โดย : หนุ่มลูกทุ่ง
วันที่ 17 และ 18 ก.ค.นี้ก็จะเป็นวันสำคัญทางศาสนาคือ “วันอาสาฬหบูชา” และ “วันเข้าพรรษา” แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของฉันเช่นเคยที่จะนำวัดที่น่าสนใจมาแนะนำเผื่อจะได้เป็นทางเลือกให้ได้ไปทำบุญกัน และเพื่อเป็นการเตือนว่าวันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนาที่ชาวพุทธควรระลึกถึง ไม่ใช่เป็นเพียงวันหยุดพิเศษอีกหนึ่งวันเท่านั้น
วัดที่จะพาไปเที่ยวกันวันนี้ก็เชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้ยินชื่อกันอยู่บ่อยครั้งนั่นก็คือ “วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร” วัดสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2419 หรือเมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 25 พรรษา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี พระบรมราชชนนีของพระองค์ที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ยังทรงพระเยาว์ โดยใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 23 ปีเลยทีเดียว
วัดเทพศิรินทร์ฯจึงถือเป็นพระอารามหลวง ที่มีสิ่งสำคัญต่างๆ ภายในวัดมากมาย ฉันเดินเข้ายังวัดจากบริเวณถนนหลวง หน้าโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ก่อนจะผ่านเข้าไปสู่พระอุโบสถ ก็ต้องผ่านศาลาเล็กๆ อ่านป้ายได้ว่าเป็น “วิหารอัฐิท่านเจ้าคุณนรฯ” ซึ่งเจ้าคุณนรฯท่านนี้ก็คือพระยานรรัตนราชมานิต ต้นห้องใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตไปแล้ว พระยานรรัตน์ฯก็ได้บวชหน้าไฟถวายเป็นพระราชกุศลแด่รัชกาลที่ 6 ที่วัดเทพศิรินทร์ฯ และไม่สึกอีกเลยตราบจนมรณภาพ ผู้คนยกย่องท่านว่าเป็นพระอริยสงฆ์ที่เคร่งครัดในศีลจารวัตรธรรมวินัย จึงมีผู้คนเคารพศรัทธาแม้เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วเกือบ 40 ปี
ยังเดินไม่ทันถึงพระอุโบสถ ฉันก็แว่บลงข้างทางอีกแล้ว เมื่อเหลือบไปเห็นสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายอนุสาวรีย์ตั้งอยู่คู่กันสองหลัง เมื่อเดินเข้าไปอ่านใกล้ๆก็เห็นมีป้ายติดไว้ว่า “จาตรนตอนุสสารี” และ “ภาณุรังษีอนุสสร” จึงนึกถึงข้อมูลที่อ่านก่อนจะมาเที่ยววัดว่า “จาตรนตอนุสสารี” นี้ก็คืออนุสสรณีย์ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และ “ภาณุรังษีอนุสสร” ก็คืออนุสสรณีย์ของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงษาภิมุข เจ้าฟ้าฯกรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช ซึ่งทั้งสองพระองค์ก็เป็นพระอนุชาของรัชกาลที่ 5 และภายในอนุสสรณีย์นี้ก็ได้ประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์ และพระสรีรังคารของทั้งสองพระองค์เอาไว้
อีกทั้งบริเวณตรงข้ามกับอนุสสรณีย์ก็ยังมีต้นโพธิ์สูงใหญ่ มีการทำฐานล้อมรั้วไว้อย่างสวยงาม ดูแล้วต้องมีความสำคัญ ซึ่งต้นโพธิ์นั้นก็พันธุ์จากต้นพระศรีมหาโพธิของวัดนิเวศธรรมประวัติ จังหวัดอยุธยา ที่นำพันธุ์มาจากเมืองพุทธคยาอีกทีหนึ่ง รัชกาลที่ 5 ได้ทรงเพาะเมล็ด ต่อมาเมื่อเมล็ดเติบโตเป็นต้นแล้วพระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯให้เชิญไปปลูกที่วัดเทพศิรินทร์
