โดย : ปิ่น บุตรี
...ถ้าเปรียบปราสาทพระวิหารเป็น "รถยนต์" ศาลโลกตัดสินว่า ตัวรถเป็นของ "เขมร" ส่วนล้อรถเป็นของ"ไทย"ถ้าเราพูดว่า"รถ"ก็ย่อมหมายถึง "รถทั้งคัน" ซึ่งรวมทั้ง "ตัวรถและล้อรถ" ใช่ไหม? ดังนั้น "ตัวรถที่ไม่มีล้อ" ก็ยังไม่ใช่ "รถยนต์" เช่นเดียวกัน "ล้อรถ 4 ล้อ...ที่ไม่มีตัวรถ" ก็ไม่ใช่ "รถยนต์" ดังนั้นจะเรียกว่ารถยนต์ได้....ต้องรวมกันทั้ง "ตัวรถและล้อรถ" เท่านั้น...
นั่นเป็นจั่วหัวของฟอร์เวิร์ดเมล์ปราสาทพระวิหารดังรถยนต์ ที่เมื่อไม่นานมานี้มีคุณป้าคนหนึ่งส่งฟอร์เวิร์ดเมล์มาให้
ผมไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของไอเดียนี้ รู้แต่ว่าเขาเข้าใจเปรียบเทียบดี อ่านเข้าใจง่าย ซึ่งก็น่าที่จะแปลเป็นภาษาอังกฤษส่งให้คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโกอ่านกันบ้าง เผื่อจะได้หายมึนนะคร้าบพี่น้อง
เพราะหากไม่มึนก็รู้จะว่าเทวสถานพระวิหารไม่ใช่มีเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น หากแต่ยังมีองค์ประกอบสำคัญอื่นๆอีกหลายจุดที่ต่างก็อยู่ในฝั่งไทยทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น สถูปคู่ ยอดมนคล้ายตะปูหัวเห็ด, สระตราว ที่เชื่อว่าเป็นบารายซึ่งน้ำจากปราสาทจาการทำพิธีศักดิ์สิทธิ์จะไหลลงมาที่นี่,ปราสาทโดนตวล ปราสาทขอมขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาสูง, ผามออีแดง อันซีนไทยแลนด์ที่มีภาพสลักนูนต่ำของ 3 เทพองค์, แหล่งตัดหิน ที่นำไปใช้ในการสร้างเทวสถาน รวมถึงยอดเขาพระวิหารที่เชื่อว่าเป็นภูผาศักดิ์สิทธิ์ตามชัยภูมิธรรมชาติ และองค์ประกอบอื่นๆ โดยจากการสำรวจพบว่าลักษณะของศิลปกรรมส่วนใหญ่สร้างและอยู่ในยุคเดียวกัน
และนั่นเป็นเหตุให้ไทยเป็นตัวตั้งตัวตีในการเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันของ 2 ชาติ ไทย-กัมพูชา ในปี พ.ศ. 2547 ดังที่ อ.ศรีศักร วัลลิโภดม เขียนอธิบายตอนหนึ่งไว้ในหนังสือ“เขาพระวิหาร : ระเบิดเวลา จากยุคอาณานิคม”ว่า
....การเป็นมรดกโลกแต่เพียงปราสาทก็คือโครงกระดูกดีๆนั่นเอง ไม่แลเห็นเนื้อหนังมังสาของผู้คนแต่อย่างใด...
