หากพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัด“ราชบุรี” แน่นอนว่าตลาดน้ำดำเนินสะดวก ถือว่ามีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลทั่วฟ้าเมืองไทย
ทว่าหากพูดถึงการเที่ยวป่าเขาในราชบุรี หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ แต่ในทริปนี้ “ผู้จัดการท่องเที่ยว”จะขอไปตะลุยเที่ยวป่าเขาในจังหวัดราชบุรี โดยไม่ลืมที่จะแวะเที่ยวชมสิ่งน่าสนใจระหว่างทางในเมืองโอ่งมังกรด้วย
เราเริ่มต้นออกเดินทางกับพี่สุเทพ อยู่เย็น แห่งไทยรุ่งทัวร์ จากกรุงเทพฯตั้งแต่เช้าตรู่ โดยมีจุดมุ่งหมายแรกอยู่ที่“ตลาดน้ำดำเนินสะดวก”อ.ดำเนินสะดวก ที่วันนี้ยังคงคราคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวและพ่อค้าแม่ขายที่พายเรือบรรทุกสินค้าเพียบลำมานำเสนอขาย มีทั้ง อาหารการกิน พืชผัก ผลไม้ สินค้าหัตถกรรมพื้นเมือง และอื่นๆ ให้เลือกซื้อ เลือกหากันมากมาย ซึ่งเราก็ขอใช้โอกาสนี้หาอะไรอร่อยๆหม่ำให้หายอยาก
สำหรับตลาดน้ำดำเนินก็ยังคงเป็นตลาดน้ำดำเนินที่คึกคักไม่แปรเปลี่ยน โดยเฉพาะกับทัวร์ต่างชาตินั้นมาเที่ยวกันเพียบ ส่วนใครที่อยากจะนั่งเรือชมบรรยากาศอย่างใกล้ชิดที่นี่ก็มีบริการเรือนำเที่ยวไว้บริการเป็นรอบๆไป
จากตลาดน้ำเราเดินทางต่อไปยัง“อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม”(ต.วังเย็น อ.บางแพ)ที่ภายนอกดูงดงามด้วยอาคารทรงไทยและร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ส่วนภายในจัดแสดงเป็นจุดต่างๆนำเสนอรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสวิถีชีวิตไทยและบุคคลสำคัญต่างๆ(พร้อมประวัติ)ทั้งไทยและเทศ อาทิ สืบ นาคะเสถียร,ครูมนตรี ตราโมทย์,สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต พรหมรังสี),ประธานาธิบดีโฮจิมินห์,เหมา เจ๋อ ตุง,เติ้ง เสี่ยว ผิง,แม่ชีเทเรซ่า เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีลานพระ 3 สมัย จัดแสดงประติมากรรมพระพุทธรูป(จำลอง)สมัยสุโขทัย เชียงแสน อยุธยา ให้นักท่องเที่ยวได้สักการะชื่นชมกัน
เอาล่ะ หลังเที่ยวแบบชิลล์ ชิลล์ กันแล้ว ทีนี้ก็ได้เวลาออกตะลุยดินแดนแห่ง ขุนเขา ป่าไม้ สายธาร ในราชบุรีกันแล้ว สำหรับดินแดนที่ว่านั้นก็คือ“อำเภอสวนผึ้ง” อำเภอชายแดนที่กำลังมาแรงด้านการท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของเมืองไทยนั่นเอง