คราวนี้ก็ถึงเวลาเข้าไปชมพระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์กันเสียที ดูจากขนาดของพระอุโบสถก็พอจะทราบถึงความสำคัฐของวัดนี้ เพราะพระอุโบสถมีขนาดใหญ่โตและสง่างามมาก ด้านนอกมีเสาพาไลต้นใหญ่ๆอยู่โดยรอบ แต่เมื่อเข้าไปด้านในก็ยิ่งต้องตกตะลึงมากกว่า เพราะความอลังการของพระประธานด้านในที่มีเอกลักษณ์งดงามไม่เหมือนวัดอื่นๆ ตรงที่พระประธานนั้นประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีทรงประสาทจตุรมุข เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นและอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส
อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกหลายองค์เช่น พระนิรันตราย พระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 4 ซึ่งโปรดฯ ให้หล่อขึ้นปีละองค์และอัญเชิญไปประดิษฐานตามวัดธรรมยุติ รวมถึงที่วัดเทพศิรินทร์ฯด้วย อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ฉลองพระองค์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีนาถ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจันทรมณฑลโสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกษัตริย์
หลังจากฉันกราบพระประธานเสร็จแล้วก็ยังคงนั่งเหม่อมองชมความงามอยู่ภายในอีกครู่หนึ่ง ไม่เพียงแต่พระประธานและฐานชุกชีที่งดงามเท่านั้น แต่ลวดลายบนเพดานก็ยังเป็นการแกะสลักอย่างสวยงามเป็นรูปเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคล คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก เครื่องราชอิสริยาภรณ์ จุลจอมเกล้า เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎสยาม และเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ ใครเข้ามาในพระอุโบสถก็อย่าลืมแหงนหน้าชมความงามด้านบนกันได้ และลวดลายโดยรอบฝาผนังแม้จะไม่ได้วาดเป็นเรื่องราวพุทธชาดกต่างๆ อย่างวัดอื่นๆ แต่ก็มีลวดลายดอกไม้งดงาม ซึ่งก็คือลวดลายดอกรำเพย ซึ่งเป็นพระนามเดิมของสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินีนั่นเอง
วัดแห่งนี้ยังมีความสำคัญตรงที่มี “สุสานหลวง” ที่รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำรอให้สถาปนาขึ้นเพื่อให้เป็นฌาปนสถานของพระราชวงศ์ที่ไม่ได้สร้างพระเมรุที่ท้องสนามหลวง ดังนั้นเวลาที่เราดูข่าวสังคมหรือข่าวพระราชสำนักก็มักจะได้ยินชื่อฌาปนสถานของวัดเทพศิรินทร์มักจะมีเชื้อพระวงศ์มาทำพิธีศพกันบ่อยๆ โดยจะมีเมรุทอง สำหรับพระราชทานเพลิงศพผู้ที่มีพระคุณต่อแผ่นดิน ทำประโยชน์อย่างให้แก่ประชาชนและประเทศชาติ และเมรุธรรมดาสำหรับบุคคลทั่วไป
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดชมนั้นก็อยู่ในส่วนของโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ฯ ในบริเวณเดียวกับวัดเทพศิรินทร์นั่นเอง หากใครที่เดินผ่านเข้ามาจากทางด้านหน้าโรงเรียนก็คงจะสังเกตเห็นตึกรูปทรงแบบยุโรปทาด้วยสีชมพูออกเลือดหมู อ่านตัวอักษรได้ว่าเป็นตึก “แม้นศึกษาสถาน” และตึก “โชฏึกเลาหะเศรษฐี” ดูแล้วงดงามแปลกตา
อาคารสองหลังนี้ก็เป็นอาคารเรียนหลังแรกๆ โดยตึกแม้นศึกษาสถานนั้น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ พระราชโอรสองค์เล็กในองค์สมเด็จพระนางเจ้าเทพศิรินทราบรมราชินีทรงมีดำริจะสร้างถาวรวัตถุขึ้นภายในวัดเทพศิรินทราวาส เพื่ออุทิศพระราชกุศลแด่พระราชมารดา อีกทั้งหม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ชายาของพระองค์ได้ถึงแก่อสัญกรรมลง จึงทรงกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากรัชกาลที่ 5 สร้างอาคารเรียนขึ้น แต่ตึกที่เห็นปัจจุบันนี้เป็นตึกใหม่ เพราะตึกหลังเก่าได้ถูกระเบิดทำลายเสียหายเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการบูรณะนั้นก็ได้คงรูปแบบเดิมคือเป็นตึกสไตล์ยุโรปแบบกอธิคเอาไว้