...การที่จะทำให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างเห็นบ้านบ้านเห็นเมืองและผู้คนอย่างมีความหมายแล้ว ก็ควรที่จะกำหนดพื้นที่โดยรอบที่ทั้งสองประเทศต่างมีสิทธิเสียใหม่ให้เป็นบริเวณมรดกโลกร่วมกันและแบ่งผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวร่วมกัน...(จากคำนำหน้า 16)
ในเรื่องนี้ตอนแรกเขมรก็เห็นดีเห็นงามด้วย(เข้าใจว่าเป็นเพราะไทยออกค่าใช้จ่ายในการศึกษาวิจัยให้) แต่แล้วจู่ๆเขมรเกิดกลับลำขอยื่นเฉพาะปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวในปี พ.ศ.2550 ซึ่งไทยไม่ยอมจนยูเนสโกตีกลับให้ 2 ประเทศไทย-เขมรไปตกลงกันใหม่ในปีนี้
ช่วงแรกๆไทยก็ยังคัดค้านอยู่ แต่เมื่อนาย“ติ๊งเหล่”มาดูกระทรวงบัวแก้ว เหตุการณ์กลับพลิกผัน เมื่อหมอนี่ไปเซ็นยินยอมกับกัมพูชาเฉยเลย ซึ่ง“หม่อมอุ๋ย”ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ได้ตั้งข้อสงสัยผ่านสื่อต่างๆว่า
...เริ่มตั้งแต่ เดือนเมษายน ที่ผ่านมา หลังจากที่อดีตนายกรัฐมนตรีไทยไปเล่นกอล์ฟกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา หม่อมอุ๋ย รายงานว่า
“ท่าทีของฝ่ายไทยได้เปลี่ยนแปลง จากการประท้วงในเรื่องต่างๆดังกล่าวมาแล้ว และยืนยันขอขึ้นทะเบียนร่วมกัน ไปเป็นการให้ความร่วมมือที่จะช่วยให้การขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยหันมาดูแลไม่ให้การขึ้นทะเบียนแต่ฝ่ายเดียวของกัมพูชามีผลกระทบต่ออธิปไตย”
ถัดมาวันที่ 6 พฤษภาคม ครม.สมัคร ก็มีมติย้าย นายวีระชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ซึ่งเป็นผู้แทนไทยที่เจรจาเรื่องนี้กับยูเนสโกที่ฝรั่งเศส และถอนตัวจากการประชุมที่เสียมราฐ โดย นายนพดล ปัทมะ (รัฐมนตรีต่างประเทศ) ให้เหตุผลว่า “ต้องการม้าที่วิ่งในลู่ที่จะให้วิ่ง”...(จากนสพ.ไทยรัฐ คอลัมน์หมายเหตุประเทศไทย โดยลมเปลี่ยนทิศ ตอน “กระทรวงต่างประเทศยุคนี้ อ่อนแอกว่าที่คิด” ฉบับวันที่ 23 ก.ค. 51)
และนั่นจึงนำไปสู่การประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวของกัมพูชาในวันที่ 8 ก.ค.โดยมีรมว.ต่างประเทศของไทยเซ็นยินยอม ท่ามกลางความเสียใจและกังขาของคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดินดังที่ปรากฏเป็นข่าวทั่วไป
งานนี้นักวิชาการส่วนใหญ่ต่างตั้งคำถามว่า ยูเนสโกประกาศให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ยังไง เพราะมันมีแค่ตัวปราสาท ขาดองค์ประกอบสำคัญที่สร้างความสมบูรณ์ให้กับเทวสถานพระวิหารไปเพียบ
“ตามกฎเกณฑ์ปกติของคณะกรรมการมรดกโลก ถ้าจะมีการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จำเป็นต้องขึ้นทะเบียนพร้อมกันจึงจะได้ชิ้นมรดกโลก ที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์ตามหลักเกณฑ์”
