xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ทฤษฎีสมคบคิด? สงครามไทย-เขมร ใครได้ประโยชน์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การศึกสงครามระหว่างไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 2 เป็นที่จับตาจากทั้งคนไทยและนานาอารยประเทศ เพราะเดิมพันในครั้งนี้ไม่ใช่แค่อธิปไตยของประเทศเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงอนาคตทางการเมืองของ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” กับ “พรรคภูมิใจไทย” และ “ฮุน มาเนต” กับ “ระบอบฮุน เซน” ที่ปกครองดินแดนกัมพูชามาอย่างยาวนานอีกด้วย

เพราะต้องไม่ลืมว่า ก่อนหน้านี้ ผู้นำของทั้งไทยและกัมพูชานั้นตกอยู่ใน “สภาพเดียวกัน” คือคะแนนนิยมอยู่ในช่วงขาลงอย่างมีนัยสำคัญ

คำถามที่เกิดขั้นก็คือ แล้วสงครามครั้งนี้จะยืดเยื้อยาวนานแค่ไหน และใครได้ประโยชน์มากกว่ากัน

ผู้ที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา

แน่นอน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคำตอบในเรื่องการยุติสงคราม เพราะทุกอย่างเต็มไปด้วยแรงกดดันจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งจากประชาชนของทั้งสองประเทศและประชาคมโลก โดยเฉพาะประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการเจรจาสงบศึกรอบแรกที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะ “แทรกแซงซ้ำ” อีกครั้ง

กล่าวสำหรับนายอนุทินนั้น หลังจากที่เขาก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยจากแรงสนับสนุนของ “พรรคประชาชน” แม้จะสามารถสถาปนาตัวเองเป็น “หัวหน้าบ้านใหญ่” และมีแต้มต่อทางการเมืองกระเตื้องขึ้นมาจากเดิม แต่สถานการณ์ก็ดำรงอยู่เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว โดยเฉพาะหลังจาก “ความล้มเหลว” ในการจัดการกับมหาอุทกภัยที่หาดใหญ่ ซึ่งส่งผลรุนแรงทางการเมืองจนกระทบกับความฝันที่จะกลับมาจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างรุนแรง

ยิ่งกับตัวนายอนุทินด้วยแล้ว ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงภาวะผู้นำรัฐบาล สารพัดโพล ไม่ว่าจะเป้นนิด้าโพลและไทยรัฐโพลชี้ชัดว่า ความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลและตัวเขาลดต่ำลงถึงระดับที่คำว่า “ยุบสภา” กลายเป็นหมากที่พูดไม่ได้อีกต่อไป

แต่ทันทีที่ “เสียงปืนแตก” บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาดังขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน จนทำให้ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 1 (พัน.ร.13) ถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 2 นายคือ สิบเอก อนุชาติ เรือนคำ และ พลทหาร พรชัย จำปาจุม ที่ “ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน” จ.ศรีสะเกษ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2568 และทำให้กองทัพไทยตัดสินใจตอบโต้ ได้ส่งผลดีกับตัวนายอนุทินและรัฐบาล ซึ่งตัวนายอนุทินเองก็รู้ดี ดังนั้น เขาจึงสนองตอบอย่างคนที่รับรู้อารมณ์ทางการเมืองโดยไม่รอช้าด้วยการประกาศสนับสนุนกองทัพไทยในทุกรูปแบบ

F-16 ทิ้งระเบิดถล่มกาสิโน-คลังน้ำมันกัมพูชา หลังพบเป็นฐานปล่อยโดรน-เก็บอาวุธหนัก
ในวันที่ 8 มกราคม เวลา 12.20 น. นายอนุทินประกาศแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจร่วมกับผู้นำกองทัพทั้งสามเหล่าทัพ และปลัดกระทรวงมหาดไทยว่า “ไทยไม่ใช่ฝ่ายริเริ่ม ไม่ใช่ผู้รุกราน แต่ไทยพร้อมปฏิบัติการทางทหารในทุกมาตรการเพื่อปกป้องอธิปไตยและประชาชน” และให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมด้วยว่า “การเจรจาก็คงไม่มีแล้ว จากนี้ไปประเทศกัมพูชาต้องทำตามหากจะหยุดสู้รบกัน ต้องทำตามสิ่งที่ประเทศไทยกำหนด”

