในมีสิ่งก่อสร้างน่าสนใจอย่าง ทะเลสาบจำลอง หอทำสมาธิ สระนอกสำหรับพระสนม สระในสำหรับพระพนมที่คัดสรรเป็นพิเศษ
ตลาดนก
หลังชมตามันซารี เป็นที่เพลิดเพลินแล้ว คุณไกด์พาเราไปเดินสัมผัสบรรยากาศของโบสถ์ใต้ดิน ก่อนโผล่ขึ้นบนดิน(อีกครั้ง) ออกไปชมสีสันตลาดนกที่ชาวบ้านนำนกสารพัดมาซื้อขายกัน มีทั้งนกสำหรับกิน นกสวยงาม นกเลี้ยงเสียงเพราะ รวมถึงกรงและอาหารนกอีกเพียบ นับเป็นสีสันแห่งวันในช่วงเช้าของเมืองยอกยาที่ดูแล้วเพลินตาไม่น้อยเลย
จันทิพระอิศวร(องค์กลาง)สูงใหญ่ที่สุดในหมู่จันทิแห่งปรัมบานัน
อลังการ ปรัมบานัน

ช่วงบ่ายกับโปรแกรมสุดท้ายก่อนล่ำลาอินโดนีเซีย คณะเราไปเที่ยวปิดท้ายแบบไว้ลายยอกยาด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจกันที่ วิหารปรัมบานัน(Prambanan)หรือวัดปรัมบานันหรือจันทิปรัมบานัน (Candi : ปราสาทหรือเทวาลัย) ที่ความสำคัญและความยิ่งใหญ่ที่ดูน่าอัศจรรย์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ามหาเจดีย์บุโรพุทโธ
จันทิองค์เล็กไม่กี่องค์ที่หลงเหลืออยู่ที่ปรัมบานัน
ปรัมบานัน ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านปรัมบานัน เป็นเทวสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยชวาภาคกลาง ราว ค.ศ.ที่ 10 โดยพระเจ้าบาลีตุง แต่จากหนังสือประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ ดี จี ฮอลล์ กล่าวว่า ผู้สร้างปรัมบานันน่าจะเป็นพระเจ้าทักษากษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งสมัยชวาภาคกลาง ส่วนเหตุที่สร้างนั้นสันนิษฐานว่า สิ่งก่อสร้างทั้งหมดในเทวาลัยแห่งนี้น่าจะสร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานบรรจุพระศพของกษัตริย์และสมาชิกในพระราชวงศ์

ทว่าหลังจากอีกไม่นานปรัมบานันก็ถูกละทิ้งและเสื่อมลงในเวลาต่อมา จนมาในยุคปัจจุบันปรัมบานันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกใน ปี ค.ศ. 1991
มุมมองจันทิหลักผ่านเจดีย์กลีบมะเฟือง
ปี ค.ศ. 2006 เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่บนเกาะชวา สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับปรัมบานัน อาคารหลายแห่งโดยเฉพาะเทวาลัยขนาดเล็กที่อยู่รายรอบนั้นพังทลายเสียหายหนักจนต้องผิดซ่อมแซมไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าชม แต่ว่าปัจจุบันปรัมบานันเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้อีกครั้ง

ปรัมบานันมีชื่อเรียกขาน(ภาษาถิ่น)อีกอย่างหนึ่งว่า “โลโรจงกรัง” มีที่มาจากตำนานพื้นบ้าน ที่ว่ากันว่าโลโรจงกรังเป็นเจ้าหญิงแสนงาม(โลโรจงกรังภาษาถิ่นหมายถึงหญิงสาวร่างอรชร) จึงมียักษ์มาขอแต่งงาน เจ้าหญิงไม่กล้าปฏิเสธ แต่ทรงขอให้ยักษ์สร้างจันทิให้ได้ 1 พันหลังถึงจะแต่งงานด้วย ยักษ์จึงใช้เวทย์มนต์สร้างจันทิจนเกือบจะเสร็จสิ้น ส่วนเจ้าหญิงก็ใช้เวทมนต์ทำลายจันทิเหล่านั้นเพราะไม่ต้องการแต่งงานด้วย ทำให้ยักษ์โกรธจัดจึงสาปเจ้าหญิงให้กลายเป็นหินแล้วนำรูปมาทำประติมากรรมประดิษฐานอยู่ในปนัมบานันแห่งนี้ ซึ่งชาวบ้านเรียกขานกันว่า“รูปโลโรจงกรัง”
จันทิพาหนะทรงของเทพ
สำหรับความยิ่งใหญ่ของจันทิปรัมบานันนั้น แรกที่ประสบพบเจอก็ทำเอาผมถึงกับอึ้ง ตะลึงงันแล้ว เพราะมันช่างดูอลังการดีแท้ แม้เหล่าจันทิเล็กๆรอบนอกจันทิหลักที่สร้างเรียงเป็น 4 แถวจำนวน 224 หลังส่วนใหญ่จะถูกฤทธิ์เดชของแผ่นดินไหวทำพังทลายเหลือแต่ซาก แต่ว่าก็ยังทิ้งร่องรอยความยิ่งใหญ่ไว้ให้เห็น ยิ่งถ้าทางยูเนสโกบูรณะพลิกฟื้นซากจันทิเหล่านั้นขึ้นมาเป็นรูปร่างได้อีกครั้ง รับรองว่าจะยิ่งเพิ่มความยิ่งใหญ่อลังการของปรัมบานันให้ขึ้นชั้นสู่ตำแหน่งความมหาอลังการเลยทีเดียว

