มองหุ้นกลุ่มเดินเรือ วิกฤตทะเลแดงดัน "เรือเทกอง" (PSL – TTA) พุ่งทะยาน!รับค่า BDI โตสุดในรอบ 2ปี ขณะที่ PRM ปันผลสูง-รายได้มั่นคงยังน่าสนใจ ส่วนเรือตู้คอนเทนเนอร์(RCL)แม้ค่าระวางตู้เติบโต แต่แรงกดดันจากจำนวนเรือที่เพิ่มสูงเริ่มฉุดดึงราคา
หุ้นกลุ่มเดินเรือทะเลถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมาช้านาน โดยจะอยู่ในหมวดธุรกิจ ขนส่งและโลจิสติกส์ (Transportation & Logistics - TRANS) โดยบริษัทหลัก ๆ ที่นักลงทุนอ้างถึง ได้แก่ บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน)(PSL) บริการขนส่งสินค้าแห้งเทกองทั่วโลก (Dry Bulk) เช่น แร่เหล็ก ถ่านหิน และธัญพืชBaltic Dry Index (BDI)
ถัดมาคือ บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) (TTA) ธุรกิจเดินเรือเทกอง (เป็นธุรกิจหลักในเครือ) รวมถึงธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง และธุรกิจอาหารBaltic Dry Index (BDI) ,บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน)(RCL) บริการขนส่งสินค้าทางเรือแบบตู้คอนเทนเนอร์ (Container Shipping) ทั้งเส้นทางในภูมิภาคและระหว่างประเทศค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ (Freight Rates) และ บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน)( PRM) บริการขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลว (Liquid Cargo) รวมถึงเรือที่สนับสนุนงานสำรวจและผลิตปิโตรเลียมกลางทะเล
สำหรับกลุ่มเรือเทกอง (PSL, TTA) เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงและรวดเร็วจากสถานการณ์ใน ทะเลแดง และการเปลี่ยนแปลงของ BDI ซึ่งเป็นประเด็นร้อนที่ทำให้น่าสนใจที่สุดในตอนนี้ ขณะที่กลุ่มเรือคอนเทนเนอร์ (RCL) แม้จะได้รับอานิสงส์จากปัญหาการขนส่งที่ทำให้เกิดความล่าช้าและค่าระวางตู้คอนเทนเนอร์ปรับขึ้น แต่ธุรกิจจะมีความอ่อนไหวต่อปริมาณการค้าโลกและอุปสงค์-อุปทานของตู้คอนเทนเนอร์ ส่วนกลุ่มเรือขนส่งของเหลว (PRM) ธุรกิจมีความมั่นคงกว่ากลุ่มเรือเทกอง เนื่องจากส่วนใหญ่มีสัญญาเช่าระยะยาว (Time Charter) และอิงกับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซเป็นหลัก
สถานการณ์เรือเทกอง
หุ้นกลุ่มเรือเดินทะเลเทกอง ซึ่งประกอบด้วย PSL และ TTA ในปัจจุบัน มีความผันผวนสูงตามทิศทางของดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (BDI) โดยสถานะปัจจุบันของหุ้นเรือเทกอง (ธันวาคม 2568) อยู่ในช่วงที่ได้รับปัจจัยบวกอย่างแข็งแกร่งจาก BDI ที่พุ่งขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบเกือบ 2 ปี (ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2568 ดัชนี BDI แตะระดับสูงกว่า 2,480 จุด)
ทั้งนี้ ***ปัจจัยบวกหลัก มาจากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในทะเลแดง ทำให้เรือต้องใช้เวลานานขึ้นและต้องใช้กองเรือมากขึ้น ส่งผลให้ค่าระวางเรือพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ***