นั่นคือ การพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสของนายอนุทิน และทำให้นายอนุทินสามารถพลิก “ภาพลบ” จากน้ำท่วมให้กลายเป็น “ภาพบวก” อย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับแรงสนับสนุนจากประชาชนส่วนใหญ่ที่ส่งเสียงพร้อมกันว่าเที่ยวนี้ “ต้องเอาให้จบ”

อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ทางการเมืองระหว่างประเทศมีความเห็นว่า สถานการณ์คงจะลงเอยไม่ต่างจากเดิมที่ผู้นำทั้งสองประเทศลงนามในปฏิญญาสันติภาพเพื่อสร้างภาพอันสวยหรูให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของชาวโลก ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในทางการเมืองสำหรับการตัดสินใจ เพราะต้องยอมรับว่า การไปลงนามในปฏิญญากัวลาลัมเปอร์เที่ยวที่แล้วโดยมิได้พิจารณาบริบทของสถานการณ์ให้ถี่ถ้วน ส่งผลเสียต่อคะแนนนิยมทางการเมืองของนายอนุทินอยู่ไม่น้อย เพราะโดยข้อเท็จจริง นับตั้งแต่ทั้งสองประเทศลงนามภายใต้แรงบีบของ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา และการอำนวยความสะดวกของ “อันวาร์ อิบราฮีม” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โลกก็รับรู้ว่า “สันติภาพไม่มีอยู่จริง”

กล่าวคือหลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีข้อตกลงหยุดยิง (เวลา 00.00 น. วันที่ 28 กรกฎาคม 2568) ทหารไทยต้องเผชิญกับความสูญเสียอย่างต่อเนื่องจากการเหยียบกับระเบิดที่ทหารกัมพูชามาวางไว้ในดินแดนของไทยรวมแล้วถึง 4 ครั้ง จน “นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ฉีกหน้ารัฐบาลฮุน มาเนตอย่างไม่มีชิ้นดีด้วยการนำหลักฐานคลิปวิดีโอแสดงให้เห็นขณะทหารกัมพูชากำลังประกอบและวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้เห็นจะจะแก่สายตาชาวโลก ในการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรืออนุสัญญาออตตาวา ครั้งที่ 22 (22MSP) ณ สำนักงานองค์การสหประชาชาติ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2568 ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาไม่สามารถหักล้างข้อเท็จจริงดังกล่าวได้

ประเด็นที่ต้องตั้งคำถามก็คือ ตลอดช่วงที่เกิดสงคราม นอกจากการประกาศสนับสนุนกองทัพแล้ว นายอนุทินก็มิได้กระทำการใดๆ ให้เป็นที่ประจักษ์แจ้ง โดยเฉพาะเมื่อกองทัพไทยประกาศชัดเจนว่า จะเดินหน้าทวงคืนแผ่นดินไทยตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50,000 และประสบความสำเร็จอยู่ไม่น้อย โดยถึงวันที่ 11 ธันวาคม มีข้อมูลยืนยันว่า กองทัพไทยประสบความสำเร็จหลายพื้นที่ เช่น บ้านหนองหญ้าแก้วที่คุมพื้นที่ได้ทั้งหมด บ้านคลองแผงที่สามารถทำลายฐานที่มั่นของฝ่ายกัมพูชาลงได้ ฯลฯ

เพราะถ้านายอนุทินกล้าตัดสินใจทางการเมืองจริง รัฐบาลจะต้องประกาศยกเลิก “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก” หรือ MOU 2543 เพราะยึดโยงกับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 เป็นสำคัญ ไม่เช่นนั้นจะไม่สอดรับกับยุทธศาสตร์ทางการทหาร

อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา
คำถามมีอยู่ว่า นายอนุทินจะยกเลิก MOU 2543 ซึ่งสามารถกระทำได้ทันทีด้วยมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) กี่โมง?