ถัดจากจันทิเล็กเข้าไปก็เป็นเขตจันทิหลักที่มีกำแพงสี่เหลี่ยมมีประตูทางเข้าทั้ง 4 ทิศ รอบล้อม ภายในกำแพงโดดเด่นไปด้วยจันทิขนาดใหญ่ 3 หลัง ที่ล้วนหันหน้าไปทางทิศตะวันออก เชื่อกันว่า จันทิองค์กลางที่ใหญ่ที่สุดเด่นที่สุดและสูงที่สุดถึง 47 เมตรนั้นสร้างถวายแด่พระอิศวร มีห้องกลางประดิษฐานรูปพระอิศวร และห้องเล็กๆประดิษฐานรูปพระคเณศวรทางทิศตะวันตก ประดิษฐานรูปพระอิศวรปางมหาโยคีทางห้องทิศใต้ ประดิษฐานรูปนางทุรคาในห้องทิศเหนือ ซึ่งคนพื้นถิ่นเชื่อว่านี่น่าจะเป็นรูปโลโรจงกรัง ส่วนจันทิฝั่งทิศเหนือสร้างแด่พระนารายณ์ และฝั่งทิศใต้สร้างแด่พระพรหม
หนึ่งในรูปสลักแห่งปรัมบานัน
ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามจันทิพระอิศวรเป็นจันทิขนาดย่อม สันนิษฐานว่าเป็นจันทิพาหนะทรงของเทพทั้ง 3 คือโคนนที(พระศิวะ) หงส์(พระพรหม) และครุฑ(พระนารายณ์) แต่ปัจจุบันเหลือเพียงโคนนทีเท่านั้น

อนึ่งเหล่าจันทิหลักในเขตกำแพงนั้นจะมีรูปทรงคล้ายกัน มีเจดีย์ทรงกลีบมะเฟืองอิทธิพลศิลปะอินเดียเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญ จันทิบางหลังสามารถขึ้นไปชมภายในและภาพสลักรอบข้างได้ แต่บางหลังก็ขึ้นไม่ได้เพราะอยู่ช่วงการบูรณะ แต่ก็สามารถเดินชมลวดลายสลักต่างๆจำนวนมากได้โดยรอบ ซึ่งลวดลายส่วนใหญ่จะสลักเป็นเรื่องราวรามายณะ วิถีพื้นบ้าน เทพ เทพี โยคี ฤาษี และสัตว์ในเทพนิยายของฮินดู
เจดีย์ทรงกลีบมะเฟืององค์ประกอบสำคัญของจันทิต่างๆ
นอกจากนี้ก็ยังมีลวดลายที่เป็นแบบฉบับของปรัมบานันโดยเฉพาะ อาทิ ซุ้มรูปสิงห์ที่มีต้นกัลปพฤกษ์อยู่ทั้ง 2 ข้าง และมีรูปกินนรนั่งอยู่ 2 ข้างของต้นกัลปพฤกษ์แต่ละต้น รูปต้นกัลปพฤกษ์มีนกอยู่ 2 ข้าง รูปยักษ์จมูกโตหน้าคล้ายคน รูปหน้ากาลหัวมังกร เป็นต้น

สำหรับแล้วผมการได้ชมปรัมบานันปิดท้ายการเที่ยวอินโดทริปนี้นั้นถือเป็นความตื่นตาอย่างยิ่งยวด ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างอันน่าอัศจรรย์ที่แสดงให้เห็นถึงพลังการสร้างสรรค์และพลังแห่งศรัทธาของมนุษยชาติ แต่ถึงกระนั้นผลงานอันน่าอัศจรรย์ใจของมนุษย์อย่างปรัมบานันก็ยังต้องแพ้พ่ายต่อแผ่นดินไหวจนเป็นเหตุให้จันทิแห่งนี้พังทลายเสียหายเป็นจำนวนมาก ซึ่งหากลองมองอย่างพินิจพิเคราะห์ก็จะพบว่า

แม้มนุษย์จะมีความสามารถที่น่ามหัศจรรย์แค่ไหน แต่สุดท้ายธรรมชาติก็ยังคงน่าอัศจรรย์และยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์อยู่ดี

*****************************************
รูปสลักเทพี
เมืองยอกยาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย นอกจากจะมีสถานที่ท่องเที่ยวตามที่กล่าวมาแล้วยังมี เดียงพลาโตและบุโรพุทโธ เป็นอีก2 สถานที่น่าสนใจ ซึ่งผู้สนใจเที่ยวยอกยาการ์ต้าในแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้ พร้อมสิ่งน่าสนใจอื่นๆ และเที่ยวชมพูเขาไฟโบรโม่ในเมืองสุราบายา สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ บริษัท“ทรอปิคอล สตาร์ ทราเวล” โทร.0-2513-4913,0-2513-4996 ต่อ 108,08-0088-1876 และสามารถสอบถามเที่ยวบินจากเมืองไทยสู่อินโดซีเซียและเที่ยวบินในประเทศอินโดได้ที่ สายการบินการูด้า โทร.0-2285-6470-3
กำลังโหลดความคิดเห็น