ทริปนี้ อ.สวนผึ้งต้อนรับเราในช่วงบ่ายด้วยการ“ล่องแก่ง”สุดมัน ซึ่งนี่ไม่ใช่การล่องแก่งธรรมดา แต่เป็น“การล่องแก่งห่วงยาง” หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า“ล่องแก่งมหาสนุก” ที่หาไม่ได้ง่ายๆในเมืองไทย เพราะเป็นการดัดแปลงห่วงยางให้เป็นเรือยาง 1 ฝีพาย ที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปจ้วงพายไม้ไผ่ที่ดัดแปลงคล้ายไม้พายเรือคยัก พายไปตามสายธารได้อย่างสนุกสนาน
แน่นอนว่าการลองแก่งย่อมเปียก แต่การล่องแก่งห่วงยางนี่พิเศษกว่าตรงที่เปอร์เซ็นต์การล่มหรือพลิกคว่ำนั้นสูงมาก เพราะหากทรงตัวไม่ดี บังคับไม่ดี ห่วงก็เสียสมดุล หมุนติ้ว เอียงกะเท่เร่ ไปจนถึงพลิกคว่ำ แต่ว่าก็ปลอดภัยไร้กังวล เนื่องจากมีชูชีพ หมวกกันน็อค และเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอดเส้นทาง ที่สำคัญคือสนุกสะใจมาก โดยเฉพาะจังหวะตอนตกน้ำป๋อมแป๋มที่มือใหม่อย่าง “ผู้จัดการท่องเที่ยว”ตกไปถึง 4-5 ครั้งในช่วงแรกๆนี่ เราว่ามันตื่นเต้นเร้าใจไม่น้อยเลย ยิ่งใครไปล่องแก่งกันเยอะๆก็จะยิ่งทวีความ สนุก โหด มัน ฮา มากยิ่งขึ้น
“ผู้จัดการท่องเที่ยว”เมื่อเริ่มชิน ตั้งตัวได้ เราก็ถือโอกาสนี้เล่นคลื่นยามที่ห่วงไหลผ่านแก่งหิน และถือโอกาสชมวิวทิวทัศน์อันร่มรื่นเขียวครึ้มรอบข้าง ยามที่ห่วงลอยล่องไปตามสายน้ำไหลเอื่อยๆของลำน้ำภาชีก่อนจะไปขึ้นฝั่งยังรีสอร์ทบ้านไร่ไทรงาม ผู้คิดค้นการล่องแก่งห่วงยางและผู้ดูแลนักท่องเที่ยวในทริปนี้
หลังอาบน้ำเย็นจากการตกห่วง(หลายครั้ง)อย่างไม่ตั้งใจ เราขอเปลี่ยนบรรยากาศไปอาบแร่น้ำอุ่นๆอย่างตั้งใจกันที่ “ธารน้ำร้อนบ่อคลึง” ธารน้ำร้อนบริสุทธิ์ตามธรรมชาติที่มรชีแร่ธาตุมากมาย มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาตะนาวศรี ต้นธารเป็นตาน้ำผุด(นักท่องเที่ยวสามารถเดินไปเที่ยวชม)ที่มีน้ำร้อนฉ่าไหลผุดขึ้นมาตลอดทั้งปีมีอุณหภูมิถึง 60 องศาเซลเซียส ก่อนจะไหลเป็นธารน้ำเล็กๆมายังสระธรรมชาติ ที่มีอุณหภูมิประมาณ 40 องศาเซลเซียส ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถจ่ายเงินลงไปแหวกว่ายได้ตามใจชอบ
หรือใครที่ชอบหรูหน่อยที่นี่ก็มีสระกระเบื้องที่ขุดขึ้นมาใหม่และตกแต่งอย่างสวยงาม มีห้องอาบน้ำ-ล้างตัวพร้อมสรรพ จัดไว้ให้บรรยากาศสบายๆ(แต่ต้องจ่ายแพงขึ้นมาอีกหน่อย)
เมื่ออาบน้ำแร่ แช่น้ำอุ่นให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายร่างกายกระปรี้กระเปร่าเป็นที่เรียบร้อย เวลาก็ล่วงเลยไปถึงยามเย็น ซึ่งเรามีจุดนัดพบถัดไปอยู่ที่ “อูหลงรีสอร์ท” ที่พักผ่อนหลับนอนในคืนนี้ ที่นอกจากจะมีราคาย่อมเยาแล้ว บรรยากาศที่นี่ก็ถือว่าดีมากๆ เพราะตั้งอยู่บนเนินกลางขุนเขาโอบล้อม สามารถมองลงไปเห็นทิวทัศน์อันงดงามของขุนเขาเมืองสวนผึ้งได้อย่างชัดเจน
