โดย : จุชดานิน
จากการท่องวัดในเมืองอันยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในนครคุนหมิง พร้อมชมและขอพรพระพุทธชินราชอันศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งประดิษฐานอย่างสง่างามในจีนกันแล้ว พวกเราไปต่อวันอันศักดิ์สิทธิ์กันที่ "เขาซีซาน" โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อไปพิชิตเขาซีซาน และ "ลอดประตูมังกร" ซึ่งถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีน
ไกด์ชาวจีนสปีคไทยของเราเล่าว่า คนจีนจะกล่าวว่ามาถึงคุนหมิงต้องไปลอดประตูมังกร เมื่อลอดแล้วฐานะจะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยเท่า และคนจีนตั้งแต่โบราณจะเรียนแบบปลาเพราะมีเรื่องเล่ากันมาว่า ในสมัยก่อนแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดคือแม่น้ำเหลืองจะมีปลาหลีหือซึ่งเป็นปลาประจำชาติของจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ครั้งหนึ่งเกิดน้ำท่วมทำให้ปลาไหลไปอยู่ตามแม่น้ำสายอื่น
เมื่อปลาไปอยู่แม่น้ำอื่นปลาไม่ชินกับคุณภาพน้ำจึงมีความพยายามว่ายทวนน้ำเพื่อกลับไปอยู่ในแม่น้ำเหลือง ข่าวนี้ก็ไปเข้าหูเง็กเซียนฮ่องเต้ ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดในลัทธิเต๋า ท่านก็เลยเห็นใจกับความพยายามของปลา ท่านเลยสั่งให้ไปสร้างประตูตรงแม่น้ำเหลือง ถ้าปลาตัวไหนกระโดดข้ามประตูได้ ท่านก็จะให้เป็นมังกร ถ้าปลาก็ตัวไหนกระโดดข้ามไม่ได้ ก็ต้องไปอยู่ในแม่น้ำเหลือง ปลาก็เลยมีความพยายามไปกระโดข้ามประตูเพื่อเป็นมังกร เลื่อนจากปลาเป็นมังกรถือว่าฐานะของปลาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า
คนจีนจึงเลียนแบบปลา เมื่อมีความพยายามในการศึกษาก็จะได้เป็นจอหงวน เมื่อเป็นจอหงวนฐานะก็จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า ดังนั้นประตูมังกรเหมือนเป็นการสอนคนจีนมาก คือเมื่อเรามีความพยายามก็จะประสบความสำเร็จ
ในการจะลอดประตูมังกรได้นั้นพวกเราจึงต้องพิชิตเขาซีซานให้ได้ก่อน โดยการเดินขึ้นบันไดนิดหน่อยแค่ 300 กว่าขั้นเท่านั้น โอ้โห..ฟังแล้วฉันถึงกับหมดแรง ก็อากาศหนาวซะขนาดนี้ แล้วยังจะต้องเดินขึ้นบันไดสูงที่มีลมโชยอีก อากาศก็เบาบาง โอ้..สารพัดความท้อแท้ แต่ไม่ได้..ฉันต้องเลียนแบบปลา ขนาดปลายังว่ายทวนน้ำไปถึงประตูมังกรได้แล้วฉันเป็นใครทำไมจะไต่บันได 300 กว่าขั้นไปลอดประตูมังกรไม่ได้
