ในปี2568 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยยังคงเผชิญความท้าทายจากภาวะกำลังการผลิตใหม่จากจีนที่ออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน แม้ว่าช่วงเวลานี้จะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของมาร์จินปิโตรเคมีดีขึ้น เป็นผลจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับลดลง ทำให้ราคาแนฟทาซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตปิโตรเคมีอ่อนตัวลงไปด้วย
ช่วยต่อลมหายใจให้กับผู้ประกอบการปิโตรเคมีออกไปอีกระยะหนึ่ง พอให้มีเวลาดำเนินมาตรการรับมือนโยบายขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff)ของสหรัฐฯที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 36%ตามที่สหรัฐฯประกาศเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2568 แม้ว่าสหรัฐฯได้เลื่อนการบังคับใช้ Reciprocal Tariff ออกไป 90 วัน (สิ้นสุดในวันที่ 8 เดือนกรกฎาคม 2568)แต่ยังคงจัดเก็บภาษีนำเข้า Baseline Tariff 10% กับทุกประเทศ ส่งผลให้ช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ มียอดสั่งซื้อสินค้าไทยและอีกหลายประเทศเพิ่มขึ้นเพื่อส่งไปตลาดสหรัฐฯก่อนที่มาตรการขึ้นภาษีจะมีผลบังคับใช้
ยิ้มออก!มาร์จินปิโตรเคมีฟื้นตัวแล้ว
นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน)หรือ SCC กล่าวว่า ในไตรมาส2/2568 สถานการณ์ต่างๆดีขึ้นโดยเฉพาะปิโตรเคมี เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน โดยไตรมาส2นี้ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับแนฟทา (สเปรด)ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 360-390เหรียญสหรัฐต่อตัน สูงกว่าไตรมาสก่อนที่มีสเปรดเฉลี่ย 310-320เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็นผลจากราคาวัตถุดิบหรือแนฟทาที่ปรับลดลงตามทิศทางราคาน้ำมัน เแม้ว่าจะมีโรงงานปิโตรเคมีแห่งใหม่จากจีนเปิดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ (COD)ในช่วงไตรมาส2-3ของปีนี้
ดังนั้น ในช่วงนี้บริษัทอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าควรจะกลับมาเดินเครื่องจักรโครงการลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP)ที่ประเทศเวียดนามอีกครั้งหรือไม่ เพราะมาร์จินปิโตรเคมีปัจจุบันอยู่ในระดับที่เพียงพอให้กลับมาเดินโรงงานได้อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ดี บริษัทคงรอดูการเจรจานโยบายภาษีระหว่างสหรัฐฯกับจีน รวมทั้งผลการเจรจากับกลุ่มประเทศอาเซียนก่อน เนื่องจากผลการหารือของทั้ง 2ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะออกมาด้านไหนล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมปิโตรเคมี
หากบริษัทตัดสินใจเดินเครื่องจักรโครงการLSPแล้ว ต้องมั่นว่าจะไม่กลับไปหยุดผลิตอีกเหมือนที่ผ่านมา แม้ว่าการกลับมาผลิตใหม่ของLSP จะไม่ทำกำไรมากนัก แต่จะช่วยเพิ่มกระแสเงินสดให้SCCมากขึ้น
ยอมรับว่าวัฏจักรปิโตรเคมีขาลงรอบนี้รุนแรงและยาวนานกว่าปกติ ทำให้โรงงานที่มีต้นทุนการผลิตสูงก็ต้องลดกำลังการผลิตลงและบางแห่งถึงขั้นปิดโรงงานไป ดังนั้นทำอย่างไรที่บริษัทจะอยู่ให้ได้ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ต้องปรับแผนธุรกิจรับมือทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเตรียมพร้อมการฟื้นตัวในอนาคต
โดยแผนระยะสั้น คือลดต้นทุน ให้สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก ,ขยายพอร์ตสินค้าให้รองรับความต้องการตลาดทุกระดับ , บุกตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และสร้างความได้เปรียบโดยส่งออกจากฐานการผลิตที่หลากหลายในภูมิภาคอาเซียน
