โดย : เหล็งฮู้ชง
“อินโดนีเซีย” ประเทศนี้นอกจากจะมีเกาะเยอะที่สุดในโลกแล้ว อินโดยังเป็นประเทศที่มีภูเขาไฟเยอะที่สุดในโลกอีกด้วย แถมภูเขาไฟหลายลูกยังสวยงามปานเนรมิต ชนิดที่ใครได้เห็นต่างก็อดตะลึงพรึงเพริศแพร้วไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เมื่อทางบริษัท “ทรอปิคอล สตาร์ ทราเวล” จัดทริปตะลุยอินโด เที่ยวปีนภูเขาไฟ(ลูกหนึ่งในอินโด)พร้อมนำชมสิ่งน่าสนใจอื่นๆ ผมจึงไม่รีรอเลือกติดสอยร่วมทริปไปกับเขาด้วย
จากเมืองไทยคณะเราเหินฟ้าสู่อินโดด้วยสายการบิน“การูด้า” สู่เมืองหลวง“กรุงจาการ์ต้า”ในเกาะชวาแล้วต่อเครื่องในประเทศ(สายการบินเดียวกัน) สู่เมือง“สุราบายา”เมืองท่าเรือสำคัญและเมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดรองจากจาการ์ต้า
จากตัวเมืองสุราบายาเราเดินทางต่อด้วยรถตู้อีกราว 4 ชั่วโมงสู่หมู่บ้านเซอโมโรลาวัง(Cemorolawang) ในเขตสุกาปุระ(Sukapura) เมืองโพรโบลิงโก(Probolinggo) เพื่อลุ้นระทึกไปกับการปีนภูเขาไฟในดินแดนแถบนี้ โดยระหว่างการเดินทางนั้น ผมสดับรับรู้ได้ว่าวิถีการจราจรในอินโดนั้นสุดยอดจริงๆ บรรดาสารถีพวกเล่นขับรถกันแบบปรู๊ดปร๊าด แซงซ้าย แซงขวา บีบแตรปู๊นป๊านลั่นถนน ชนิดรถเมล์เล็กจอมซ่าบ้านเราต้องชิดซ้าย แต่ประทานโทษสำหรับที่นี่ พวกเขาเคยชินเป็นปกติ ไม่มีน้ำโห ไม่แสดงอารมณ์ขุ่นมัวให้เห็น ผิดกับบ้านเราที่หากขับรถกันแบบนี้ รับรองได้มีการฟาดปากกันเต็มท้องถนนแน่
ผมนั่งชมวิวข้างทาง ลุ้นระทึกกับคนขับ พร้อมสดับรับฟังเสียงแตรที่รัวถี่ จนรูหูเริ่มชิน หนังตาเริ่มหย่อน จากนั้นก็ม่อยหลับไปพร้อมๆกับเสียงแตรที่ขับกล่อม ก่อนมารู้สึกตัวตื่นอีกทีเมื่อรถแล่นเข้าสู่เมืองโพรโบลิงโก แล้วขับไต่ระดับความสูงไปบนถนนที่คดเคี้ยวขึ้นสู่เขตแดนสุกาปุระ
อากาศบนนี้เย็นขึ้นมาจับจิตผิดกับในตัวเมืองลิบลับ ยิ่งบริเวณที่พักโรงแรม“ลาวา วิว ลอ์ด” นี่ อากาศบนไม่เรียกว่าเย็นแล้ว แต่ต้องเรียกว่าหนาวเอาเรื่อง เพราะตั้งอยู่บนความสูงกว่า 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถามยังอยู่บนยอดเขาโล่งโจ้งที่มีลมโกรกต่อเนื่องอีกต่างหาก