เพื่อไม่ให้เป็นการอายปลา ฉันและคณะจึงพากันฝ่าลมหนาว ปากสั่นพะงาบๆเพื่อไปพิชิตเขาซีซาน โดยจุดเริ่มต้นพวกเราจะเดินขึ้นบันไดซึ่งสลักหินบนเขาเป็นบันไดด้วยฝีมือคนล้วนๆไปเรื่อยเพื่อไปยังจุดพักขาที่หนึ่ง ตรงจุดนี้จะมี "ศาลเจ้าหวางหลินกวง" ซึ่งเกี่ยวกับข้าราชการ และในศาสนาเต๋าท่านเป็นผู้ปกปักรักษาอีกด้วย
โดยท่านจะดูว่าคนที่มาวัดจะมาทำบุญหรือมาทำลาย เพราะตรงหน้ากระจกของท่านสามารถส่องมองได้ว่าคนคนนั้นเป็นปีศาจหรือเป็นคนที่มาทำบุญ ซึ่งระหว่างทางด้านหน้าศาลเจ้านั้นมีสะพาน หากจะรู้ได้โดยการมองผ่านกระจกคล้ายกระจกจราจรที่มักจะติดอยู่ตรงทางสามแยกที่มองไม่เห็นอีกด้านหนึ่ง ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่ากระจกนี้เปรียบกับกระจกที่ท่านใช้ส่องคนที่มายังวัดหรือไม่
ข้างๆของศาลเจ้าจะมีรูปที่แกะสลักบนหินเป็น "เทพเจ้าแห่งโชคลาภ" ไกด์บอกให้เอามือลูบที่ก้อนทองที่ท่านถือไว้ แล้วนำมาใส่กระเป๋าของเรา เหมือนกับขอเงินทองกับท่าน ขอให้ร่ำรวย ผู้ที่ทำการค้าก็จะมาไหว้ที่ท่าน และก็เป็นที่น่าตกใจจริงๆที่คณะของเราทุกคนต่างยอมปีนป่ายอย่างยากเย็นเนื่องจากหินนั้นลื่นเป็นมันเงา เพื่อขึ้นไปจับก้อนทอง แปลว่าหวังจะรวยกันทุกคนเป็นแน่
เมื่อปีกป่ายกันจนครบแล้วก็ขึ้นบันไดต่อไปยังจุดพักจุดที่สองเป็น "ศาลเจ้าตั่วเล่าเอี้ย" หรือ "ศาลเจ้าพ่อเสือ" คือเทพเจ้าที่กราบไหว้เพื่อให้อายุยืนสุขภาพแข็งแรง และพ้นภัยพิบัตินานา โดยเฉพาะถ้าได้ลูบหัวเต่าและลูบตัวงูที่พันเต่าอยู่ตรงหน้าศาลเจ้า ซึ่งเต่ากับงูนี้ถือเป็นกระเพาะกับลำไส้ของท่านตั่วเล่าเอี้ย
ตอนที่ท่านฝึกเป็นเซียนนั้น เพียรอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ท่านจึงได้ตั้งสมาธิแล้วใช้กระบี่ผ่าท้องเพื่อเอากระเพาะกับลำไส้ออกมา ไม่ดื่มน้ำไม่กินข้าว เมื่อกายที่ท่านได้ทำบาปมาร่วงหลุดออกไปตัวก็เบาขึ้นและก็สำเร็จเป็นเซียนในเวลาต่อมา หลังจากที่ท่านได้เป็นเซียนแล้วกระเพาะกับลำไส้ที่วางตรงหน้าท่านก็กลายเป็นเต่าและงู คนในลัทธิเต๋าจึงไม่กินงูกับเต่า ไกด์ยังแนะอีกว่า สำหรับผู้ชายไม่ต้องไปลูบหัวงูแล้วนะ..เพราะมีกันอยู่แล้ว ก็ฮากันไป
จากจุดที่สองเราขึ้นบันไดต่อไปยังจุดพักที่สาม ตรงจุดนี้จะมีบ่อน้ำเล็กๆ เรียกว่า "บ่อน้ำวัวกตัญญู" ที่บ่อแห่งนี้จะมีวัวอยู่ด้วย เพราะวัวตัวนี้เป็นที่มาของบ่อน้ำ มีเรื่องเล่าว่า วัวตันนี้กตัญญูกับเจ้าของมาก เพื่อที่จะให้เจ้าของได้ดื่มน้ำที่บนภูเขาซีซาน เขาได้ใช้เขาเจาะหน้าผาตรงหินนี้ได้เป็นสายน้ำและเป็นบ่อน้ำเล็กๆให้เจ้าของของเขาที่ชื่อเจ้าอู่ได้กิน เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สั่งสอนคนเราว่าอย่าไปฆ่าสัตว์เพราะเขามีความกตัญญูต่อเจ้าของอย่างจริงใจ