หม่อมอุ๋ย ตั้งข้อสังเกตผ่านนสพ.ไทยรัฐ คอลัมน์สกู๊ปหน้า 1(ฉบับวันที่ 21 ก.ค.51) ซึ่งทำให้หลายคนมองว่ามรดกโลกปราสาทพระวิหารนั้น เป็นเพียง“มรดกโลกพิการ” เพราะขาดองค์ประกอบสำคัญหลายๆส่วนไป
นอกจากนี้การที่ปราสาทพระวิหารต้องกลายเป็นมรดกโลกพิการในวันนี้ ผมว่าสาเหตุหลักส่วนหนึ่งมันก็เนื่องมาจากความพิการของนักการเมืองไทยบางคน
คนแรกมีหน้าเหลี่ยม มีอาการพิการทางความคิด เพราะว่าเห็นผลประโยชน์ของตนมากกว่าผลประโยชน์ของชาติ ต้องการเข้าไปเช่าเกาะกง ต้องการเข้าไปลงทุนทำสัมปทานก๊าซบนพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย นายคนนี้นี่แหละที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์พระวิหารขึ้นมา
คนที่สอง มีความพิการทางสายตา(ตาเหล่)และทางความคิดที่ยอมกระทำเพื่อนายใหญ่มากกว่าเพื่อชาติบ้านเมือง นายคนนี้เป็นผู้เซ็นยินยอมรับให้เขมรขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวจนอาจนำมาสู่การเสียพื้นที่ทับซ้อนในอนาคต เพราะนั่นเท่ากับเป็นการไปยินยอมรับในแผนที่ของเขมร ซึ่ง ณ วันนี้เรายังไม่เคยเห็นแผนที่ฉบับแนบท้ายของเขมรเลยว่าเป็นฉบับไหน มีมาตราส่วนเท่าไหร่ กินแดนไทยเข้ามาเท่าไหร่ เห็นแต่เพียงแผนผังลวงโลกที่นายตาเหล่เอามาหลอกคนไทยเท่านั้น
คนที่สามนี่ก็พิการหลายอย่าง อย่างแรกเป็นผู้นำรัฐนาวาพิการ คือเป็นรัฐนาวานอมินี หุ่นเชิด ลูกกรอกหอกหัก ที่ถูกบางคนชักใยอยู่เบื้องหลังตลอด แถมตัวเขาเองก็ยังมีปากพิการคือปากหมาที่พร้อมจะสร้างความแตกแยกให้กับสังคมตลอด
ไม่เพียงเท่านั้นหมอนี่ยังมีความพิการทางความคิดที่เป็นเผด็จการชอบยั่วยุให้คนฆ่าฟันกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
สำหรับกรณีปราสาทพระวิหาร เขาคนนี้ในฐานะผู้นำแห่งรัฐนาวาพิการได้ออกมาแสดงความคิดพิการด้วยการด่าว่าคนไทย 3 คนที่แสดงความรักชาติอย่างอหิงสาจนโดนทหารเขมรจับในพื้นที่ทับซ้อนฝั่งไทยว่า“ไอ้บ้า”!!! นอกนั้นก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรและดูจะไม่มีความรู้สึกรู้สาใดๆ
เพราะในขณะที่ไทยกับเขมรมีปัญหาตึงเครียดด้านชายแดน หมอนี่กลับไม่คิดทำอะไร หากแต่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะ“ทำกับข้าว”โชว์สื่อมวลชนเท่านั้น
เพราะในขณะที่เขมรได้คืบเอาศอกพยายามจะยึดพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรไปเป็นของตน หมอนี่กลับไม่คิดแก้ปัญหาอะไร หากแต่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะ“แก้รัฐธรรมนูญ”เพื่อให้ตัวเองและพวกพ้องพ้นผิดเท่านั้น
เพราะในขณะที่เขมรเล่นเกมรุกทางการทูต รุกทางการเมืองระหว่างประเทศ หมอนี่กลับไม่คิดตอบโต้ใดๆ หากแต่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะ“ตอบโต้พันธมิตรฯ”เท่านั้น
สำหรับอาการและการกระทำต่างเหล่านี้ของผู้นำปากพิการคนนี้ ผมว่าเขาได้ยกระดับจากคนมีความคิดพิการกลายเป็นพวก“จิตพิการ”ไปแล้ว
เอ้า!?! หมอมาลินีอยู่ไหน ช่วยมารักษาอาการผู้นำจิตพิการด่วน!!!