แต่ถึงจะหนาวเหน็บแต่วิวบนนี้ก็สวยไม่หยอกฟากหนึ่งมองลงไปเห็นหมู่บ้านเบื้องล่าง อีกฟากหนึ่งมองลงไปเห็นวิวภูเขาไฟ 3 ลูก ตั้งตระหง่าน ซึ่งนั่นแหละคือดินแดนไฮไลท์ที่ผมจะได้ไปชมและสัมผัสกันอย่างใกล้ชิดในเช้ามืด(มากๆ)ของวันพรุ่งนี้ ส่วนคืนนี้ขอนอนพักกายใต้อากาศหนาวเหน็บเพื่อเก็บแรงไว้ตะลุยกันต่อ
ภูเขาไฟทั้งสาม งดงามปานเนรมิต
ตี 3 ครึ่ง ผมตื่นล้างหน้าล้างตา เพื่อออกไปรวมกับคณะที่โถงโรงแรม ก่อนออกเดินทางด้วยรถจี๊บทรงเท่ 6-8 คน บุกตะลุยฝ่าความมืดขึ้นเขาลงเขา และข้ามเขาไปยังจุดชมวิวบนยอดเขา“พีนันจากัน” บนระดับความสูงราว 2,770 เมตร
ระหว่างทางขอบฟ้าเริ่มเรื่อเรือง เห็นไฟรถจี๊บคันหน้าและคันหลังอยู่ลิบๆ ผมเข้าใจว่าน่าจะมีคนมาเที่ยวแบบเราพอประมาณ แต่ประทานโทษพอไปถึงบริเวณจุดชมวิว โอ้โห นอกจากรถติดเป็นแถวยาว ผู้คนยังขวักไขว่ เพียบแปล้
ที่จุดชมวิวแม้อุดมไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศทั่วโลก ทั้ง ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น แขก อินโด ฯลฯ แต่ผมก็ใช้ความสามารถบวกหน้าตาที่เหมือนเจ้าถิ่น(คนอินโด) แทรกตัวเข้าไปหาจุดเหมาะเหม็งตั้งกล้องเล็งทิวทัศน์เบื้องล่างได้อย่างถนัดถนี่
ครับ หลังเล่ามาตั้งนานผมยังไม่ได้เฉลยเลยว่า ไอ้ที่แหกขี้ตาตื่นก่อนไก่โห่นั้นเขาพามาดูอะไร คำตอบก็คือพามาดูภูเขาไฟ 3 ลูก 3 สไตล์ ที่ผมจะขอสาธยายให้รับรู้กันในบัดเดี๋ยวนี้
ลูกแรกคือ ภูเขาไฟบาตอก(Batok) เป็นภูเขาไฟดับแล้ว มีความสูง 2,440 เมตรจากระดับน้ำทะเล จุดชมวิวมองลงไปจะเห็นลูกแรกก่อนเพื่อนเป็นทรงชามคว่ำ
ลูกที่สอง ภูเขาไฟโบรโม่(Bromo)จากจุดชมวิวจะเห็นอยู่ถัดมาจากภูเขาไฟบาตอกทางซ้ายมือ โบรโม่มีความสูง 2,382 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ยังเป็นภูเขาไฟมีชีวิตหรือภูเขาไฟเป็นๆคือยังไม่ดับ มีควันขาวพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา
ลูกที่สาม ภูเขาไฟซูเมรุ(Sumeru) มีความสูงถึง 3,676 เมตร นับว่าสูงที่สุดในเกาะชวา จากจุดชมวิวจะเห็นไกลสุด เป็นภูเขามีชีวิตและมีมีควันพวยพุ่งสีเทาแล้วเว้นหายสลับกันไปเป็นระยะๆ
และนั่นก็คือคุณสมบัติเด่นๆของภูเขาไฟทั้ง 3 ซึ่งจะว่าไปแค่ภูเขาไฟลูกเดียวนี่ก็น่ามองแล้ว แต่นี่มีถึง 3 ลูก ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน แถมองค์ประกอบรอบข้างก็งดงามทั้งต้นไม้ ทุ่งหญ้า ขุนเขา ยิ่งผสมด้วยแสงแดดเรื่อเรืองยามเช้าและทะเลหมอกที่ไหลลอยอ้อยอิ่งตามเวิ้งเขา ผสมปนเติมเข้าไป ผมสรุปได้คำเดียวว่า ภาพที่เห็นเบื้องหน้านั่นมันช่างงดงามปานเนรมิตเสียนี่กระไร