จุดต่อมามีศาลที่เรียกว่า "ศาลเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตร" หรือ "เจ้าแม่กวนอิมส่งลูก" ถ้าใครแต่งงานยังไม่มีบุตรก็ไปขอกับท่านได้ จากจุดนี้เราไต่บันไดไปต่อยังจุดสุดท้ายเป้าหมายปลายทางของเรา คือ "ประตูมังกร" หรือศาลเจ้ามังกรหรือไข่มังกร เพื่ออธิฐานขอโชคลาภ มีสองวิธีคือ ใช้มือขวาไปจับแก้วมังกรแล้วอธิฐาน อีกวิธีหนึ่งสำหรับคนที่มีความสามารถสักหน่อยใช้มือซ้ายจับแก้วมังกร มือขวาจับหางปลา ซึ่งก็คือปลาที่กระโดดข้ามประตูแล้วกลายเป็นมังกร ในการลูบหรือจับปลาคือขอให้เหลือกินเหลือใช้
ซึ่งกว่าพวกเราจะไต่บันไดมาถึงจุดนี้ได้ก็เล่นเอาเหนื่อยใช่เล่น ทางที่เราผ่านขึ้นมามีลักษณะเป็นอุโมงค์บ้าง ทางแคบบ้าง ชันบ้าง ลื่นบ้างเพราะเป็นของเดิม ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิงประมาณปี ค.ศ.1781 สร้างด้วยมือคนล้วนๆ ใช้เวลาทั้งหมด 72 ปี กว่าจะสร้างเสร็จ ฉันต้องขอนับถือและขอบคุณผู้คนเหล่านั้นไว้ ณ ที่นี่ด้วย... คารวะ
จากนั้นแล้วก็ไปไหว้เจ้าตรงข้างๆประตูมังกรมี "ศาลเจ้ากุยซิน" ท่านกุยซินจะอยู่ในลักษณะถือพู่กันแล้วเหยียบหัวเต่ายักษ์ ท่านกุยซินถือเป็นเทพเกี่ยวกับการศึกษา คนที่จะได้เป็นจอหงวนต้องไปผ่านปลายพู่กันของท่านก่อน นอกจากนี้ข้างๆ ยังมีเทพเจ้าอีกสององค์คือ "กวนอู" เกี่ยวกับการค้าขาย ซ้ายมือคือ "หูซาน" เกี่ยวกับความรู้ นักเรียนนักศึกษาจะชอบมาไหว้กับท่าน
เมื่อขอพรกันแล้ว ก็ต้องชมความสวยงามของ "ทะเลสาบเตียนฉือ" ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของมณฑลยูนาน อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,886.5 เมตร แต่ก่อนทะเลสาบแห่งนี้กว้างขวางถึงห้าร้อยลี้ แต่ตอนนี้เหลือกว้างแค่ประมาณสามร้อยกว่าตารางกิโลเมตรเท่านั้น
ไกด์บอกกับพวกเราว่า แต่ก่อนทะเลสาบเตียนฉือนี้ ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยมากจนถูกขนานนามว่า "ไข่มุกทอแสงแห่งที่ราบสูง" ด้วยความงดงามทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังจนไปเข้าหูพระนางซูสีไทเฮา แห่งราชวงศ์ชิง พระนางก็อยากมาดูทะเลสาบแห่งนี้มาก แต่ไม่สามารถมาถึงได้ เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นแมนจู กลัวว่าหากเดินทางไปยังทะเลสาบจะถูกชนกลุ่มน้อยทำร้าย