และจนถึง ณ ปัจจุบัน ก็ไม่ปฏิกิริยาเรื่องนี้ออกมาจากปากของนายอนุทินเลยแม้แต่น้อย

เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศที่จะต้องอรรถาธิบายว่า จะบูชา MOU 2543 ที่ยึดโยงอยู่กับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ต่อไปกระนั้นหรือ

ยิ่งเมื่อเห็นข้อเสนออันน่าสนใจของ “พลเอก มนัส จันดี” อดีตเสนาธิการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ที่โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า “ต้องปิดอ่าวไทย สกัดสินค้ายุทธปัจจัยโดยเฉพาะ น้ำมัน UAS CUAS ลูกจรวด ที่จะต่อลมหายใจเขมร” ก็ยิ่งต้องพุ่งเป้าไปที่นายอนุทินว่า เคยคิดจะทำบ้างหรือไม่เพื่อให้กัมพูชาสิ้นสภาพการรบอย่างสมบูรณ์แบบ

ขณะที่เมื่อตัดภาพไปที่ “รัฐบาลฮุน มาเนต” การปะทะตลอดแนวชายแดนที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง ต้องบอกว่า สำหรับกัมพูชาแล้ว ไม่ใช่แค่ “สงครามชายแดน” หากแต่เป็นสงครามที่เดิมพันด้วยอนาคตของ “ระบอบฮุน เซน” และโครงข่ายทุนอาชญากรรมที่หล่อเลี้ยงอำนาจเครือข่ายตระกูลฮุนมานานกว่าสี่ทศวรรษ เพราะฉะนั้น จึงไม่มีทางเลือกมากนักกับการใช้ “กระแสชาตินิยม” ด้วยเป็นเครื่องมือที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีพลานุภาพสำหรับประชาชนคนกัมพูชามาโดยตลอด

มีการวิเคราะห์กันว่า ต้นสายปลายเหตุของการเปิดฉากสงครามของรัฐบาลฮุน มาเนต เริ่มขึ้นหลังจากรัฐบาลไทยเปิดเกมรุกทลายเชิงโครงสร้างด้วยการอายัดและยึดทรัพย์สินของเครือข่ายกลุ่มทุนใกล้ชิดตระกูลฮุน ไม่ว่าจะเป็น เฉิน จื้อ, ก๊ก อาน, ยิม เลียก ฯลฯ รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ในเชิงกฎหมายนี่อาจเป็นเพียงคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ แต่ในเชิงการเมืองและความมั่นคง นี่คือการ “ยิงเข้ากลางหัวใจของระบอบฮุน” อย่างตรงจุดที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา

ที่สำคัญคือสอดคล้องกับหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ และอื่นๆ ที่มองเห็นว่า กัมพูชาคือศูนย์กลางของสแกมเมอร์ ศูนย์กลางของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และศูนย์กลางของอาชญกากรรมออนไลน์ที่สร้างปัญหาให้กับโลกอย่างมหาศาล จึงมีคำสั่งยึดทรัพย์เครือข่ายเหล่านี้ ซึ่งแน่นอนว่า มีสายสัมพันธ์โยงใยกับ “ระบอบฮุน เซน” อย่างแนบแน่นจนไม่อาจปฏิเสธได้

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เครือข่ายสแกมเมอร์ คอลเซ็นเตอร์ และกาสิโนในกัมพูชา ไม่ได้เป็นเพียงธุรกิจผิดกฎหมายใต้ดิน หากแต่กลายเป็นแหล่งทุนขนาดมหาศาลที่หล่อเลี้ยงระบบอุปถัมภ์ กลไกราชการ กองทัพ และเครือข่ายอำนาจทั้งประเทศ รายงานนานาชาติหลายฉบับประเมินตรงกันว่าธุรกิจสแกมเมอร์สร้างรายได้ให้กัมพูชาในแต่ละปีสูงถึงระดับ 4–6 แสนล้านบาท สูงกว่ารายได้จากภาคสิ่งทอ ซึ่งเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการเสียอีก นี่จึงไม่ใช่เพียง “เงินสกปรก” หากแต่เป็น “งบประมาณเงา” ที่ค้ำยันระบอบฮุนเซน มาอย่างยาวนาน