ย่ำปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่
ฟ้าแจ้งจางปางได้พักใหญ่แล้ว
ถึงเวลาที่เราต้องไปต่อ แต่ยังไม่ได้กลับไปไหนหากแต่เป็นการกลับลงไปเพื่อขึ้นสู่ปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ที่เห็นควันขาวพวยพุ่ง ฟุ้งกระจายอยู่ตลอดเวลา
ภูเขาไฟโบรโม่เป็นหนึ่งในยอดภูเขาไฟบนปล่องภูเขาไฟอีกที เคยระเบิดครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 2004 มีพื้นที่รอบข้างเป็นทะเลทรายสีดำ(สีคล้ำ)อันเกิดจากลาวาและเถ้าภูเขาไฟปกคลุม ซึ่งผมนั่งรถจี๊บตะลุย(แบบทิ้งฝุ่นข้างหลังคละคลุ้ง) กระเด็น กระดอน ไปตามถนนทะเลทรายมุ่งสู่วัดฮินดูที่เห็นอยู่ลิบๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเริ่มต้นขึ้นโบรโม่ ที่มี 2 ทางให้เลือกคือเดินเท้าขึ้นไปประมาณ 2 กม.แล้วเดินขึ้นบันไดต่อหรือขี่ม้าแล้วไปเดินขึ้นบันไดต่อ
งานนี้เลือกอย่างหลังเพราะได้ 2 อารมณ์และค่าขี่ม้า(ไป-กลับ)ไม่แพง ประมาณ 200 บาทไทย จึงไม่รีรอกระโดดขึ้นมาให้เจ้าของเดินกึ่งวิ่งให้ม้าขโยกพาเราไปยังทางขึ้นโบรโม่ แล้วเดินขึ้นบันไดต่อไปอีก 250 ขั้น ที่เรียกเหงื่อให้ซึมได้ไม่น้อยเลย แต่วิวทิวทัศน์ระหว่างทางที่นี่ก็น่ายลไม่เบา เพราะด้านขวาของทางขึ้นเห็นภูเขาไฟบาตอกที่หญ้าขึ้นหรอมแหรมตั้งตระหง่านโดดเด่น
จากนั้นอีกชั่วอึดใจก็มาถึงยังปากปล่องโบรโม่ ที่ด้านหนึ่งเป็นปล่องภูเขาไฟลึกหายลงไป มีควันไฟกลิ่นกำมะถันสีขาวพวยพุ่งคละคลุ้งตลอด
เพื่อนบางคนในทริปบอกว่าเจ้าควันขาวนี่กลิ่นมันคล้ายๆไข่เยี่ยมม้า ส่วนบางคนก็บอกว่ากลิ่นมันตุๆเหมือนกลิ่นผายลมแฮะ
ป๊าดดด...โธ่ เข้าใจคิดกันจัง แต่ไม่ว่าจะกลิ่นคล้ายอะไร ยังไงมันก็ไม่เหม็นเท่ากลิ่นควันจากท่อไอเสียที่พวกคนเมืองสูดดมกันอยู่บ่อยๆ
บนปากปล่องโบรโม่มีทางเดินให้เลียบเคียงเดินเลาะชมบรรยากาศไปเรื่อย ซึ่งแม้เจ้ากลิ่นกำมะถันจะไม่เป็นมิตร แต่ว่านานๆจะได้มีโอกาสสัมผัสกับภูเขาไฟอย่างใกล้ชิดแบบจับต้องได้อย่างนี้ผมจึงใช้เวลาซึมซับความรู้สึกต่างๆไว้ให้นานที่สุด ก่อนจำใจต้องจากลาโบรโม่ลงมาด้วยความรู้สึกเสียดาย พร้อมกับอดทึ่งในความมหัศจรรย์ของภูเขาไฟไม่ได้ว่า