และแน่นอนว่าเมื่อมาดินแดนแห่งขุนเขาแล้ว วันรุ่งขึ้นพี่สุเทพก็นัดเราแต่เช้าตรู่ประมาณตีห้า เพื่อนั่งรถโฟร์วีลของทางชมรมรถนำเที่ยวในสวนผึ้งขึ้นสู่ยอดเขากระโจม เพื่อสัมผัสกับแสงแรกของวันและทะเลหมอกบนยอดเขา
เหตุที่ต้องนั่งรถขับเคลื่อน 4 ล้อขึ้น ก็เนื่องจากว่าเว้นทางขึ้นเขากระโจมนั้นสูงชันและสมบุกสมบันเอาเรื่อง(แต่ทิวทัศน์ก็สวยงามเอาเรื่อง) โดยเฉพาะช่วงที่เป็นถนนลูกรังนี่ เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง แถมบางช่วงยังต้องลุยน้ำที่สูงถึงครึ่งคันรถ ก่อนจะไปลุ้นกันกับเนินสูงยาวที่พลขับของเรานั้นกว่าจะผ่านพ้นเนินแห่งนี้ไปได้ก็เหนื่อยพอตัว ส่วน”ผู้จัดการท่องเที่ยว” กับพี่สุเทพแม้จะเป็นผู้โดยสาร(ยืนกระบะหลัง)แต่ว่าก็ลุ้นกันเหนื่อยอยู่เหมือนกัน
สุดท้ายเราก็มาถึงยังเนินสุดท้ายที่ถนนชันมากแถมช่วงหน้าฝนอย่างนี้ถนนค่อนข้างเละ เพราะฉะนั้นจึงไม่เหมาะต่อการขับรถขึ้นเขาด้วยประการทั้งปวง แม้จะเป็นโฟร์วีลก็ตาม
งานนี้พวกเราจึงต้องลงเดินขึ้นสู่ยอดเขากันในระยะทางประมาณ 100 เมตร ที่พอขึ้นไปถึงบนนั้นความเหนื่อยหายไปเป็นปลิดทิ้ง แถมยังถูกแทนที่ด้วยสายลมแรงๆที่พัดกระโชกให้ร่างกายเหน็บหนาวอยู่อย่างต่อเนื่อง
ณ บนยอดเขากระโจมหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า“เนิน 1000” มีป้ายติดหราบอกไว้ว่านี่คือพื้นที่ “สุดเขตประเทศไทย ภาคตะวันตก”เป็นที่ตั้งของกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน(ตชด.137) ซึ่งด้านหน้าคือเทือกเขาตะนาวศรีฝั่งประเทศพม่าที่แนวรบด้านนี้สงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวเหมือนแนวรบฝั่งไทย-กัมพูชา
สำหรับบนยอดเขากระโจม ไม่เพียงเป็นที่ตั้งของฐานตชด.เท่านั้น แต่ยังเป็นจุดกลางเต็นท์ของนักท่องเที่ยวผู้ที่ชื่นชอบในธรรมชาติอีกด้วย ส่วนที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของยอดเขากระโจมก็คือที่นี่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกชั้นดี รวมถึงเป็นจุดชมทะเลหมอกใกล้กรุง ที่วันไหนฟ้าฝนเป็นใจ ทิวทัศน์ยามเช้า-เย็น และทะเลหมอกบนยอดเขากระโจมจะดูสวยงามมาก
เช้าวันนั้นต้องถือว่าฟ้าฝนเป็นใจพอสมควรที่ส่งพระอาทิตยืดวงกลมแดงมาให้เราชื่นชมพร้อมทะเลหมอกจางๆที่ลอยฟ่องขาวฟูในหุบเขาเบื้องล่าง