เมื่อถึงวันฉลองวันเกิดพระนางจึงสั่งให้คนไปเอาแบบของทะเลสาบเตียนฉือ แล้วไปขุดสร้างเลียนแบบในอุทยานสวนอี้เหอหยวน ภายในพระราชวังฤดูร้อนที่กรุงปักกิ่ง แล้วเรียกว่า "ทะเลสาบคุนหมิง" หากใครที่เคยได้ไปเยือนมาแล้วทั้งสองแห่งก็คงจะรู้กันดี
เมื่อได้ขึ้นมาถึงจุดบนนี้ก็ต้องขอบอกเลยว่าคุ้มค่าจริงๆที่ได้ขึ้นมา นอกจากจะได้ขอพรอันเป็นมงคลแล้วยังได้ชมทะเลสาบและเมืองคุนหมิงในมุมสูงกว้างสุดลูกหูลูกตาช่างสวยงามจริงๆ บรรยากาศชวนให้พวกเราโพสท่าถ่ายรูปกันอยู่นานสองนานจนหนำใจ จากนั้นก็ต้องบอกว่า มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย เพราะทางขึ้นเขาซีซานแห่งนี้มีอยู่ทางเดียว
และสำหรับมาเหยียบแดนคุนหมิงในครั้งนี้ของฉัน การได้ไปเที่ยววัดดัง 2 แห่ง ในต่างแดนนั้นถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์แปลกใหม่ ที่คุ้มค่าการเที่ยวด้วยประการทั้งปวง...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
"คุนหมิง" เป็นเมืองเอกในมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีภูเขาล้อมรอบตัวเมือง 3 ด้าน มีสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นคือวัดวาอารามและป่าหินอันโด่งดัง
สำหรับอัตราค่าเงินในเมืองจีนใช้เงินสกุลหยวน โดย 1 หยวนประมาณ 5 บาท เวลาที่จีนเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง
จากการท่องวัดในเมืองอันยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในนครคุนหมิง พร้อมชมและขอพรพระพุทธชินราชอันศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งประดิษฐานอย่างสง่างามในจีนกันแล้ว พวกเราไปต่อวันอันศักดิ์สิทธิ์กันที่ "เขาซีซาน" โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อไปพิชิตเขาซีซาน และ "ลอดประตูมังกร" ซึ่งถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีน
ไกด์ชาวจีนสปีคไทยของเราเล่าว่า คนจีนจะกล่าวว่ามาถึงคุนหมิงต้องไปลอดประตูมังกร เมื่อลอดแล้วฐานะจะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยเท่า และคนจีนตั้งแต่โบราณจะเรียนแบบปลาเพราะมีเรื่องเล่ากันมาว่า ในสมัยก่อนแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดคือแม่น้ำเหลืองจะมีปลาหลีหือซึ่งเป็นปลาประจำชาติของจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ครั้งหนึ่งเกิดน้ำท่วมทำให้ปลาไหลไปอยู่ตามแม่น้ำสายอื่น