ยามที่มันกราดเกรี้ยว ดุดัน ระเบิดพวยพุ่งลาวาออกมานั้น ภูเขาไฟเจ้าช่างน่ากลัวนัก แต่ยามที่มันพักผ่อนหลับใหล สงบเสงี่ยม นี่ถือว่าตรงกันข้ามราวฟ้ากับเหว โดยเฉพาะเจ้าภูเขาไฟโบรโม่นี่ ไม่เพียงแต่เป็นภูเขาทรงเสน่ห์เท่านั้น หากแต่มัน(โบรโม่)และเพื่อนๆทั้งสอง(บาตอกและซูเมรุ)ยังสร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็นชนิดที่จะติดตรึงตราใจความทรงจำไปอีกนานเท่านาน...(อ่านเที่ยวอินโดต่อตอนหน้า)
*****************************************
*****************************************
ภูเขาไฟโบรโม่ เมืองสุราบายา ประเทศอินโดนีเซีย เป็นภูเขาไฟที่เริ่มเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย เพราะมีทัวร์บางบริษัทเปิดนำเที่ยว โดยหนึ่งในบริษัททัวร์ที่น่าสนใจก็คือ“ทรอปิคอล สตาร์ ทราเวล”(ไทย) เนื่องจากได้จับมือกับ บริษัท “โกบอล แอดเวนเจอร์”(อินโด) จัดกิจกรรมท่องเที่ยวโดยนำรายได้ส่วนหนึ่งมอบเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กผู้ยากไร้ในอินโด ซึ่งผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2513-4913,0-2513-4996 ต่อ 108,08-0088-1876 และสอบถามเที่ยวบินสู่อินโดของสายการบินการูด้าได้ที่ โทร.0-2285-6470-3
“อินโดนีเซีย” ประเทศนี้นอกจากจะมีเกาะเยอะที่สุดในโลกแล้ว อินโดยังเป็นประเทศที่มีภูเขาไฟเยอะที่สุดในโลกอีกด้วย แถมภูเขาไฟหลายลูกยังสวยงามปานเนรมิต ชนิดที่ใครได้เห็นต่างก็อดตะลึงพรึงเพริศแพร้วไม่ได้
ด้วยเหตุนี้เมื่อทางบริษัท “ทรอปิคอล สตาร์ ทราเวล” จัดทริปตะลุยอินโด เที่ยวปีนภูเขาไฟ(ลูกหนึ่งในอินโด)พร้อมนำชมสิ่งน่าสนใจอื่นๆ ผมจึงไม่รีรอเลือกติดสอยร่วมทริปไปกับเขาด้วย
จากเมืองไทยคณะเราเหินฟ้าสู่อินโดด้วยสายการบิน“การูด้า” สู่เมืองหลวง“กรุงจาการ์ต้า”ในเกาะชวาแล้วต่อเครื่องในประเทศ(สายการบินเดียวกัน) สู่เมือง“สุราบายา”เมืองท่าเรือสำคัญและเมืองใหญ่อันดับ 2 ของอินโดรองจากจาการ์ต้า
จากตัวเมืองสุราบายาเราเดินทางต่อด้วยรถตู้อีกราว 4 ชั่วโมงสู่หมู่บ้านเซอโมโรลาวัง(Cemorolawang) ในเขตสุกาปุระ(Sukapura) เมืองโพรโบลิงโก(Probolinggo) เพื่อลุ้นระทึกไปกับการปีนภูเขาไฟในดินแดนแถบนี้ โดยระหว่างการเดินทางนั้น ผมสดับรับรู้ได้ว่าวิถีการจราจรในอินโดนั้นสุดยอดจริงๆ บรรดาสารถีพวกเล่นขับรถกันแบบปรู๊ดปร๊าด แซงซ้าย แซงขวา บีบแตรปู๊นป๊านลั่นถนน ชนิดรถเมล์เล็กจอมซ่าบ้านเราต้องชิดซ้าย แต่ประทานโทษสำหรับที่นี่ พวกเขาเคยชินเป็นปกติ ไม่มีน้ำโห ไม่แสดงอารมณ์ขุ่นมัวให้เห็น ผิดกับบ้านเราที่หากขับรถกันแบบนี้ รับรองได้มีการฟาดปากกันเต็มท้องถนนแน่