จากยอดเขากระโจม ขากลับ ขาลง เราไม่พลาดที่จะแวะชม“น้ำตกผาแดง” ระหว่างทาง ที่ต้องเดินเท้าแบบไม่ยากลำบากเข้าไปประมาณ 200 เมตร ก่อนจะพบกับสายน้ำตกขนาดกลางไหลผ่านหน้าผาหินสีแดง อันเป็นที่มาของชื่อ“น้ำตกผาแดง”ที่หน้าฝนอย่างนี้ นอกจากต้นไม้ใหญ่น้อยรอบข้างจะร่มรื่นเขียวครึ้มแล้ว ยังมีสายน้ำไหลหลากมากมายเป็นพิเศษ
อ้อ!?! แต่ถึงแม้น้ำตกผาแดงช่วงนี้จะสวยงามน่ายล แต่ว่าการเดินเท้าเข้าไปก็ต้องระวังเจ้าทาก สัตว์จอมดูดเลือดให้ดีๆเหมือนกัน เพราะที่นี่ทากเยอะไปเบา
หลังชุ่มฉ่ำกับสายน้ำตกแบบเผลอถูกทากดูดเลือดไปพอแสบๆคันๆ เมื่อกลับลงมาจากเขากระโจม เราไปแวะชมสีสันความสวยงามของกล้วยไม้สวยงามนานาพันธุ์ที่กล้วยไม้สวยๆกันที่ “สวนผึ้งออร์คิด” ที่เต็มไปด้วยกล้วยไม้แวนด้าหลากสีสันหลายชนิดให้เลือกชมเลือกช้อปกันตามใจชอบ ก่อนจะไปแวะพักผ่อนนั่งกินลมชมสายน้ำแบบชิลล์ ชิลลบ์ กันที่แก่งส้มแมว แก่งหินใหญ่ธรรมชาติที่เกิดมีต้นน้ำไหลมาจากพม่า
สุดท้าย ท้ายสุด “ผู้จัดการท่องเที่ยว”ล่ำลาสวนผึ้งด้วยการไปแวะเที่ยว“โป่งยุบ” ที่เกิดจากการยุบตัวของผืนดินทำให้เกิดเป็นประติมากรรมธรรมชาติ(เสาดิน)หลากหลายรูปทรงคล้ายกับแพะเมืองผี จ.แพร่ หรือละลุ ที่ จ.สระแก้ว แต่ว่ามีขนาดเล็กกว่า
และนั่นก็เป็นความหลากหลายของทรัพยากรท่องเที่ยวในอำเภอสวนผึ้ง จ.ราชบุรี อำเภอที่อยู่ใกล้กรุงฯ เพียงแค่เอื้อมเท่านั้นเอง
*****************************************
การเดินทางไป อ.สวนผึ้ง จากตัวเมืองราชบุรีไปตามถนนหมายเลข 3208 ผ่าน อ.จอมบึงจะเจอทางแยกสู่ อ.สวนผึ้ง จากนั้นไปตามถนนหมายเลข 3087 สู่ อ.สวนผึ้ง ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่กำลังมาแรง และมีที่พักหลากหลายให้เลือกพัก สำหรับผู้สนใจเที่ยวสวนผึ้งกับบริษัททัวร์ ตามโปรแกรมใกล้เคียงกับเบื้องต้น สามารถติดต่อได้ที่ ไทยรุ่งทัวร์ 08-9013-2567,08-1926-6299 หรือสอบถามข้อมูลท่องเที่ยวสวนผึ้งและ จ.ราชบุรีได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)สำนักงานเพชรบุรี(เพชรบุรี ราชบุรี) โทร.0-3247-1005-6
ที่พักใน จ.ราชบุรี
ที่พักใน อ.สวนผึ้ง
ร้านอาหารใน จ.ราชบุรี
ร้านของที่ระลึก จ.ราชบุรี
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง
เที่ยวสวนผึ้งขึ้นเขากระโจม นอนนับดาว เฝ้าชมตะวัน
เมืองโอ่ง “ราชบุรี” เมืองนี้น่าเที่ยว
เที่ยว “อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม” สุขกาย เพลินใจ ได้ความรู้