...ถ้าเปรียบปราสาทพระวิหารเป็น "รถยนต์" ศาลโลกตัดสินว่า ตัวรถเป็นของ "เขมร" ส่วนล้อรถเป็นของ"ไทย"ถ้าเราพูดว่า"รถ"ก็ย่อมหมายถึง "รถทั้งคัน" ซึ่งรวมทั้ง "ตัวรถและล้อรถ" ใช่ไหม? ดังนั้น "ตัวรถที่ไม่มีล้อ" ก็ยังไม่ใช่ "รถยนต์" เช่นเดียวกัน "ล้อรถ 4 ล้อ...ที่ไม่มีตัวรถ" ก็ไม่ใช่ "รถยนต์" ดังนั้นจะเรียกว่ารถยนต์ได้....ต้องรวมกันทั้ง "ตัวรถและล้อรถ" เท่านั้น...
นั่นเป็นจั่วหัวของฟอร์เวิร์ดเมล์ปราสาทพระวิหารดังรถยนต์ ที่เมื่อไม่นานมานี้มีคุณป้าคนหนึ่งส่งฟอร์เวิร์ดเมล์มาให้
ผมไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของไอเดียนี้ รู้แต่ว่าเขาเข้าใจเปรียบเทียบดี อ่านเข้าใจง่าย ซึ่งก็น่าที่จะแปลเป็นภาษาอังกฤษส่งให้คณะกรรมการมรดกโลกยูเนสโกอ่านกันบ้าง เผื่อจะได้หายมึนนะคร้าบพี่น้อง
เพราะหากไม่มึนก็รู้จะว่าเทวสถานพระวิหารไม่ใช่มีเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น หากแต่ยังมีองค์ประกอบสำคัญอื่นๆอีกหลายจุดที่ต่างก็อยู่ในฝั่งไทยทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น สถูปคู่ ยอดมนคล้ายตะปูหัวเห็ด, สระตราว ที่เชื่อว่าเป็นบารายซึ่งน้ำจากปราสาทจาการทำพิธีศักดิ์สิทธิ์จะไหลลงมาที่นี่,ปราสาทโดนตวล ปราสาทขอมขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ริมหน้าผาสูง, ผามออีแดง อันซีนไทยแลนด์ที่มีภาพสลักนูนต่ำของ 3 เทพองค์, แหล่งตัดหิน ที่นำไปใช้ในการสร้างเทวสถาน รวมถึงยอดเขาพระวิหารที่เชื่อว่าเป็นภูผาศักดิ์สิทธิ์ตามชัยภูมิธรรมชาติ และองค์ประกอบอื่นๆ โดยจากการสำรวจพบว่าลักษณะของศิลปกรรมส่วนใหญ่สร้างและอยู่ในยุคเดียวกัน
และนั่นเป็นเหตุให้ไทยเป็นตัวตั้งตัวตีในการเสนอเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกร่วมกันของ 2 ชาติ ไทย-กัมพูชา ในปี พ.ศ. 2547 ดังที่ อ.ศรีศักร วัลลิโภดม เขียนอธิบายตอนหนึ่งไว้ในหนังสือ“เขาพระวิหาร : ระเบิดเวลา จากยุคอาณานิคม”ว่า
....การเป็นมรดกโลกแต่เพียงปราสาทก็คือโครงกระดูกดีๆนั่นเอง ไม่แลเห็นเนื้อหนังมังสาของผู้คนแต่อย่างใด...