เมื่อไทยเริ่มตัดท่อน้ำเลี้ยงนี้อย่างจริงจัง ฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานวุฒิสภากัมพูชาในเวลานี้ จึงไม่เพียงสูญเสียผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หากแต่กำลังสูญเสียฐานอำนาจที่หล่อเลี้ยงทั้งระบบการเมืองของตนเอง และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้อดีตผู้นำกัมพูชาต้องกลับมาปรากฏตัวในบทบาทผู้นำทางทหารอย่างเปิดเผยอีกครั้งด้วยการโชว์ภาพบัญชาการรบด้วยตนเอง

ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ภายในประเทศกัมพูชากำลังเปราะบางอย่างยิ่ง โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องประชาชนที่อดอยากอันเป็นผลพวงจากการปิดด่านการค้าและมีปัญหากับไทยซึ่งเป็นตลาดการค้าและตลาดแรงงาน การเปิดศึกชายแดนในจังหวะนี้ของผู้นำกัมพูชาจึงมีลักษณะของ “สงครามเบี่ยงเบน” อย่างชัดเจน และฮุน เซน ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันกับผู้นำหลายชาติทั่วโลกที่เมื่อถูกบีบคั้นจากแรงกดดันภายใน มักเลือกใช้ความขัดแย้งภายนอกเป็นเครื่องมือหันเหความสนใจของประชาชน และรวบอำนาจกองทัพกลับมาอยู่ในมือ

กล่าวสำหรับปัจจัยบีบคั้นระบอบฮุนเซนในเวลานี้ ต้องบอกว่าถาโถมเข้ามาพร้อมกันหลายทิศทาง ทั้งเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวหนักจากการปิดด่านชายแดน ทั้งการหดหายของรายได้แรงงานในต่างประเทศโดยเฉพาะจากไทยซึ่งแรงงานกัมพูชาเคยมีรายได้และส่งเงินกลับประเทศปีละ 4-5 หมื่นล้าน ทั้งระบบการเงินสั่นสะเทือนจากปฏิบัติการ “Operation Prince” ของสหรัฐฯ และพันธมิตรที่ไล่ล่ากลุ่มทุนสีเทากัมพูชาอย่างเป็นระบบ การแห่ถอนเงินจากธนาคารที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายฟอกเงิน รวมถึงแรงกดดันทางการเมืองจากอาเซียนและเวทีโลกที่เริ่มถอยห่างจากกัมพูชาอย่างมีนัยสำคัญ

ในจังหวะที่ประตูทางเศรษฐกิจและการทูตเริ่มปิดลงทีละบาน สงครามจึงกลายเป็น “ไพ่ใบสุดท้าย” ที่ ฮุน เซนและฮุน มาเนต เหลืออยู่บนโต๊ะ เพื่อสร้างศัตรูภายนอกให้ชัดเจนพอจะกลบปัญหาภายใน และสร้างความชอบธรรมให้กับการควบคุมกองทัพและการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จอีกครั้ง

สงครามชายแดนรอบนี้ยังแตกต่างจากอดีตอย่างชัดเจน เพราะไม่ใช่เพียงการปะทะด้วยปืนใหญ่ ปืนครก หรือจรวดหลายลำกล้อง หากแต่เป็นสงครามลูกผสมเต็มรูปแบบที่ผสานการรบทางทหาร สงครามข่าวสาร การปฏิบัติการไซเบอร์ และที่สำคัญที่สุดคือ “สงครามการเงิน” อย่างเป็นระบบ เงินจากธุรกิจสแกมเมอร์ไม่เพียงถูกใช้เป็นหล่อเลี้ยงกลไกรัฐ หากแต่ยังถูกนำไปสนับสนุนการจัดหาอาวุธ การเคลื่อนกำลัง และการขยายอิทธิพลข้ามพรมแดนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