นอกจากนั้นก็ยังมีตึกเก่าแก่อีกหลายหลังที่ปัจจุบันเป็นอาคารเรียนในโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ เช่นอาคารนิภานภดล อาคารเยาวมาลย์อุทิศ-ปิยราชบพิตรปดิวรัดา เป็นต้น อีกทั้งภายในบริเวณโรงเรียนก็ยังมีพระราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ซึ่งทรงเป็นเจ้าของชื่อวัดและชื่อโรงเรียน และพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในฐานะที่เคยทรงเป็นนักเรียนที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ฯ มาก่อนที่จะเสด็จไปศึกษาต่อยังต่างประเทศอีกด้วย
เดินกันทั่ววัดทั่วโรงเรียนจนเห็นสิ่งที่น่าสนใจกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาที่จะถึงนี้ ทางวัดเทพศิรินทร์ฯ ก็ยังมีการทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรม ถวายผ้าอาบน้ำฝน และเวียนเทียนในวันอาสาฬหบูชา (17 กรกฎาคม) และจะมีการตักบาตรดอกไม้หน้าพระอุโบสถในช่วงของวันเข้าพรรษา (18 กรกฎาคม) ใครที่สนใจฉันก็ขอเรียนเชิญมาร่วมทำบุญพร้อมๆกัน เผื่อจะได้เจอกันชาติหน้าอีกรอบ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ 423 ถนนหลวง แขวงยศเส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร 10100 อยู่ใกล้สะพานกษัตริย์ศึก สอบถามรายละเอียดโทร.0-2221-8877, 0-2222-0700 การเดินทาง สามารถนั่งรถประจำทางสาย 7, 15 47, 53, 204 มาลงที่หน้าวัดได้
วันที่ 17 และ 18 ก.ค.นี้ก็จะเป็นวันสำคัญทางศาสนาคือ “วันอาสาฬหบูชา” และ “วันเข้าพรรษา” แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของฉันเช่นเคยที่จะนำวัดที่น่าสนใจมาแนะนำเผื่อจะได้เป็นทางเลือกให้ได้ไปทำบุญกัน และเพื่อเป็นการเตือนว่าวันนี้เป็นวันสำคัญทางศาสนาที่ชาวพุทธควรระลึกถึง ไม่ใช่เป็นเพียงวันหยุดพิเศษอีกหนึ่งวันเท่านั้น
วัดที่จะพาไปเที่ยวกันวันนี้ก็เชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้ยินชื่อกันอยู่บ่อยครั้งนั่นก็คือ “วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร” วัดสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2419 หรือเมื่อพระองค์มีพระชนมายุได้ 25 พรรษา เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินี พระบรมราชชนนีของพระองค์ที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ยังทรงพระเยาว์ โดยใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 23 ปีเลยทีเดียว
วัดเทพศิรินทร์ฯจึงถือเป็นพระอารามหลวง ที่มีสิ่งสำคัญต่างๆ ภายในวัดมากมาย ฉันเดินเข้ายังวัดจากบริเวณถนนหลวง หน้าโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ ก่อนจะผ่านเข้าไปสู่พระอุโบสถ ก็ต้องผ่านศาลาเล็กๆ อ่านป้ายได้ว่าเป็น “วิหารอัฐิท่านเจ้าคุณนรฯ” ซึ่งเจ้าคุณนรฯท่านนี้ก็คือพระยานรรัตนราชมานิต ต้นห้องใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยหลังจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตไปแล้ว พระยานรรัตน์ฯก็ได้บวชหน้าไฟถวายเป็นพระราชกุศลแด่รัชกาลที่ 6 ที่วัดเทพศิรินทร์ฯ และไม่สึกอีกเลยตราบจนมรณภาพ ผู้คนยกย่องท่านว่าเป็นพระอริยสงฆ์ที่เคร่งครัดในศีลจารวัตรธรรมวินัย จึงมีผู้คนเคารพศรัทธาแม้เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วเกือบ 40 ปี
