ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจซึมลึกและเงินบาทที่แข็งค่าจนผู้ส่งออกกระอักเลือด กลับมี “พื้นที่พิเศษ” แห่งหนึ่งที่เม็ดเงินสะพัดผิดวิสัย นั่นคือกระดานเทรด “บิทคับ” (Bitkub) ที่ตัวเลขการซื้อขายเหรียญ USDT ในปี 2568 ทะยานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญราวกับ “ขั้นบันได” ที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ ส่งผลให้รายได้จากค่าธรรมเนียม 0.25% ไหลเข้ากระเป๋าแบบน้ำซึมบ่อทราย ทว่าภายใต้ตัวเลขที่เขียวขจีและกราฟวอลุ่มที่พุ่งสูงสวนทางราคาเหรียญที่ดิ่งลง กลับมีกลิ่นควันจาง ๆ ของคำถามที่สังคมเริ่มสงสัยว่า นี่คือดีมานด์แท้จริงของนักลงทุน หรือเป็นเพียง “รันเวย์ใหม่” ของเงินสีเทาที่กำลังหนีตายจากการกวาดล้าง และเตรียมเคลื่อนย้ายสู่สนามการเมืองระลอกใหม่?
ปริศนาวอลุ่มขั้นบันไดเมื่อ ‘ค่าต๋ง’ งอกเงยบนความผิดปกติ
หากกางตัวเลขสถิติการซื้อขายรายเดือนของปี 2568 ออกมาชำแหละดู จะพบความย้อนแย้งที่ชวนให้เลิกคิ้วด้วยความสงสัย ปกติแล้วในยามที่เงินบาทแข็งค่าจากระดับ 34 บาทลงมาสู่ 31 บาทปลายๆ เช่นนี้ แรงจูงใจในการถือครองสินทรัพย์อิงดอลลาร์อย่าง USDT ของรายย่อยมักจะแผ่วลงตามกลไกตลาด แต่สิ่งที่ปรากฏบนกระดานเทรดสีเขียวมรกตแห่งนี้กลับตรงกันข้าม
วอลุ่มการซื้อขาย USDT ไม่ได้ลดลง แต่กลับ “ไต่ระดับขึ้นเป็นขั้นบันได” อย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ทุกยอด Buy และ Sell ที่หมุนเวียนอยู่นั้น หมายถึงค่าธรรมเนียม 0.25% ที่ถูกหักเข้ากระเป๋าเจ้าของแพลตฟอร์มทันที โดยไม่ต้องลงทุนสร้างนวัตกรรมอะไรเพิ่มเติม เพียงแค่นั่งดูตัวเลขวิ่ง ก็รับทรัพย์อู้ฟู่สวนกระแสเศรษฐกิจจริงที่กำลังแห้งเหือด คำถามตัวโตๆ ที่นักวิเคราะห์กระดิกนิ้วถามคือ “ใคร” คือเจ้าของเม็ดเงินมหาศาลที่ถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน และพวกเขาเทรดด้วยวัตถุประสงค์เพื่อ “เก็งกำไร” หรือเพื่อ “ผ่านทาง”?
เมื่อประตู ‘บัญชีม้า’ ถูกปิด หน้าต่าง ‘คริปโต’ จึงเปิดกว้าง?
ประจวบเหมาะเหลือเกินกับไทม์ไลน์การกวาดล้างอาชญากรรมทางไซเบอร์ของภาครัฐ ที่ไล่บี้บัญชีม้าและเส้นทางการเงินของแก๊งคอลเซ็นเตอร์จนตีบตันในโลกการเงินปกติ เมื่อท่อน้ำเลี้ยงแบบเดิมถูกตัด “คริปโตเคอร์เรนซี” โดยเฉพาะ Stablecoin อย่าง USDT จึงกลายเป็นพระเอกขี่ม้าขาว หรืออาจเป็นผู้ร้ายในคราบนักบุญ ที่ตอบโจทย์การเคลื่อนย้ายเงินทุนใต้ดินได้ดีที่สุด
ในโลกสีเทา เงินไม่ได้ต้องการ “ผลกำไร” แต่ต้องการ “ความเร็ว” และ “ความเงียบ” การที่วอลุ่มพุ่งสูงผิดปกติในช่วงเวลาที่การตรวจสอบบัญชีธนาคารเข้มงวดที่สุด อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พฤติกรรมการซื้อขายที่เน้นปริมาณหมุนเวียนมหาศาล (High Turnover) มากกว่าการถือครองระยะยาว คือสัญญาณบ่งชี้ลักษณะของ “การฟอกเงิน” (Money Laundering) ที่เปลี่ยนสภาพจากเงินสดสกปรก ให้กลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ตรวจสอบเส้นทางยากกว่าเดิม และคำถามที่แสบสันยิ่งกว่าคือ ใครบ้างที่กำลังหลับตาข้างหนึ่งเพื่อเสวยสุขจากค่าธรรมเนียมบนเส้นทางสีเทานี้?