การที่ไทยหันมาเปิดแนวรบด้านการเงินอย่างจริงจัง ด้วยการดำเนินคดียึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ที่เชื่อมโยงถึงฮุน เซน จึงเท่ากับการรบในมิติที่ลึกกว่าสนามเพลาะ และเป็นการรบที่กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลกัมพูชาโดยตรงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน การยึดทรัพย์หมื่นล้านไม่ใช่เพียงสัญญาณทางกฎหมาย แต่คือสัญญาณทางยุทธศาสตร์ว่าไทยเริ่มมองปัญหานี้ในฐานะภัยความมั่นคงเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่เพียงอาชญากรรมรายคดี

ขณะเดียวกัน ยุทธศาสตร์ของฝ่ายไทยในการรับมือกับสถานการณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ หากการปะทะในอดีตมุ่งเน้นการตั้งรับและตอบโต้เฉพาะหน้า รอบนี้เป้าหมายถูกยกระดับไปสู่การ “ลิดรอนขีดความสามารถเชิงโครงสร้าง” ของฝ่ายตรงข้าม ทั้งการทำลายคลังอาวุธ การตัดเส้นทางส่งกำลังบำรุง และการโจมตีโครงสร้างเศรษฐกิจสีเทา เช่น กาสิโนและฐานสแกมเมอร์ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ของระบอบฮุน เซน

การขยับจากการป้องกันเชิงพื้นที่ไปสู่การป้องกันเชิงโครงสร้างนี้ สะท้อนว่าไทยไม่ได้มองศึกครั้งนี้เป็นเพียง “ปัญหาชายแดน” อีกต่อไป หากแต่มองเป็นปัญหาความมั่นคงระดับรัฐกับเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ฝังตัวอยู่ในโครงสร้างอำนาจของประเทศเพื่อนบ้านโดยตรง

ในขณะเดียวกัน ภายในกัมพูชาเองก็เริ่มเกิดแรงกระเพื่อมทางการเมืองที่ไม่อาจมองข้าม การเคลื่อนไหวของ “สม รังสี” อดีตผู้นำฝ่ายค้าน ที่ออกมาโจมตีตระกูลฮุนอย่างตรงไปตรงมา กล่าวหาระบอบฮุน เซนว่าใช้ทหารและประชาชนเป็นโล่มนุษย์ ปกป้องเครือข่ายอาชญากรรม ปล่อยให้ประเทศจมอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจ ยาเสพติด หนี้สิน และความไม่เป็นธรรมในสังคม แม้จะยังไม่ใช่พลังที่สามารถโค่นล้มอำนาจได้ในทันที แต่ก็สะท้อนรอยร้าวทางความชอบธรรมที่เริ่มขยายตัวในช่วงเวลาที่ระบอบฮุน เซน กำลังอ่อนแรงที่สุดในรอบหลายทศวรรษ

เมื่อแรงกดดันจากภายนอกและแรงเสียดทานจากภายในเกิดขึ้นพร้อมกัน สงครามชายแดนจึงกลายเป็นทั้ง “เกราะป้องกัน” และ “ดาบสองคม” สำหรับฮุน เซน ในด้านหนึ่งมันช่วยสร้างศัตรูร่วมให้ประชาชนหันไปจดจ่อกับภัยภายนอก แต่อีกด้านหนึ่งมันก็เปิดเผยความเปราะบางของรัฐที่ต้องพึ่งพาความขัดแย้งเพื่อค้ำยันอำนาจตนเอง

ทั้งหมดนี้ทำให้ศึกชายแดนรอบนี้เดิมพันด้วย “อนาคตทางการเมือง” โดยเฉพาะ “ระบอบฮุน เซน ที่ใช้ทุนอาชญากรรมเป็นฐานอำนาจจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้อีกนานเพียงใด ท่ามกลางแรงกดดันจากโลกภายนอกและแรงเสียดทานจากสังคมภายในประเทศของตนเอง