ผมนั่งชมวิวข้างทาง ลุ้นระทึกกับคนขับ พร้อมสดับรับฟังเสียงแตรที่รัวถี่ จนรูหูเริ่มชิน หนังตาเริ่มหย่อน จากนั้นก็ม่อยหลับไปพร้อมๆกับเสียงแตรที่ขับกล่อม ก่อนมารู้สึกตัวตื่นอีกทีเมื่อรถแล่นเข้าสู่เมืองโพรโบลิงโก แล้วขับไต่ระดับความสูงไปบนถนนที่คดเคี้ยวขึ้นสู่เขตแดนสุกาปุระ
อากาศบนนี้เย็นขึ้นมาจับจิตผิดกับในตัวเมืองลิบลับ ยิ่งบริเวณที่พักโรงแรม“ลาวา วิว ลอ์ด” นี่ อากาศบนไม่เรียกว่าเย็นแล้ว แต่ต้องเรียกว่าหนาวเอาเรื่อง เพราะตั้งอยู่บนความสูงกว่า 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ถามยังอยู่บนยอดเขาโล่งโจ้งที่มีลมโกรกต่อเนื่องอีกต่างหาก
แต่ถึงจะหนาวเหน็บแต่วิวบนนี้ก็สวยไม่หยอกฟากหนึ่งมองลงไปเห็นหมู่บ้านเบื้องล่าง อีกฟากหนึ่งมองลงไปเห็นวิวภูเขาไฟ 3 ลูก ตั้งตระหง่าน ซึ่งนั่นแหละคือดินแดนไฮไลท์ที่ผมจะได้ไปชมและสัมผัสกันอย่างใกล้ชิดในเช้ามืด(มากๆ)ของวันพรุ่งนี้ ส่วนคืนนี้ขอนอนพักกายใต้อากาศหนาวเหน็บเพื่อเก็บแรงไว้ตะลุยกันต่อ
ภูเขาไฟทั้งสาม งดงามปานเนรมิต
ตี 3 ครึ่ง ผมตื่นล้างหน้าล้างตา เพื่อออกไปรวมกับคณะที่โถงโรงแรม ก่อนออกเดินทางด้วยรถจี๊บทรงเท่ 6-8 คน บุกตะลุยฝ่าความมืดขึ้นเขาลงเขา และข้ามเขาไปยังจุดชมวิวบนยอดเขา“พีนันจากัน” บนระดับความสูงราว 2,770 เมตร
ระหว่างทางขอบฟ้าเริ่มเรื่อเรือง เห็นไฟรถจี๊บคันหน้าและคันหลังอยู่ลิบๆ ผมเข้าใจว่าน่าจะมีคนมาเที่ยวแบบเราพอประมาณ แต่ประทานโทษพอไปถึงบริเวณจุดชมวิว โอ้โห นอกจากรถติดเป็นแถวยาว ผู้คนยังขวักไขว่ เพียบแปล้
ที่จุดชมวิวแม้อุดมไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทุกสารทิศทั่วโลก ทั้ง ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น แขก อินโด ฯลฯ แต่ผมก็ใช้ความสามารถบวกหน้าตาที่เหมือนเจ้าถิ่น(คนอินโด) แทรกตัวเข้าไปหาจุดเหมาะเหม็งตั้งกล้องเล็งทิวทัศน์เบื้องล่างได้อย่างถนัดถนี่