...การที่จะทำให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างเห็นบ้านบ้านเห็นเมืองและผู้คนอย่างมีความหมายแล้ว ก็ควรที่จะกำหนดพื้นที่โดยรอบที่ทั้งสองประเทศต่างมีสิทธิเสียใหม่ให้เป็นบริเวณมรดกโลกร่วมกันและแบ่งผลประโยชน์จากการท่องเที่ยวร่วมกัน...(จากคำนำหน้า 16)
ในเรื่องนี้ตอนแรกเขมรก็เห็นดีเห็นงามด้วย(เข้าใจว่าเป็นเพราะไทยออกค่าใช้จ่ายในการศึกษาวิจัยให้) แต่แล้วจู่ๆเขมรเกิดกลับลำขอยื่นเฉพาะปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียวในปี พ.ศ.2550 ซึ่งไทยไม่ยอมจนยูเนสโกตีกลับให้ 2 ประเทศไทย-เขมรไปตกลงกันใหม่ในปีนี้
ช่วงแรกๆไทยก็ยังคัดค้านอยู่ แต่เมื่อนาย“ติ๊งเหล่”มาดูกระทรวงบัวแก้ว เหตุการณ์กลับพลิกผัน เมื่อหมอนี่ไปเซ็นยินยอมกับกัมพูชาเฉยเลย ซึ่ง“หม่อมอุ๋ย”ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ได้ตั้งข้อสงสัยผ่านสื่อต่างๆว่า
...เริ่มตั้งแต่ เดือนเมษายน ที่ผ่านมา หลังจากที่อดีตนายกรัฐมนตรีไทยไปเล่นกอล์ฟกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา หม่อมอุ๋ย รายงานว่า
“ท่าทีของฝ่ายไทยได้เปลี่ยนแปลง จากการประท้วงในเรื่องต่างๆดังกล่าวมาแล้ว และยืนยันขอขึ้นทะเบียนร่วมกัน ไปเป็นการให้ความร่วมมือที่จะช่วยให้การขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยหันมาดูแลไม่ให้การขึ้นทะเบียนแต่ฝ่ายเดียวของกัมพูชามีผลกระทบต่ออธิปไตย”
ถัดมาวันที่ 6 พฤษภาคม ครม.สมัคร ก็มีมติย้าย นายวีระชัย พลาศรัย อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ซึ่งเป็นผู้แทนไทยที่เจรจาเรื่องนี้กับยูเนสโกที่ฝรั่งเศส และถอนตัวจากการประชุมที่เสียมราฐ โดย นายนพดล ปัทมะ (รัฐมนตรีต่างประเทศ) ให้เหตุผลว่า “ต้องการม้าที่วิ่งในลู่ที่จะให้วิ่ง”...(จากนสพ.ไทยรัฐ คอลัมน์หมายเหตุประเทศไทย โดยลมเปลี่ยนทิศ ตอน “กระทรวงต่างประเทศยุคนี้ อ่อนแอกว่าที่คิด” ฉบับวันที่ 23 ก.ค. 51)
และนั่นจึงนำไปสู่การประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวของกัมพูชาในวันที่ 8 ก.ค.โดยมีรมว.ต่างประเทศของไทยเซ็นยินยอม ท่ามกลางความเสียใจและกังขาของคนไทยที่รักชาติรักแผ่นดินดังที่ปรากฏเป็นข่าวทั่วไป
งานนี้นักวิชาการส่วนใหญ่ต่างตั้งคำถามว่า ยูเนสโกประกาศให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้ยังไง เพราะมันมีแค่ตัวปราสาท ขาดองค์ประกอบสำคัญที่สร้างความสมบูรณ์ให้กับเทวสถานพระวิหารไปเพียบ
“ตามกฎเกณฑ์ปกติของคณะกรรมการมรดกโลก ถ้าจะมีการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จำเป็นต้องขึ้นทะเบียนพร้อมกันจึงจะได้ชิ้นมรดกโลก ที่มีองค์ประกอบสมบูรณ์ตามหลักเกณฑ์”
หม่อมอุ๋ย ตั้งข้อสังเกตผ่านนสพ.ไทยรัฐ คอลัมน์สกู๊ปหน้า 1(ฉบับวันที่ 21 ก.ค.51) ซึ่งทำให้หลายคนมองว่ามรดกโลกปราสาทพระวิหารนั้น เป็นเพียง“มรดกโลกพิการ” เพราะขาดองค์ประกอบสำคัญหลายๆส่วนไป