หากไทยเดินเกมอย่างรอบคอบ ใช้พลังทางการเงิน การทูต และการทหารควบคู่กันอย่างมีชั้นเชิง สงครามครั้งนี้อาจกลายเป็น “จุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์” ของภูมิภาค ที่รัฐมาเฟียไม่สามารถใช้เงินสกปรกซื้ออำนาจต่อไปได้อีก

กัมพูชาใช้ปราสาทพระวิหารเป็นฐานที่มั่นทางทหาร และใช้เป็นสถานที่ซุ่มยิงหรือโจมตีไทย

ช่องซำแต(Sam Ta) ที่ทหารเขมรล่วงล้ำเข้ามายึดตั้งฐานที่มั่นทางทหาร ก่อนที่ทหารไทยจะเข้ายึดและอัญเชิญธงชาติไทยได้ขึ้นสู่ยอดเสาได้สำเร็จ
ส่วนแรงกดดันจากประชาคมโลกนั้น “ปณิธาน วัฒนายากร” ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ให้ความเห็นเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศแล้วว่าจะแทรกแซงสงครามกัมพูชา-ไทยในรอบนี้อีก เพียงแต่คงจะทอดเวลาหรือให้โอกาสไทยและกัมพูชาจัดการรบให้จบภายในเวลาที่จำกัดหรืออีกไม่นานนัก เพราะมีเหตุผลหลายประการสำคัญ ทั้งเรื่องหน้าตา คะแนนนิยม ทั้งเรื่องรางวัล เรื่องเศรษฐกิจ ดุลการค้า ดุลอำนาจในภูมิภาคและในโลก ถ้าไทยและกัมพูชายังขัดขืนหรือไม่ยอมยุติการรบตามกำหนด สหรัฐฯ คงจะใช้มาตราการทางภาษีคล้าย ๆ เดิมเป็นสำคัญแต่คงจะหนักขึ้น

สำหรับไทยนั้น สหรัฐฯ อาจจะมีมาตราการกดดันอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น งดหรือลดการส่งกำลังบำรุงทางการทหาร หรือจำกัดการสนับสนุนการช่วยรบที่ให้กับไทยลง (ทหารไทยพึ่งพาสหรัฐฯและพันธมิตรตะวันตกเป็นหลักกว่า 80% ตามโครงสร้างและศักยภาพ) หรืออาจจะเปิดโปงข้อมูลใหม่ ๆ ของคนไทยบางคนที่ไปเกี่ยวพันกับขบวนการหรือเรื่องที่ผิดกฎหมาย เป็นต้นก็ได้

นอกจากนี้ สหรัฐฯ อาจจะหันไปสนับสนุนกัมพูชาเพิ่มขึ้นในบางรูปแบบ ทั้งนี้ เพื่อกดดันไทยและบางชาติเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่งด้วย ซึ่งความจริง สหรัฐฯก็เล่นเกมแบบนี้อยู่แล้ว เพราะตัวเองก็ได้ประโยชน์แทบทุกทาง

ส่วนกัมพูชา หากยังไม่หยุดรบ สหรัฐฯ คงจะตัดความช่วยเหลือต่าง ๆ ที่มีอยู่ลง ลงมือกับแก๊งหรือขบวนการต่าง ๆ ให้หนักข้อขึ้น เหมือนกับที่ทำอยู่ในขณะนี้ในแถบลาตินอเมริกาก็ได้ ที่สำคัญ สหรัฐฯ อาจจะเพิ่มการสนับสนุนไทยในการรบอย่างจริงจังเพื่อช่วยเผด็จศึกและสั่งสอนกัมพูชาและชาติที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง (แต่ก็สุ่มเสี่ยงต่อการบานปลายกลายเป็นสงครามตัวแทนได้)