สำหรับราคาหุ้นทั้ง PSL และ TTA พบว่าได้ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคักในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 เพื่อตอบรับกับการฟื้นตัวของ BDI ขณะที่ผลตอบแทนในรอบปี (Year-to-Date: YTD) พบว่า ราคาหุ้น PSL (4ธ.ค.)อยู่ที่ 7.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.25 บาท หรือ 3.70% จากสิ้นปี 2567 ขณะที่ราคาหุ้น TTA (4ธ.ค.)อยู่ที่ 4.50 บาท ลดลง 0.71 บาท หรือ 13.73% สิ่งเหล่านี้ช่วยสะท้อนว่า PSL ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับต้นปี แม้ว่าตลาดจะมีการผันผวนสูง
แต่สำหรับ TTA ยังคงติดลบอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับต้นปี น่าจะมาจากปัจจัยที่ TTA เป็นโฮลดิ้งคอมพานีที่ดำเนินธุรกิจหลากหลาย (ธุรกิจเรือเทกอง, ธุรกิจบริการนอกชายฝั่ง, ธุรกิจเคมีภัณฑ์, และธุรกิจอาหาร) ซึ่งผลการดำเนินงานจากธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจเรือเทกอง อาจส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นโดยรวม ทำให้ผลตอบแทนในรอบปีไม่สอดคล้องกับทิศทางบวกของดัชนี BDI เพียงอย่างเดียว
สถานการเรือตู้คอนเทนเนอร์
สถานการณ์ปัจจุบันและปัจจัยขับเคลื่อนหุ้น RCL มีความอ่อนไหวต่อ ค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ได้รับผลกระทบจากดัชนี BDI โดยตรงเหมือนเรือเทกอง แต่ก็ได้รับอานิสงส์จากประเด็นโลจิสติกส์ทั่วโลกเช่นกัน โดยปัจจัยบวกหลักมาจากปัญหาเส้นทางเดินเรือ เช่นเดียวกับเรือเทกอง โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งในทะเลแดง/คลองสุเอซ ทำให้การขนส่งล่าช้าและต้องใช้เรือในระบบมากขึ้น ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนระวางเรือชั่วคราวและช่วยหนุนให้ค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ปรับตัวสูงขึ้นการขยายกองเรือ
ไม่เพียงเท่านี้ RCL ยังคงมีกลยุทธ์ในการขยายกองเรือใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและทันสมัยขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่งและควบคุมต้นทุนการเดินเรือได้ดีผลการดำเนินงาน โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 RCL ยังคงทำกำไรได้ดี โดยเฉพาะไตรมาส 2/2568 ที่ทำกำไรสุทธิเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปีก่อน (เนื่องจากฐานกำไรสูงจากปี 2564-2565 เริ่มลดลงในปี 2567 และกลับมาฟื้นตัวในปี 2568) แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องระวัง ในเรื่องอุปทานเรือใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันในระยะยาวคือการส่งมอบเรือตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่จำนวนมากทั่วโลก ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะอุปทานล้นตลาดและกดดันค่าระวางเรือให้ปรับตัวลงได้
นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนทางการค้าโลก เช่น การเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าและภาษีนำเข้าของประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ยังคงสร้างความผันผวนต่อทิศทางการค้าโลก