นอกจากนี้การที่ปราสาทพระวิหารต้องกลายเป็นมรดกโลกพิการในวันนี้ ผมว่าสาเหตุหลักส่วนหนึ่งมันก็เนื่องมาจากความพิการของนักการเมืองไทยบางคน
คนแรกมีหน้าเหลี่ยม มีอาการพิการทางความคิด เพราะว่าเห็นผลประโยชน์ของตนมากกว่าผลประโยชน์ของชาติ ต้องการเข้าไปเช่าเกาะกง ต้องการเข้าไปลงทุนทำสัมปทานก๊าซบนพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทย นายคนนี้นี่แหละที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์พระวิหารขึ้นมา
คนที่สอง มีความพิการทางสายตา(ตาเหล่)และทางความคิดที่ยอมกระทำเพื่อนายใหญ่มากกว่าเพื่อชาติบ้านเมือง นายคนนี้เป็นผู้เซ็นยินยอมรับให้เขมรขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงฝ่ายเดียวจนอาจนำมาสู่การเสียพื้นที่ทับซ้อนในอนาคต เพราะนั่นเท่ากับเป็นการไปยินยอมรับในแผนที่ของเขมร ซึ่ง ณ วันนี้เรายังไม่เคยเห็นแผนที่ฉบับแนบท้ายของเขมรเลยว่าเป็นฉบับไหน มีมาตราส่วนเท่าไหร่ กินแดนไทยเข้ามาเท่าไหร่ เห็นแต่เพียงแผนผังลวงโลกที่นายตาเหล่เอามาหลอกคนไทยเท่านั้น
คนที่สามนี่ก็พิการหลายอย่าง อย่างแรกเป็นผู้นำรัฐนาวาพิการ คือเป็นรัฐนาวานอมินี หุ่นเชิด ลูกกรอกหอกหัก ที่ถูกบางคนชักใยอยู่เบื้องหลังตลอด แถมตัวเขาเองก็ยังมีปากพิการคือปากหมาที่พร้อมจะสร้างความแตกแยกให้กับสังคมตลอด
ไม่เพียงเท่านั้นหมอนี่ยังมีความพิการทางความคิดที่เป็นเผด็จการชอบยั่วยุให้คนฆ่าฟันกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
สำหรับกรณีปราสาทพระวิหาร เขาคนนี้ในฐานะผู้นำแห่งรัฐนาวาพิการได้ออกมาแสดงความคิดพิการด้วยการด่าว่าคนไทย 3 คนที่แสดงความรักชาติอย่างอหิงสาจนโดนทหารเขมรจับในพื้นที่ทับซ้อนฝั่งไทยว่า“ไอ้บ้า”!!! นอกนั้นก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรและดูจะไม่มีความรู้สึกรู้สาใดๆ
เพราะในขณะที่ไทยกับเขมรมีปัญหาตึงเครียดด้านชายแดน หมอนี่กลับไม่คิดทำอะไร หากแต่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะ“ทำกับข้าว”โชว์สื่อมวลชนเท่านั้น
เพราะในขณะที่เขมรได้คืบเอาศอกพยายามจะยึดพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรไปเป็นของตน หมอนี่กลับไม่คิดแก้ปัญหาอะไร หากแต่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะ“แก้รัฐธรรมนูญ”เพื่อให้ตัวเองและพวกพ้องพ้นผิดเท่านั้น
เพราะในขณะที่เขมรเล่นเกมรุกทางการทูต รุกทางการเมืองระหว่างประเทศ หมอนี่กลับไม่คิดตอบโต้ใดๆ หากแต่กระเหี้ยนกระหือรือที่จะ“ตอบโต้พันธมิตรฯ”เท่านั้น
สำหรับอาการและการกระทำต่างเหล่านี้ของผู้นำปากพิการคนนี้ ผมว่าเขาได้ยกระดับจากคนมีความคิดพิการกลายเป็นพวก“จิตพิการ”ไปแล้ว
เอ้า!?! หมอมาลินีอยู่ไหน ช่วยมารักษาอาการผู้นำจิตพิการด่วน!!!