สำหรับแผนระยะยาว บริษัทมีแผนการนำเข้าอีเทน 1 ล้านตันจากสหรัฐฯมาใช้ในโครงการLSP คาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 500ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจุบัน บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัดหรือ SCGC ได้มีการทำสัญญาซื้ออีเทนจำนวน 1ล้านตันจากสหรัฐฯแล้ว และทำสัญญาเช่าเหมาเรือขนส่งอีเทนระยะยาว15ปีจำนวน 5 ลำเป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยขณะนี้ได้เริ่มก่อสร้างถังเก็บอีเทน คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2570
เห็นสัญญาณรง.ใหม่ในจีนเลื่อนเปิดไม่มีกำหนด
ด้านนายศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ SCGC กล่าวว่า เราเห็นสัญญาณโครงการปิโตรเคมีแห่งใหม่ในจีนที่มีแผนจะเปิดในช่วงปี 2570-71 จะเลื่อนการเปิดอย่างไม่มีกำหนดหรือบางแห่งยกเลิกการลงทุนเลย หลังจากกำลังการผลิตล้นตลาดมาก แค่ปีนี้จะมีกำลังการผลิตใหม่ทั้งเม็ดพลาสติกPPและHDPEรวมราว 20ล้านตันต่อปี และยังเผชิญความเสี่ยงด้านวัตถุดิบ เนื่องจากจีนพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบปิโตรเคมีทั้งอีเทนและโพรเพนจากสหรัฐฯ ท่ามกลางความไม่ชัดเจนนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ และการตอบโต้ของรัฐบาลจีน อาจทำให้ต้นทุนการผลิตเม็ดพลาสติกจีนสูงขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ดี บริษัทอยู่ในธุรกิจนี้มานานกว่า 30ปีมีฐานลูกค้าทั่วโลก รู้ว่าสินค้าแบบใดเหมาะกับตลาดใด ยิ่งในช่วงนี้การทำตลาดแข่งขันรุนแรง ดังนั้น SCGCหันมาเจาะตลาดในประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยจากการขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯอาทิ ญี่ปุ่น โดยได้ขายเม็ดพลาสติกเข้าประเทศญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้นในไตรมาส 2ปีนี้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำกำไรสูงมากแต่ดีกว่าโรงงานไม่ได้เดิน ทำให้ไตรมาส2/2568 ยอดขายในแง่จำนวนตันดีขึ้นกว่าไตรมาสก่อน และสเปรดก็สูงขึ้นด้วย รวมทั้งบริษัทมีการตั้งWar Room เพื่อติดตามสถานการณ์ต่างๆรวมทั้งแชร์ข้อมูลร่วมกัน เพื่อวางแผนรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆได้ทันท่วงที
ขณะเดียวกัน SCGC ยังเดินหน้าเป้าหมายการผลิตกรีน โพลิเมอร์ 1ล้านตันต่อปี แม้ว่าโครงการนำร่องนำพลาสติกใช้แล้วมาผลิตเป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับธุรกิจปิโตรเคมี (Chemical Recycling) จะยังมีต้นทุนที่สูงกว่าราคาแนฟทาถึง 2เท่าตัว ทำให้โพลิเมอร์ที่ผลิตได้มีราคาสูงกว่าโพลิเมอร์ปกติถึง 2-3เท่า แต่ก็ยังมีลูกค้าบางกลุ่มที่ยอมซื้อ ส่วนแผนการขยายกำลังการผลิตเป็นโรงงานเพื่อให้ได้ Economy of Scale คงต้องรออีกระยะหนึ่ง โดยวางเป้าหมายในปี2573จะนำพลาสติกใช้แล้วมารีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกใหม่ให้ได้ 5แสนตัน
ลุ้นกดปุ่มสตาร์ทโรงงานLSPอีกครั้ง
ส่วนLSP ที่ประเทศเวียดนาม SCGC มีความพร้อมที่จะเปิดเดินเครื่องใหม่อีกครั้ง แต่ไม่อยากรีบร้อนจนเกินไป เพราะหากบริษัทตัดสินใจเดินเครื่องจักรจะต้องสั่งวัตถุดิบใช้เวลาประมาณเดือนครึ่งจึงเดินเครื่องผลิตได้ ซึ่งโครงการLSP มีความได้เปรียบเรื่องที่ตั้งโรงงานอยู่ในประเทศที่มีความต้องการใช้พลาสติกสูง แต่มีข้อเสียตรงที่เป็นโครงการใหม่ ยังไม่มีการลงทุนต่อยอดเพื่อผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA)เหมือนกับโรงงานในไทย