ยังเดินไม่ทันถึงพระอุโบสถ ฉันก็แว่บลงข้างทางอีกแล้ว เมื่อเหลือบไปเห็นสิ่งก่อสร้างลักษณะคล้ายอนุสาวรีย์ตั้งอยู่คู่กันสองหลัง เมื่อเดินเข้าไปอ่านใกล้ๆก็เห็นมีป้ายติดไว้ว่า “จาตรนตอนุสสารี” และ “ภาณุรังษีอนุสสร” จึงนึกถึงข้อมูลที่อ่านก่อนจะมาเที่ยววัดว่า “จาตรนตอนุสสารี” นี้ก็คืออนุสสรณีย์ของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และ “ภาณุรังษีอนุสสร” ก็คืออนุสสรณีย์ของสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงษาภิมุข เจ้าฟ้าฯกรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช ซึ่งทั้งสองพระองค์ก็เป็นพระอนุชาของรัชกาลที่ 5 และภายในอนุสสรณีย์นี้ก็ได้ประดิษฐานพระพุทธรูปฉลองพระองค์ และพระสรีรังคารของทั้งสองพระองค์เอาไว้
อีกทั้งบริเวณตรงข้ามกับอนุสสรณีย์ก็ยังมีต้นโพธิ์สูงใหญ่ มีการทำฐานล้อมรั้วไว้อย่างสวยงาม ดูแล้วต้องมีความสำคัญ ซึ่งต้นโพธิ์นั้นก็พันธุ์จากต้นพระศรีมหาโพธิของวัดนิเวศธรรมประวัติ จังหวัดอยุธยา ที่นำพันธุ์มาจากเมืองพุทธคยาอีกทีหนึ่ง รัชกาลที่ 5 ได้ทรงเพาะเมล็ด ต่อมาเมื่อเมล็ดเติบโตเป็นต้นแล้วพระองค์จึงทรงโปรดเกล้าฯให้เชิญไปปลูกที่วัดเทพศิรินทร์
คราวนี้ก็ถึงเวลาเข้าไปชมพระอุโบสถวัดเทพศิรินทร์กันเสียที ดูจากขนาดของพระอุโบสถก็พอจะทราบถึงความสำคัฐของวัดนี้ เพราะพระอุโบสถมีขนาดใหญ่โตและสง่างามมาก ด้านนอกมีเสาพาไลต้นใหญ่ๆอยู่โดยรอบ แต่เมื่อเข้าไปด้านในก็ยิ่งต้องตกตะลึงมากกว่า เพราะความอลังการของพระประธานด้านในที่มีเอกลักษณ์งดงามไม่เหมือนวัดอื่นๆ ตรงที่พระประธานนั้นประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีทรงประสาทจตุรมุข เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิที่รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นและอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ พระอุโบสถวัดเทพศิรินทราวาส
อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปสำคัญอีกหลายองค์เช่น พระนิรันตราย พระพุทธรูปประจำรัชกาลที่ 4 ซึ่งโปรดฯ ให้หล่อขึ้นปีละองค์และอัญเชิญไปประดิษฐานตามวัดธรรมยุติ รวมถึงที่วัดเทพศิรินทร์ฯด้วย อีกทั้งยังมีพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ฉลองพระองค์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีนาถ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ ฉลองพระองค์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าจันทรมณฑลโสภณภควดี กรมหลวงวิสุทธิกษัตริย์
หลังจากฉันกราบพระประธานเสร็จแล้วก็ยังคงนั่งเหม่อมองชมความงามอยู่ภายในอีกครู่หนึ่ง ไม่เพียงแต่พระประธานและฐานชุกชีที่งดงามเท่านั้น แต่ลวดลายบนเพดานก็ยังเป็นการแกะสลักอย่างสวยงามเป็นรูปเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นโบราณมงคล คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์นพรัตนราชวราภรณ์ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ช้างเผือก เครื่องราชอิสริยาภรณ์ จุลจอมเกล้า เครื่องราชอิสริยาภรณ์มงกุฎสยาม และเครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ ใครเข้ามาในพระอุโบสถก็อย่าลืมแหงนหน้าชมความงามด้านบนกันได้ และลวดลายโดยรอบฝาผนังแม้จะไม่ได้วาดเป็นเรื่องราวพุทธชาดกต่างๆ อย่างวัดอื่นๆ แต่ก็มีลวดลายดอกไม้งดงาม ซึ่งก็คือลวดลายดอกรำเพย ซึ่งเป็นพระนามเดิมของสมเด็จพระเทพศิรินทรา บรมราชินีนั่นเอง