ส่วนราคาหุ้น RCL ตั้งแต่ต้นปีพบว่า (4ธ.ค.) อยุ่ที่ 27.25 บาท ลดลง 1.00 บาทหรือ 3.54% สะท้อนว่าแม้ว่า RCL จะได้รับอานิสงส์จากปัจจัยบวกที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปี และผลประกอบการไตรมาส 2/2568 จะออกมาดี แต่ราคาหุ้น ยังปรับตัวลดลงประมาณ -3.54% เมื่อเทียบกับราคาต้นปี 2568 สาเหตุอาจเกิดจากราคาหุ้นที่เคยปรับตัวขึ้นไปสูงมากในช่วงต้นปี 2568 และนักลงทุนบางส่วนเริ่มกังวลเกี่ยวกับวัฏจักรธุรกิจ (Cycle) ของค่าระวางเรือที่อาจชะลอตัวลงในอนาคตอันใกล้ หากสถานการณ์ความขัดแย้งคลี่คลาย หรืออุปทานเรือใหม่เริ่มเข้าสู่ตลาดอย่างเต็มที่
สถานการณ์กลุ่มเรือขนส่งของเหลว
สำหรับสถานะปัจจุบันและปัจจัยขับเคลื่อนของ PRM แบ่งเป็น 4 ส่วนหลัก โดยเน้นที่การขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูป และปิโตรเคมีเหลว ภาพรวมธุรกิจเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมัน (FSU - Floating Storage Unit) เป็นส่วนที่สร้างรายได้หลักและมีความมั่นคงสูง เนื่องจากเรือส่วนใหญ่ถูกให้เช่าตาม สัญญาบริการระยะยาว (Time Charter) ซึ่งทำให้บริษัทมีรายได้ที่แน่นอนและคาดการณ์ได้ (ต่างจากเรือเทกองที่อิงกับราคาตลาดรายวัน)
ถัดมาคือความมั่นคงของรายได้ การมีสัญญาระยะยาวทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่ำต่อความผันผวนของค่าระวางเรือในตลาดโลก (Spot Rate)
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายกองเรือ FSU อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการใช้เรือ (Utilization Rate) และเพิ่มรายได้ โดยเฉพาะการเข้าตลาดใหม่ ๆ เช่น ตะวันออกกลาง (มีรายงานข่าวความสำเร็จในการขยายตลาด OSV ในตะวันออกกลาง)
นั่นทำให้นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรปกติ (Core Profit) จะยังคงเติบโตต่อเนื่องในปี 2568 โดยมีแรงหนุนจากธุรกิจ FSU และการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีส่วนความท้าทายที่ต้องระวังคือราคาน้ำมัน แม้จะมีสัญญาระยะยาว แต่ความผันผวนของราคาน้ำมันยังคงส่งผลต่อต้นทุนการดำเนินงานและความต้องการใช้บริการในภาพรวม
ขณะที่ราคาหุ้น PRM ณ 4 ธ.ค. 2568 อยู่ที่ 6.30 บาท ลดลง 2.30 บาท หรือ 26.74% จากสิ้นปี 2567 ซึ่งอยู่ที่ 8.60 บาท สาเหตุหลักที่ราคาหุ้นลดลงนั้น เชื่อว่าเกิดจากการปรับฐานของราคา หลังจากก่อนหน้านี้ ราคาหุ้น PRM เคยทำจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ไว้ที่ 9.25 บาท ทำให้การลดลงของราคาหุ้นนั้นน่าจะมาจากการปรับตัวขึ้นรับข่าวดีไปในช่วงก่อนหน้านี้
ส่วนความผันผวนของธุรกิจ แม้จะมีสัญญาระยะยาว แต่ความกังวลเกี่ยวกับวัฏจักรธุรกิจพลังงาน ต้นทุน และการแข่งขันในตลาดบริการนอกชายฝั่ง อาจเป็นปัจจัยกดดันราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามหลายรายยังคงแนะนำ "ซื้อ" โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยสูงกว่าราคาปัจจุบันมาก ซึ่งสะท้อนมุมมองเชิงบวกต่อรายได้ที่มั่นคงและเงินปันผลที่คาดว่าจะอยู่ในระดับสูง
มุมมองโบรกเกอร์ต่อหุ้นเดินเรือ