PTTGCตั้งWar Roomรับมือสงครามการค้า
ด้านบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน)หรือ PTTGC ชี้แจงว่าทิศทางอุตสาหกรรมปิโตรเคมีในปีนี้ยังต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน นโยบายภาษีของสหรัฐฯกดดันเศรษฐกิจโลก และภาวะอุปทานส่วนเกินจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้น ยากที่จะคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีจะกลับมาดีขึ้นเมื่อใด
ในปี2568 บริษัทเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจโลก โดยจัดตั้ง War Room เพื่อมอนิเตอร์สถานการณ์ต่างๆ เนื่องจากตลาดปิโตรเคมียังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะนโยบายการขึ้นภาษีทรัมป์ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการซื้อขาย(Trade Flow Relocation) และยังมีความเสี่ยงที่อุปทานจากสหรัฐฯ และจีนจะทะลักเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันภายใต้วิกฤติ PTTGC แสวงหาโอกาสในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลง Trade Flow เข้าไปทำตลาดแทน
จีน และสหรัฐฯ ต่างก็เป็นBig Player ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยจีนมีความสามารถในการผลิตปิโตรเคมีรายใหญ่ แม้ว่าจะต้องนำเข้าวัตถุดิบทั้งอีเทนและโพรเพนจากสหรัฐฯเป็นส่วนใหญ่คิดเป็นสัดส่วน 100% และ57%ตามลำดับ ทำให้จีนต้องแก้เกมในช่วงที่สหรัฐฯประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงถึง 125% โดยหันไปนำเข้าทั้งโพรเพนและLPGจากตะวันออกกลางแทนการนำเข้าจากสหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตปิโตรเคมีสูงขึ้น ขณะที่สหรัฐฯเป็นประเทศที่มีการผลิตปิโตรเลียมทั้งน้ำมันและก๊าซฯรายใหญ่ของโลก โดยมีอีเทนและโพรเพนราคาถูกที่ส่งออกไปจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งPTTGC เตรียมนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯจำนวน 4 แสนตันต่อปีมาป้อนโรงโอเลฟินส์ในไทย
อย่างไรก็ดี ขณะนี้สหรัฐฯและจีนมีข้อตกลงร่วมกันชะลอการปรับขึ้นภาษีนำเข้าออกไป 90วัน ส่งผลให้แรงกดดันจีนในการจัดหาวัตถุดิบปิโตรเคมีผ่อนคลายลง เชื่อว่าระหว่างนี้จีนคงต้องเตรียมรับมือไม่ว่านโยบายภาษีสหรัฐฯจะมาในรูปแบบไหน ขณะเดียวกันPTTGC ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ควบคู่กับเดินหน้าตามแผนสร้างความเข้มแข็งภานในองค์กร ควบคู่กับการหาพันธมิตรเสริมแกร่ง
PTTGC ยอมรับว่าไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐฯ เนื่องจากไม่ได้มีการส่งออกเม็ดพลาสติกไปตลาดสหรัฐฯ แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบทางอ้อม ซึ่งเป็นปัจจัยทางอ้อมที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นบริษัทจึงหันมาสร้างความเข้มแข็งในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นบริหารสินค้าคงคลังให้เหมาะสมเพื่อลดผลกระทบจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมัน
,การเพิ่มประสิทธิภาพแบบองค์รวม (Holistic Optimization) โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในทุกส่วนขององค์กร ,การปรับพอร์ตโฟลิโอ บริหารสินทรัพย์เพื่อเพิ่มมูลค่าและลดต้นทุน,การควบคุมต้นทุนการดำเนินงาน (OPEX ) และการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการจัดหา เป็นต้น
ปรับเป้ามาตรการลดค่าใช้จ่ายเพิ่มรายได้ 5.5พันล.