ครับ หลังเล่ามาตั้งนานผมยังไม่ได้เฉลยเลยว่า ไอ้ที่แหกขี้ตาตื่นก่อนไก่โห่นั้นเขาพามาดูอะไร คำตอบก็คือพามาดูภูเขาไฟ 3 ลูก 3 สไตล์ ที่ผมจะขอสาธยายให้รับรู้กันในบัดเดี๋ยวนี้
ลูกแรกคือ ภูเขาไฟบาตอก(Batok) เป็นภูเขาไฟดับแล้ว มีความสูง 2,440 เมตรจากระดับน้ำทะเล จุดชมวิวมองลงไปจะเห็นลูกแรกก่อนเพื่อนเป็นทรงชามคว่ำ
ลูกที่สอง ภูเขาไฟโบรโม่(Bromo)จากจุดชมวิวจะเห็นอยู่ถัดมาจากภูเขาไฟบาตอกทางซ้ายมือ โบรโม่มีความสูง 2,382 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ยังเป็นภูเขาไฟมีชีวิตหรือภูเขาไฟเป็นๆคือยังไม่ดับ มีควันขาวพวยพุ่งอยู่ตลอดเวลา
ลูกที่สาม ภูเขาไฟซูเมรุ(Sumeru) มีความสูงถึง 3,676 เมตร นับว่าสูงที่สุดในเกาะชวา จากจุดชมวิวจะเห็นไกลสุด เป็นภูเขามีชีวิตและมีมีควันพวยพุ่งสีเทาแล้วเว้นหายสลับกันไปเป็นระยะๆ
และนั่นก็คือคุณสมบัติเด่นๆของภูเขาไฟทั้ง 3 ซึ่งจะว่าไปแค่ภูเขาไฟลูกเดียวนี่ก็น่ามองแล้ว แต่นี่มีถึง 3 ลูก ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน แถมองค์ประกอบรอบข้างก็งดงามทั้งต้นไม้ ทุ่งหญ้า ขุนเขา ยิ่งผสมด้วยแสงแดดเรื่อเรืองยามเช้าและทะเลหมอกที่ไหลลอยอ้อยอิ่งตามเวิ้งเขา ผสมปนเติมเข้าไป ผมสรุปได้คำเดียวว่า ภาพที่เห็นเบื้องหน้านั่นมันช่างงดงามปานเนรมิตเสียนี่กระไร
ย่ำปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่
ฟ้าแจ้งจางปางได้พักใหญ่แล้ว
ถึงเวลาที่เราต้องไปต่อ แต่ยังไม่ได้กลับไปไหนหากแต่เป็นการกลับลงไปเพื่อขึ้นสู่ปากปล่องภูเขาไฟโบรโม่ที่เห็นควันขาวพวยพุ่ง ฟุ้งกระจายอยู่ตลอดเวลา
ภูเขาไฟโบรโม่เป็นหนึ่งในยอดภูเขาไฟบนปล่องภูเขาไฟอีกที เคยระเบิดครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 2004 มีพื้นที่รอบข้างเป็นทะเลทรายสีดำ(สีคล้ำ)อันเกิดจากลาวาและเถ้าภูเขาไฟปกคลุม ซึ่งผมนั่งรถจี๊บตะลุย(แบบทิ้งฝุ่นข้างหลังคละคลุ้ง) กระเด็น กระดอน ไปตามถนนทะเลทรายมุ่งสู่วัดฮินดูที่เห็นอยู่ลิบๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเริ่มต้นขึ้นโบรโม่ ที่มี 2 ทางให้เลือกคือเดินเท้าขึ้นไปประมาณ 2 กม.แล้วเดินขึ้นบันไดต่อหรือขี่ม้าแล้วไปเดินขึ้นบันไดต่อ