ปัจจุบัน หุ้นกลุ่มเรือเทกอง (PSL & TTA) ได้รับอานิสงส์เต็มจากจากความผันผวนของดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (BDI) ซึ่งพุ่งทะยานสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี โดยปัจจัยขับเคลื่อนมาจากการโจมตีเรือในคลองสุเอซ/ทะเลแดง ทำให้เส้นทางเดินเรือหลักต้องเปลี่ยนไปอ้อมแหลมกู๊ดโฮป ส่งผลให้ระยะเวลาขนส่งยาวนานขึ้น และความต้องการใช้เรือในระบบเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ดันให้ค่าระวางเรือพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งมองว่าปัจจัยนี้เป็นโอกาสในการ "เก็งกำไร" หุ้นกลุ่มนี้ แม้ว่าผลประกอบการบางช่วงในไตรมาส 3/2568 จะออกมาต่ำกว่าคาด แต่ Sentiment เชิงบวกจาก BDI ที่แข็งแกร่งในช่วงปลายปี 2568 ยังคงเป็นแรงหนุนสำคัญ
ส่วนกลุ่มเรือตู้คอนเทนเนอร์ (RCL) ภาพรวมฟื้นตัวตามโลจิสติกส์โลก และ RCL เป็นผู้เล่นหลักในกลุ่มนี้ ที่ได้รับอานิสงส์ทางอ้อมจากปัญหาโลจิสติกส์โลกและค่าระวางตู้คอนเทนเนอร์ที่ฟื้นตัว โดยปัญหาเส้นทางเดินเรือทำให้เกิดภาวะตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลนและเกิดความล่าช้า ดันให้ค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ปรับตัวสูงขึ้น
ไม่เพียงเท่านี้บริษัทมีความพยายามในการขยายกองเรือและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ซึ่งช่วยหนุนให้ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 ออกมาดี แต่ธุรกิจยังมีความเสี่ยงจากการเข้าสู่ตลาดของเรือคอนเทนเนอร์ใหม่จำนวนมากทั่วโลกในปี 2569 ยังคงเป็นปัจจัยกดดันที่ทำให้นักลงทุนมีความระมัดระวัง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยบวก แต่ราคาหุ้น RCL ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในรอบปี (YTD) ซึ่งสะท้อนความกังวลของตลาดต่อวัฏจักรธุรกิจและปริมาณอุปทานเรือใหม่ที่จะเข้ามาในอนาคต
สำหรับกลุ่มเรือขนส่งของเหลว (PRM) ถือหุ้นปันผลที่มีรายได้มั่นคง โดย PRM โดดเด่นด้วยโมเดลธุรกิจที่แตกต่าง คือเน้นการขนส่งและจัดเก็บน้ำมัน (FSU) ภายใต้ สัญญาบริการระยะยาว ทำให้เป็นหุ้นที่นักลงทุนมองหาความมั่นคงของกระแสเงินสดและเงินปันผล
นั่นทำให้นักวิเคราห์เชื่อว่า PRM เป็นบริษัทที่มีรายได้สม่ำเสมอ โดยรายได้ส่วนใหญ่มาจากเรือ FSU ที่มีสัญญาเช่าระยะยาว ทำให้บริษัทมีความเสี่ยงต่ำต่อความผันผวนของค่าระวางเรือในตลาด (Spot Rate) นำไปสู่ คำแนะนำ "ซื้อ" จากบริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ ด้วยราคาเป้าหมายสูงถึง 9.00 - 9.25 บาท โดยให้เหตุผลหลักคือ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่โดดเด่น (Div. Yield) ซึ่งคาดการณ์ไว้สูงถึง7.5% ในปี 2568
ไม่เพียงเท่านี้ PRM ยังมีการขยายกองเรือและตลาดใหม่ ๆ โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง คาดว่าจะช่วยหนุนกำไรปกติในไตรมาส 4/2568 ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์แนะนำ "ซื้อ" แต่ราคาหุ้น PRM ปรับตัวลดลงค่อนข้างมากในรอบปี (YTD) ซึ่งเกิดจากการปรับฐานของราคา (Price Correction) หลังราคาวิ่งขึ้นไปรับข่าวดีก่อนหน้านี้ โดยราคาปัจจุบันถือว่าน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มองหาหุ้นปันผลที่มีรายได้มั่นคง
มุมมองต่อหุ้นเดินเรือโลก