เมื่อปลาไปอยู่แม่น้ำอื่นปลาไม่ชินกับคุณภาพน้ำจึงมีความพยายามว่ายทวนน้ำเพื่อกลับไปอยู่ในแม่น้ำเหลือง ข่าวนี้ก็ไปเข้าหูเง็กเซียนฮ่องเต้ ซึ่งเป็นเทพเจ้าสูงสุดในลัทธิเต๋า ท่านก็เลยเห็นใจกับความพยายามของปลา ท่านเลยสั่งให้ไปสร้างประตูตรงแม่น้ำเหลือง ถ้าปลาตัวไหนกระโดดข้ามประตูได้ ท่านก็จะให้เป็นมังกร ถ้าปลาก็ตัวไหนกระโดดข้ามไม่ได้ ก็ต้องไปอยู่ในแม่น้ำเหลือง ปลาก็เลยมีความพยายามไปกระโดข้ามประตูเพื่อเป็นมังกร เลื่อนจากปลาเป็นมังกรถือว่าฐานะของปลาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า
คนจีนจึงเลียนแบบปลา เมื่อมีความพยายามในการศึกษาก็จะได้เป็นจอหงวน เมื่อเป็นจอหงวนฐานะก็จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า ดังนั้นประตูมังกรเหมือนเป็นการสอนคนจีนมาก คือเมื่อเรามีความพยายามก็จะประสบความสำเร็จ
ในการจะลอดประตูมังกรได้นั้นพวกเราจึงต้องพิชิตเขาซีซานให้ได้ก่อน โดยการเดินขึ้นบันไดนิดหน่อยแค่ 300 กว่าขั้นเท่านั้น โอ้โห..ฟังแล้วฉันถึงกับหมดแรง ก็อากาศหนาวซะขนาดนี้ แล้วยังจะต้องเดินขึ้นบันไดสูงที่มีลมโชยอีก อากาศก็เบาบาง โอ้..สารพัดความท้อแท้ แต่ไม่ได้..ฉันต้องเลียนแบบปลา ขนาดปลายังว่ายทวนน้ำไปถึงประตูมังกรได้แล้วฉันเป็นใครทำไมจะไต่บันได 300 กว่าขั้นไปลอดประตูมังกรไม่ได้
เพื่อไม่ให้เป็นการอายปลา ฉันและคณะจึงพากันฝ่าลมหนาว ปากสั่นพะงาบๆเพื่อไปพิชิตเขาซีซาน โดยจุดเริ่มต้นพวกเราจะเดินขึ้นบันไดซึ่งสลักหินบนเขาเป็นบันไดด้วยฝีมือคนล้วนๆไปเรื่อยเพื่อไปยังจุดพักขาที่หนึ่ง ตรงจุดนี้จะมี "ศาลเจ้าหวางหลินกวง" ซึ่งเกี่ยวกับข้าราชการ และในศาสนาเต๋าท่านเป็นผู้ปกปักรักษาอีกด้วย
โดยท่านจะดูว่าคนที่มาวัดจะมาทำบุญหรือมาทำลาย เพราะตรงหน้ากระจกของท่านสามารถส่องมองได้ว่าคนคนนั้นเป็นปีศาจหรือเป็นคนที่มาทำบุญ ซึ่งระหว่างทางด้านหน้าศาลเจ้านั้นมีสะพาน หากจะรู้ได้โดยการมองผ่านกระจกคล้ายกระจกจราจรที่มักจะติดอยู่ตรงทางสามแยกที่มองไม่เห็นอีกด้านหนึ่ง ซึ่งฉันก็ไม่แน่ใจว่ากระจกนี้เปรียบกับกระจกที่ท่านใช้ส่องคนที่มายังวัดหรือไม่
ข้างๆของศาลเจ้าจะมีรูปที่แกะสลักบนหินเป็น "เทพเจ้าแห่งโชคลาภ" ไกด์บอกให้เอามือลูบที่ก้อนทองที่ท่านถือไว้ แล้วนำมาใส่กระเป๋าของเรา เหมือนกับขอเงินทองกับท่าน ขอให้ร่ำรวย ผู้ที่ทำการค้าก็จะมาไหว้ที่ท่าน และก็เป็นที่น่าตกใจจริงๆที่คณะของเราทุกคนต่างยอมปีนป่ายอย่างยากเย็นเนื่องจากหินนั้นลื่นเป็นมันเงา เพื่อขึ้นไปจับก้อนทอง แปลว่าหวังจะรวยกันทุกคนเป็นแน่