งานนี้เลือกอย่างหลังเพราะได้ 2 อารมณ์และค่าขี่ม้า(ไป-กลับ)ไม่แพง ประมาณ 200 บาทไทย จึงไม่รีรอกระโดดขึ้นมาให้เจ้าของเดินกึ่งวิ่งให้ม้าขโยกพาเราไปยังทางขึ้นโบรโม่ แล้วเดินขึ้นบันไดต่อไปอีก 250 ขั้น ที่เรียกเหงื่อให้ซึมได้ไม่น้อยเลย แต่วิวทิวทัศน์ระหว่างทางที่นี่ก็น่ายลไม่เบา เพราะด้านขวาของทางขึ้นเห็นภูเขาไฟบาตอกที่หญ้าขึ้นหรอมแหรมตั้งตระหง่านโดดเด่น
จากนั้นอีกชั่วอึดใจก็มาถึงยังปากปล่องโบรโม่ ที่ด้านหนึ่งเป็นปล่องภูเขาไฟลึกหายลงไป มีควันไฟกลิ่นกำมะถันสีขาวพวยพุ่งคละคลุ้งตลอด
เพื่อนบางคนในทริปบอกว่าเจ้าควันขาวนี่กลิ่นมันคล้ายๆไข่เยี่ยมม้า ส่วนบางคนก็บอกว่ากลิ่นมันตุๆเหมือนกลิ่นผายลมแฮะ
ป๊าดดด...โธ่ เข้าใจคิดกันจัง แต่ไม่ว่าจะกลิ่นคล้ายอะไร ยังไงมันก็ไม่เหม็นเท่ากลิ่นควันจากท่อไอเสียที่พวกคนเมืองสูดดมกันอยู่บ่อยๆ
บนปากปล่องโบรโม่มีทางเดินให้เลียบเคียงเดินเลาะชมบรรยากาศไปเรื่อย ซึ่งแม้เจ้ากลิ่นกำมะถันจะไม่เป็นมิตร แต่ว่านานๆจะได้มีโอกาสสัมผัสกับภูเขาไฟอย่างใกล้ชิดแบบจับต้องได้อย่างนี้ผมจึงใช้เวลาซึมซับความรู้สึกต่างๆไว้ให้นานที่สุด ก่อนจำใจต้องจากลาโบรโม่ลงมาด้วยความรู้สึกเสียดาย พร้อมกับอดทึ่งในความมหัศจรรย์ของภูเขาไฟไม่ได้ว่า
ยามที่มันกราดเกรี้ยว ดุดัน ระเบิดพวยพุ่งลาวาออกมานั้น ภูเขาไฟเจ้าช่างน่ากลัวนัก แต่ยามที่มันพักผ่อนหลับใหล สงบเสงี่ยม นี่ถือว่าตรงกันข้ามราวฟ้ากับเหว โดยเฉพาะเจ้าภูเขาไฟโบรโม่นี่ ไม่เพียงแต่เป็นภูเขาทรงเสน่ห์เท่านั้น หากแต่มัน(โบรโม่)และเพื่อนๆทั้งสอง(บาตอกและซูเมรุ)ยังสร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็นชนิดที่จะติดตรึงตราใจความทรงจำไปอีกนานเท่านาน...(อ่านเที่ยวอินโดต่อตอนหน้า)
*****************************************
*****************************************
ภูเขาไฟโบรโม่ เมืองสุราบายา ประเทศอินโดนีเซีย เป็นภูเขาไฟที่เริ่มเป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวไทย เพราะมีทัวร์บางบริษัทเปิดนำเที่ยว โดยหนึ่งในบริษัททัวร์ที่น่าสนใจก็คือ“ทรอปิคอล สตาร์ ทราเวล”(ไทย) เนื่องจากได้จับมือกับ บริษัท “โกบอล แอดเวนเจอร์”(อินโด) จัดกิจกรรมท่องเที่ยวโดยนำรายได้ส่วนหนึ่งมอบเป็นทุนการศึกษาแก่เด็กผู้ยากไร้ในอินโด ซึ่งผู้สนใจสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 0-2513-4913,0-2513-4996 ต่อ 108,08-0088-1876 และสอบถามเที่ยวบินสู่อินโดของสายการบินการูด้าได้ที่ โทร.0-2285-6470-3