ส่วนบทวิเคราะห์หุ้นเดินเรือระดับโลก (Global Shipping Stocks) มุมมองล่าสุดในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2568 เน้นว่าอุตสาหกรรมเดินเรือยังคงเผชิญกับความผันผวนสูงจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ แต่ยังคงมีโอกาสทำกำไรในบางกลุ่ม เริ่มที่กลุ่มเรือเทกอง สำหรับหุ้นเรือเทกองในตลาดโลก เช่น Star Bulk Carriers (SBLK), Genco Shipping & Trading (GNK) และ Pangaea Logistics (PANL) ได้รับมุมมองเชิงบวกในระยะสั้นถึงกลาง โดยปัจจัยบวกหลักคือการพุ่งขึ้นของดัชนี BDI อย่างรุนแรงในช่วงปลายปี 2568 ซึ่งเป็นผลมาจากการหยุดชะงักของเส้นทางเดินเรือและอุปสงค์ที่กลับมา
ทั้งนี้บริษัทวิจัยหลายแห่งมองว่าหุ้นกลุ่มนี้มีแนวโน้มได้รับผลกำไรโดดเด่นจากค่าระวางเรือที่สูงขึ้น โดยคาดว่ากำไรต่อหุ้นในปี 2568 ของบางบริษัท (เช่น Pangaea Logistics) จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก เกินกว่า 600% เมื่อเทียบเป็นรายปี
ขณะที่ กลุ่มเรือตู้คอนเทนเนอร์ (Container Shipping) บริษัทเดินเรือตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ระดับโลก เช่น A.P. Møller - Mærsk (AMKBY) และ ZIM Integrated Shipping Services (ZIM) ยังคงมีประเด็นที่น่าสนใจ นั่นคือเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมอย่างรุนแรงจากการเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือ ซึ่งแม้จะเพิ่มต้นทุนการเดินเรือ แต่ก็ช่วยหนุนให้ค่าระวางเรือตู้คอนเทนเนอร์ปรับตัวสูงขึ้น นั่นทำให้หุ้นกลุ่มนี้หลายบริษัทยังซื้อขายในระดับที่ถูกกว่าตลาดโดยรวม (S&P 500) เมื่อเทียบจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรล่วงหน้า 12 เดือน (Forward P/E)
แต่หุ้นบางตัวในกลุ่มนี้ (เช่น ZIM) ยังคงเป็นที่น่าสนใจอย่างมากในเชิง อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ซึ่งเคยอยู่ในระดับสูงมากถึง 21.37% (ข้อมูล ณ เดือน ต.ค. 2568) แม้ว่าเงินปันผลอาจผันผวนตามกำไร นอกจากนี้แนวโน้มในระยะยาวกว่าปี 2568 ยังคงมีความกังวลเรื่อง อุปทานเรือใหม่ล้นตลาด โดยมีการคาดการณ์ว่าอุปทานเรือคอนเทนเนอร์ใหม่จะเพิ่มขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าความต้องการในการขนส่ง
ส่วนกลุ่มเรือบรรทุกก๊าซและน้ำมัน (LNG/Tanker)เช่น Golar LNG (GLNG) และเรือบรรทุกน้ำมัน เช่น Frontline (FRO) ก็อยู่ในความสนใจ โดยเฉพาะเรือ LNG ได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและการเปลี่ยนผ่านพลังงานของโลก และเรือ Tanker ได้รับอานิสงส์จากความต้องการขนส่งน้ำมันที่เพิ่มขึ้น และการจัดระเบียบเส้นทางการค้าใหม่ ๆ จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
โดยสรุปบทวิเคราะห์โดยรวมใน ช่วงนี้เน้นการ "เก็งกำไร" ในหุ้นที่เชื่อมโยงกับค่าระวางเรือที่กำลังพุ่งสูงขึ้นจากวิกฤต ทะเลแดง (เช่น กลุ่มเรือเทกอง) ในขณะเดียวกันก็แนะนำให้พิจารณาหุ้นที่มี มูลค่าต่ำ (Undervalued) และมี เงินปันผลสูง ในกลุ่มเรือคอนเทนเนอร์และเรือบรรทุกสินค้าเฉพาะทาง เพื่อรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกในปี 2569