“สุดท้ายแล้ว สหรัฐฯ อาจจะพยายามโค่นล้มนายฮุนเซนลงอย่างจริงจัง เพราะก็ชัดเจนแล้วว่าปัญหามาจากคน ๆ เดียวเป็นสำคัญ แต่จะต้องหาทางสนับสนุนผู้นำคนใหม่ ๆ ที่เอื้อประโยชน์กับตนมากกว่านี้ให้เข้ามาแทนที่ให้ได้ ซึ่งก็ไม่ง่ายนัก และชาติอื่น ๆ เช่น จีน รัสเซีย คงไม่ยอม และอาจจะสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ชาวเขมรแตกออกเป็น 5-6 กลุ่ม (นอกจากเขมรตระกูลฮุนแล้ว อาจจะมีเขมรแดงเดิม เขมรเจ้านาย เขมรสายเวียดนาม เขมรสายอเมริกันตะวันตก เขมรสมรังสี และเขมรเจนซี (ที่อาศัยอยู่ในเมืองไทยจำนวนมาก) และในที่สุด ก็จะเกิดสงครามกลางเมืองกันอีก”อาจารย์ปณิธานวิเคราะห์



พลโท วรยส เหลืองสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 1 พลโท วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาค 2 คีย์แมนสำคัญในปฏิบัติการตอบโต้กัมพูชา
 พร้อมเสนอแนะด้วยว่า หากการคาดคะเนข้างต้นมีน้ำหนัก สิ่งที่ไทยควรจะต้องทำก็คือ เร่งระดมสถาปนาพื้นที่ตามแนวชายแดนให้มั่นคงปลอดภัยอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการลดภัยคุกคามด้านการทหาร จากอาวุธหนัก และจากกำลังรบของกัมพูชาที่มีอยู่มากตามแนวชายแดนลงให้ได้มากที่สุด พร้อมจัดตั้งพื้นที่ “แนวกันชนเพื่อสันติภาพและมนุษยธรรม” (Humanitarian/Demilitarized Zone) ขึ้นมาตลอดชายแดน 7 จังหวัด โดยให้เป็นเขตปลอดอาวุธหนัก ปราศจากกำลังรบในเชิงรุก และมีการจัดระเบียบการปักปันชายแดนให้ดีขึ้นกว่าเดิม แต่อยู่บนพื้นฐานของอำนาจอธิปไตยและเขตแดนที่ชอบธรรมของไทย

“แต่ทั้งนี้ ไทยจะต้องอาศัยความร่วมมือและการสนับสนุนของพันธมิตรและนานาชาติในการจัดพื้นที่ดังกล่าวด้วย โดยเฉพาะจากสหรัฐฯ ที่สนใจกรณีนี้เป็นอันมาก และจีนที่ดูเหมือนกับว่าจะรักษาระยะห่างจากสองคู่กรณีมาตั้งแต่แรก และเพิ่งเสนอแนวทางพบกันคนละครึ่งทางและเป็นตัวกลางอย่างสร้างสรรค์ แต่ไม่ค่อยจะเป็นคุณประโยชน์กับไทย ทั้ง ๆ ที่ย้ำอยู่เสมอว่าไทยจีนนั้นใกล้ชิดกันเปรียบเสมือนเป็นญาติกัน”อาจารย์ปณิธานให้ความเห็น

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้ว ถ้าถามว่า ใครได้ประโยชน์กับสงครามครั้งนี้

ก็ต้องบอกว่า “อนุทินและฮุน มาเนต วิน-วิน” ทั้งคู่

ส่วนจะเป็นไปตาม “ทฤษฎีสมคบคิด” หรือไม่ โปรดใช้วิจารณญาณในการตัดสินใจอย่างถี่ถ้วน เพราะแม้จะไม่ได้สมคบคิดกันแต่ก็จังหวะของสถานการณ์ก็มาลงล็อกอย่างพอดิบพอดี

แต่ที่ได้มากที่สุดก็เห็นทีจะหนีไม่พ้น “สหรัฐอเมริกา” เพราะจะสามารถใช้สงครามครั้งนี้ บีบทั้งสองประเทศให้เดินไปตาม “ภูมิรัฐศาสตร์” ที่วางไว้ในการเข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคนี้เพื่อคานอำนาจ “จีน” ที่ในระยะหลังกลายเป็น “มหามิตร” ของหลายๆ ประเทศเช่นกัน ขณะที่จีนเองคงจะไม่ค่อย “แฮปปี้” สักเท่าไหร่


กำลังโหลดความคิดเห็น