เมื่อปีกป่ายกันจนครบแล้วก็ขึ้นบันไดต่อไปยังจุดพักจุดที่สองเป็น "ศาลเจ้าตั่วเล่าเอี้ย" หรือ "ศาลเจ้าพ่อเสือ" คือเทพเจ้าที่กราบไหว้เพื่อให้อายุยืนสุขภาพแข็งแรง และพ้นภัยพิบัตินานา โดยเฉพาะถ้าได้ลูบหัวเต่าและลูบตัวงูที่พันเต่าอยู่ตรงหน้าศาลเจ้า ซึ่งเต่ากับงูนี้ถือเป็นกระเพาะกับลำไส้ของท่านตั่วเล่าเอี้ย
ตอนที่ท่านฝึกเป็นเซียนนั้น เพียรอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ท่านจึงได้ตั้งสมาธิแล้วใช้กระบี่ผ่าท้องเพื่อเอากระเพาะกับลำไส้ออกมา ไม่ดื่มน้ำไม่กินข้าว เมื่อกายที่ท่านได้ทำบาปมาร่วงหลุดออกไปตัวก็เบาขึ้นและก็สำเร็จเป็นเซียนในเวลาต่อมา หลังจากที่ท่านได้เป็นเซียนแล้วกระเพาะกับลำไส้ที่วางตรงหน้าท่านก็กลายเป็นเต่าและงู คนในลัทธิเต๋าจึงไม่กินงูกับเต่า ไกด์ยังแนะอีกว่า สำหรับผู้ชายไม่ต้องไปลูบหัวงูแล้วนะ..เพราะมีกันอยู่แล้ว ก็ฮากันไป
จากจุดที่สองเราขึ้นบันไดต่อไปยังจุดพักที่สาม ตรงจุดนี้จะมีบ่อน้ำเล็กๆ เรียกว่า "บ่อน้ำวัวกตัญญู" ที่บ่อแห่งนี้จะมีวัวอยู่ด้วย เพราะวัวตัวนี้เป็นที่มาของบ่อน้ำ มีเรื่องเล่าว่า วัวตันนี้กตัญญูกับเจ้าของมาก เพื่อที่จะให้เจ้าของได้ดื่มน้ำที่บนภูเขาซีซาน เขาได้ใช้เขาเจาะหน้าผาตรงหินนี้ได้เป็นสายน้ำและเป็นบ่อน้ำเล็กๆให้เจ้าของของเขาที่ชื่อเจ้าอู่ได้กิน เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่สั่งสอนคนเราว่าอย่าไปฆ่าสัตว์เพราะเขามีความกตัญญูต่อเจ้าของอย่างจริงใจ
จุดต่อมามีศาลที่เรียกว่า "ศาลเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตร" หรือ "เจ้าแม่กวนอิมส่งลูก" ถ้าใครแต่งงานยังไม่มีบุตรก็ไปขอกับท่านได้ จากจุดนี้เราไต่บันไดไปต่อยังจุดสุดท้ายเป้าหมายปลายทางของเรา คือ "ประตูมังกร" หรือศาลเจ้ามังกรหรือไข่มังกร เพื่ออธิฐานขอโชคลาภ มีสองวิธีคือ ใช้มือขวาไปจับแก้วมังกรแล้วอธิฐาน อีกวิธีหนึ่งสำหรับคนที่มีความสามารถสักหน่อยใช้มือซ้ายจับแก้วมังกร มือขวาจับหางปลา ซึ่งก็คือปลาที่กระโดดข้ามประตูแล้วกลายเป็นมังกร ในการลูบหรือจับปลาคือขอให้เหลือกินเหลือใช้
ซึ่งกว่าพวกเราจะไต่บันไดมาถึงจุดนี้ได้ก็เล่นเอาเหนื่อยใช่เล่น ทางที่เราผ่านขึ้นมามีลักษณะเป็นอุโมงค์บ้าง ทางแคบบ้าง ชันบ้าง ลื่นบ้างเพราะเป็นของเดิม ซึ่งสร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิงประมาณปี ค.ศ.1781 สร้างด้วยมือคนล้วนๆ ใช้เวลาทั้งหมด 72 ปี กว่าจะสร้างเสร็จ ฉันต้องขอนับถือและขอบคุณผู้คนเหล่านั้นไว้ ณ ที่นี่ด้วย... คารวะ
