แบล็กมันเดย์

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวานนี้ ตามเวลาประเทศไทย ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2,352.60 จุด เปลี่ยนแปลง -9.99% ปิดที่ 21,200.62 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ลดลง 260.74 จุด เปลี่ยนแปลง -9.15% ปิดที่ 2,480.64 จุด ส่วนดัชนีแนสแด็ก ลดลง 750.25 จุด

ใจหายใจคว่ำกัน นึกว่าจะเกิดมินิแบล็กมันเดย์เพราะผลกระทบจากการก่อการรต้ายในฝรั่งเศสเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน แต่ปรากฏว่า นักลงทุนไม่ได้ตื่นตระหนักเท่าไหร่ ดัชนีทรุดตัวลงช่วงเปิดตลาดใหม่ๆ แต่หลังจากนั้นก็เริ่มฟื้นตัว

นักลงทุนโล่งไม่เกิดแบล็กมันเดย์ ตลาดหุ้นทั่วโลกแค่รับข่าวลบเชิงจิตวิทยา นักวิเคราะห์ ชี้ ตลาดหุ้นเช้านี้ปรับตัวลงไม่รุนแรงมากเหมือนกับที่คาดเอาไว้ เนื่องจากเหตุการณ์ความรุนแรงเกินขึ้นในช่วงวันหยุด นักลงทุนมีโอกาสเตรียมตัวรับความเสี่ยง และเตรียมความพร้อมรับมือผลกระทบ จึงไม่เกิดภาวะความตื่นตระหนก ขณะที่สถานการณ์ก็ไม่ได้บานปลาย และสามารถควบคุมได้

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏการณ์ “แบล็กมันเดย์” ที่ตลาดหุ้นของจีนประสบภาวะดิ่งเหวจนพาให้ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกเทกระจาดกราวรูดต้อนรับการเปิดตลาดซื้อขายในสัปดาห์ใหม่เมื่อวันจันทร์ (24 ส.ค.) ที่ผ่านมา ถือเป็นหนึ่งในข่าวเด่นประเด็นร้อนจากต่างแดนที่ถูกหยิบยกมาพูดถึงกันมากที่สุดในแทบทุกวงสนทนาในประเทศไทย

หลังจากเกิดวิกฤตตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งตัวต่ำสุดเป็นประวัติศาสตร์เมื่อวานนี้(25)หลังดัชนีสำคัญของตลาดหลักทรัพย์จีนดำดิ่งลงมา 8.5% ซึ่งถือเป็นการตกในรอบวันครั้งใหญ่ที่สุดในช่วงเวลากว่า 8 ปี ท่ามกลางความวิตกที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจแดนมังกร ชาติผู้บริโภคเชื้อเพลิงรายใหญ่ ทำให้ล่าสุดอดีตรัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ แลร์รี ซัมเมอร์ส ได้ออกมาให้ความเห็นเมื่อวานนี้ (24) ว่า วิกฤตตลาดหุ้นแบล็กมันเดย์ “แสดงว่าถึงการเริ่มต้นของสถานการณ์ที่ยุ่งยากครั้งใหญ่” ในขณะที่เศรษฐีอสังหาริมทรัพย์ และผู้ประกาศตัวเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2016 โดนัลด์ ทรัมป์แสดงความเห็นผ่านทวิตเตอร์ว่า “ปัญหาตลาดหลัดทรัพย์ล่ม เพราะการจัดการล้มแหลว และปล่อยให้จีนและเอเชียกำหนดทิศทางตลาดหลักทรัพย์”

ตลาดหุ้นวันนี้ไม่แตกต่างจากวิกฤตแบล็กมันเดย์เมื่อปี 2530 โดยตลาดหุ้่นทั่วโลกแดงฉานตามดาวโจนส์ที่ดิ่งเหว และราคาน้ำมันทรุดฮวบ ทำให้เกิดการตื่นตระหนกเทขายหุ้นจนดัชนีรูดติดดิน และมีแนวโน้มว่าจะหลุดระดับ 1,300 จุด