ดังนั้นในปี2568 บริษัทฯได้ปรับเพิ่มเป้าหมายมาตรการลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มรายได้เป็น 5,500ล้านบาทจากเดิมที่ตั้งไว้ 4,500ล้านบาท โดยไตรมาสแรกปีนี้ทำได้แล้ว 800 ล้านบาท คาดว่าไตรมาส 2/2568 จะทำได้เพิ่มอีก 1,000ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทฯมุ่งเน้นโมเดล
Asset light อยู่ระหว่างพิจารณาจัดสรรสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักให้กับพาร์ทเนอร์
คาดว่าจะทำให้มีเงินเข้ามาประมาณ 30,000 ล้านบาท คาดว่าจะขายสินทรัพย์ได้ช่วงครึ่งปีหลังนี้ถึงต้นปี2569 เพื่อนำเงินไปลดภาระหนี้
ในปีที่แล้ว PTTGC เพื่อปลดภาระการขาดทุนจากการแบกธุรกิจที่ไม่สามารถแข่งขันได้ โดยยุติการดำเนินกิจการในบริษัทร่วมทุน “พีทีที อาซาฮี เคมิคอล “หรือPTTAC รวมทั้งปิดกิจการบริษัทย่อยของ PTTGC คือ บริษัท Vencorex France และVencorex TDI S.A.S.U. ล่าสุด ศาลฝรั่งเศสอนุมัติกระบวนการเลิกกิจการและชำระบัญชี (Liquidation Proceedings) ทำให้ PTTGC ไม่ต้องแบกรับภาระการขาดทุนของบริษัทนี้อีกต่อไป ขณะเดียวกัน PTTGC อยู่ระหว่างการขายสินทรัพย์ Vencorexในไทยและสหรัฐฯ คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในครึ่งหลังปีนี้ ทำให้PTTGCมีโอกาสรับรู้การกลับรายการด้อยค่าจากการจำหน่ายสินทรัพย์ Vencorex
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการรักษาความสามารถในการแข่งขัน และเสริมความมั่นคงวัตถุดิบปิโตรเคมีในระยะยาว บริษัทมีแผนนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ ประมาณ 4แสนตันต่อปี
ซึ่งโครงการนี้PTTGC จะใช้เงินลงทุนแค่ 133 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อลงทุนก่อสร้างท่อขนส่งอีเทนจากท่าเรือมายังโรงงานโอเลฟินส์ โดยบริษัทไม่ต้องลงทุนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของโรงงาน เนื่องจากโรงโอเลฟินส์ทั้ง 5 โรงของPTTGCได้ออกแบบให้รองรับการใช้อีเทนได้ตั้งแต่ต้น จึงไม่จำเป็นในการลงทุนเพิ่มเติม คาดว่าจะเริ่มนำเข้าอีเทนเพื่อผลิตได้ในปี 2572
ปัจจุบันโครงการนำเข้าวัตถุดิบอีเทน PTTGC ได้ลงนามข้อตกลงซื้อขายอีเทนจำนวน 400,000 ตัน ระยะยาว 15 ปี กับบริษัทในเครือของ Enterprise Products Partners L.P. ซึ่งเป็นผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ก๊าซธรรมชาติ NGLs น้ำมันดิบ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีในสหรัฐอเมริกา โดยปตท.ได้เซ็นเช่าเหมาเรือขนส่งอีเทนขนาดใหญ่ (Very Large Ethane Carriers : VLECs) ระยะยาว15ปีจำนวน 2ลำกับ MISC Berhad ผู้นำด้านการขนส่งก๊าซเหลวระดับโลกที่มีปิโตรนาสเป็นผู้ถือหุ้นหลัก และ PTTGC ได้ทำสัญญาบริหารการใช้ท่าเรือและถังเก็บอีเทนกับบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด (TTT) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของบริษัทกับพันธมิตรด้วย
สำหรับแนวโน้มในไตรมาส2/2568 PTTGC มีผลการดำเนินงานไม่เด่น แม้ว่ากลุ่มธุรกิจโอเลฟินส์ และจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ “allnex “มีมาร์จินฟื้นตัวดีขึ้นมาจากราคาวัตถุดิบ “แนฟทา”ลดลง และโรงงานผลิตHDPEบางแห่งหยุดผลิต แต่ถูกกดดันจากกลุ่มธุรกิจอะโรเมติกส์ โดยเฉพาะเบนซีนที่มาร์จินลดต่ำมาก เป็นผลมาจากกำลังการผลิตใหม่จากประเทศจีนออกสู่ตลาด แม้ว่าผู้ผลิตรายเดิมจะลดกำลังการผลิตแล้วก็ตาม ส่วนพาราไซลีน(PX)มาร์จินในไตรมาสนี้มีแนวโน้มดีขึ้นเมื่อเทียบไตรมาส1/2568 เนื่องจากผู้ผลิตเดิมลดกำลังผลิตลง แต่ทั้งปี2568 มาร์จินPX ส่อปรับลดลงเป็นผลจากตลาดปลายทางซบเซา
ทิศทางอุตสาหกรรมปิโตรเคมีใน 3ปีข้างหน้า ยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากอุปทานส่วนเกินทั่วโลก ทำให้PTTGC เร่งสร้างความเข้มแข็งในองค์กรและรักษาความสามารถในการแข่งขัน โดยใช้จุดแข็งด้านวัตถุดิบเป็นหัวใจสำคัญ โดยเฉพาะการใช้ “อีเทน” แทน “แนฟทา” เป็นวัตถุดิบ นับเป็นข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ของPTTGC เหนือผู้ผลิตปิโตรเคมีรายอื่นในภูมิภาคเอเชีย โดยปีนี้ PTTGC จะได้รับอีเทนจากปตท.เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนราว 20%