จากนั้นแล้วก็ไปไหว้เจ้าตรงข้างๆประตูมังกรมี "ศาลเจ้ากุยซิน" ท่านกุยซินจะอยู่ในลักษณะถือพู่กันแล้วเหยียบหัวเต่ายักษ์ ท่านกุยซินถือเป็นเทพเกี่ยวกับการศึกษา คนที่จะได้เป็นจอหงวนต้องไปผ่านปลายพู่กันของท่านก่อน นอกจากนี้ข้างๆ ยังมีเทพเจ้าอีกสององค์คือ "กวนอู" เกี่ยวกับการค้าขาย ซ้ายมือคือ "หูซาน" เกี่ยวกับความรู้ นักเรียนนักศึกษาจะชอบมาไหว้กับท่าน
เมื่อขอพรกันแล้ว ก็ต้องชมความสวยงามของ "ทะเลสาบเตียนฉือ" ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดของมณฑลยูนาน อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,886.5 เมตร แต่ก่อนทะเลสาบแห่งนี้กว้างขวางถึงห้าร้อยลี้ แต่ตอนนี้เหลือกว้างแค่ประมาณสามร้อยกว่าตารางกิโลเมตรเท่านั้น
ไกด์บอกกับพวกเราว่า แต่ก่อนทะเลสาบเตียนฉือนี้ ได้ชื่อว่าเป็นทะเลสาบที่สวยมากจนถูกขนานนามว่า "ไข่มุกทอแสงแห่งที่ราบสูง" ด้วยความงดงามทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีชื่อเสียงโด่งดังจนไปเข้าหูพระนางซูสีไทเฮา แห่งราชวงศ์ชิง พระนางก็อยากมาดูทะเลสาบแห่งนี้มาก แต่ไม่สามารถมาถึงได้ เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นแมนจู กลัวว่าหากเดินทางไปยังทะเลสาบจะถูกชนกลุ่มน้อยทำร้าย
เมื่อถึงวันฉลองวันเกิดพระนางจึงสั่งให้คนไปเอาแบบของทะเลสาบเตียนฉือ แล้วไปขุดสร้างเลียนแบบในอุทยานสวนอี้เหอหยวน ภายในพระราชวังฤดูร้อนที่กรุงปักกิ่ง แล้วเรียกว่า "ทะเลสาบคุนหมิง" หากใครที่เคยได้ไปเยือนมาแล้วทั้งสองแห่งก็คงจะรู้กันดี
เมื่อได้ขึ้นมาถึงจุดบนนี้ก็ต้องขอบอกเลยว่าคุ้มค่าจริงๆที่ได้ขึ้นมา นอกจากจะได้ขอพรอันเป็นมงคลแล้วยังได้ชมทะเลสาบและเมืองคุนหมิงในมุมสูงกว้างสุดลูกหูลูกตาช่างสวยงามจริงๆ บรรยากาศชวนให้พวกเราโพสท่าถ่ายรูปกันอยู่นานสองนานจนหนำใจ จากนั้นก็ต้องบอกว่า มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย เพราะทางขึ้นเขาซีซานแห่งนี้มีอยู่ทางเดียว
และสำหรับมาเหยียบแดนคุนหมิงในครั้งนี้ของฉัน การได้ไปเที่ยววัดดัง 2 แห่ง ในต่างแดนนั้นถือเป็นหนึ่งในประสบการณ์แปลกใหม่ ที่คุ้มค่าการเที่ยวด้วยประการทั้งปวง...
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
"คุนหมิง" เป็นเมืองเอกในมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีภูเขาล้อมรอบตัวเมือง 3 ด้าน มีสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นคือวัดวาอารามและป่าหินอันโด่งดัง
สำหรับอัตราค่าเงินในเมืองจีนใช้เงินสกุลหยวน โดย 1 หยวนประมาณ 5 บาท เวลาที่จีนเร็วกว่าประเทศไทย 1 ชั่วโมง