วัดแห่งนี้ยังมีความสำคัญตรงที่มี “สุสานหลวง” ที่รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชดำรอให้สถาปนาขึ้นเพื่อให้เป็นฌาปนสถานของพระราชวงศ์ที่ไม่ได้สร้างพระเมรุที่ท้องสนามหลวง ดังนั้นเวลาที่เราดูข่าวสังคมหรือข่าวพระราชสำนักก็มักจะได้ยินชื่อฌาปนสถานของวัดเทพศิรินทร์มักจะมีเชื้อพระวงศ์มาทำพิธีศพกันบ่อยๆ โดยจะมีเมรุทอง สำหรับพระราชทานเพลิงศพผู้ที่มีพระคุณต่อแผ่นดิน ทำประโยชน์อย่างให้แก่ประชาชนและประเทศชาติ และเมรุธรรมดาสำหรับบุคคลทั่วไป
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและไม่ควรพลาดชมนั้นก็อยู่ในส่วนของโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ฯ ในบริเวณเดียวกับวัดเทพศิรินทร์นั่นเอง หากใครที่เดินผ่านเข้ามาจากทางด้านหน้าโรงเรียนก็คงจะสังเกตเห็นตึกรูปทรงแบบยุโรปทาด้วยสีชมพูออกเลือดหมู อ่านตัวอักษรได้ว่าเป็นตึก “แม้นศึกษาสถาน” และตึก “โชฏึกเลาหะเศรษฐี” ดูแล้วงดงามแปลกตา
อาคารสองหลังนี้ก็เป็นอาคารเรียนหลังแรกๆ โดยตึกแม้นศึกษาสถานนั้น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังสีสว่างวงศ์ พระราชโอรสองค์เล็กในองค์สมเด็จพระนางเจ้าเทพศิรินทราบรมราชินีทรงมีดำริจะสร้างถาวรวัตถุขึ้นภายในวัดเทพศิรินทราวาส เพื่ออุทิศพระราชกุศลแด่พระราชมารดา อีกทั้งหม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ชายาของพระองค์ได้ถึงแก่อสัญกรรมลง จึงทรงกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากรัชกาลที่ 5 สร้างอาคารเรียนขึ้น แต่ตึกที่เห็นปัจจุบันนี้เป็นตึกใหม่ เพราะตึกหลังเก่าได้ถูกระเบิดทำลายเสียหายเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยการบูรณะนั้นก็ได้คงรูปแบบเดิมคือเป็นตึกสไตล์ยุโรปแบบกอธิคเอาไว้
นอกจากนั้นก็ยังมีตึกเก่าแก่อีกหลายหลังที่ปัจจุบันเป็นอาคารเรียนในโรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ เช่นอาคารนิภานภดล อาคารเยาวมาลย์อุทิศ-ปิยราชบพิตรปดิวรัดา เป็นต้น อีกทั้งภายในบริเวณโรงเรียนก็ยังมีพระราชานุสาวรีย์ของสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี ซึ่งทรงเป็นเจ้าของชื่อวัดและชื่อโรงเรียน และพระบรมราชานุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในฐานะที่เคยทรงเป็นนักเรียนที่โรงเรียนวัดเทพศิรินทร์ฯ มาก่อนที่จะเสด็จไปศึกษาต่อยังต่างประเทศอีกด้วย
เดินกันทั่ววัดทั่วโรงเรียนจนเห็นสิ่งที่น่าสนใจกันพอหอมปากหอมคอแล้ว ในวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาที่จะถึงนี้ ทางวัดเทพศิรินทร์ฯ ก็ยังมีการทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรม ถวายผ้าอาบน้ำฝน และเวียนเทียนในวันอาสาฬหบูชา (17 กรกฎาคม) และจะมีการตักบาตรดอกไม้หน้าพระอุโบสถในช่วงของวันเข้าพรรษา (18 กรกฎาคม) ใครที่สนใจฉันก็ขอเรียนเชิญมาร่วมทำบุญพร้อมๆกัน เผื่อจะได้เจอกันชาติหน้าอีกรอบ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ 423 ถนนหลวง แขวงยศเส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร 10100 อยู่ใกล้สะพานกษัตริย์ศึก สอบถามรายละเอียดโทร.0-2221-8877, 0-2222-0700 การเดินทาง สามารถนั่งรถประจำทางสาย 7, 15 47, 53, 204 มาลงที่หน้าวัดได้