กลิ่นเงินเลือกตั้ง กับโลจิสติกส์ทางการเมืองยุคดิจิทัล
อีกหนึ่งสมมติฐานที่ไม่ควรมองข้าม คือปฏิทินการเมืองที่กำลังงวดเข้ามาทุกขณะ การเลือกตั้งใหญ่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2569 ย่อมต้องการ “กระสุนดินดำ” จำนวนมหาศาล และในยุคที่การหิ้วกระเป๋าเงินสดเป็นเรื่องเสี่ยง การใช้ USDT เป็นท่อน้ำเลี้ยงทางการเมือง (Political Funding) จึงเป็นทางเลือกที่เย้ายวนใจที่สุด
เพราะคริปโตมันเร็ว เงียบ และไร้ร่องรอยทางกายภาพ การสะสมกำลังผ่านวอลุ่มเทรดในช่วงปลายปี 2568 จึงอาจไม่ใช่แค่เรื่องของการลงทุน แต่เป็นการเตรียมเสบียงกรังสำหรับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจที่กำลังจะปะทุขึ้น หากสมมติฐานนี้เป็นจริง กระดานเทรดอาจกำลังทำหน้าที่เป็น “ห้องนิรภัยลอยฟ้า” ให้กับกลุ่มทุนการเมืองโดยที่หน่วยงานกำกับดูแลอาจไล่ตามไม่ทัน หรือแกล้งมองไม่เห็น?
‘ธรรมาภิบาล’ ที่ตามหากับเป้าหมายฮ่องกงที่ยังอยู่ในฝัน
ความเคลือบแคลงสงสัยเหล่านี้ ยิ่งตอกย้ำแผลเป็นเรื่อง “ธรรมาภิบาล” ที่บิทคับยังตอบสังคมได้ไม่เต็มปาก จากความฝันที่จะเป็นยูนิคอร์นตัวแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) สู่ข่าวการเบนเข็มไป IPO ที่สหรัฐฯ และล่าสุดกับการวาดฝันใหม่ที่ฮ่องกงในปี 2569 คำถามที่นักลงทุนถามด้วยรอยยิ้มมุมปากคือ “ทำไมถึงเข้าตลาดไทยไม่ได้?”
เป็นเพราะตลาดไทยเล็กเกินไปสำหรับศักยภาพระดับโลก หรือเป็นเพราะระบบบัญชีและที่มาของรายได้บางส่วน “ใหญ่เกินกว่า” จะผ่านเกณฑ์การตรวจสอบที่เข้มข้นของ ก.ล.ต. ไทย ? การเลือกที่จะไปโตในต่างแดนอาจดูโก้หรู แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันคือการหนีจากการตรวจสอบในบ้านเกิดตัวเองหรือไม่? หากบริษัทโปร่งใสจริง เหตุใดจึงต้องกลัวการเปิดงบฯ ให้คนไทยได้เห็นไส้ใน
กำไรที่งอกงาม บนคำถามที่ไร้คำตอบ
นักลงทุน และแฟนคลับนักลงทุนคริปโตไม่ได้กำลังกล่าวหาว่าบิทคับเป็นแหล่งซ่องสุมของมิจฉาชีพ แต่ตัวเลขวอลุ่มที่พุ่งทะยานสวนทางตรรกะตลาด มันกำลังส่งเสียงดังกว่าคำแถลงการณ์ใด ๆ ในวันที่เงินไหลเร็วกว่าแสง และค่าธรรมเนียมงอกงามกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก สิ่งที่สังคมต้องการไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ของผู้บริหารรุ่นใหม่วิสัยทัศน์ไกล แต่คือ “สปอตไลต์” ที่ส่องสว่างไปยังเส้นทางการเงินเหล่านั้นอย่างทั่วถึง
เพราะหากตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยเติบโตขึ้นบนฐานของความคลุมเครือ สุดท้ายมันอาจไม่ได้พังทลายเพราะขาดสภาพคล่อง แต่จะพังทลายเพราะ “ขาดความเชื่อมั่น” และเมื่อถึงวันนั้น ค่าธรรมเนียมมหาศาลที่กอบโกยมาได้ อาจไม่คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่ายด้วยชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือที่ไม่อาจกู้คืน.


