ตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายปี 2568 ยังเผชิญกับแรงกดดันครั้งใหญ่ หลังกลายเป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย ท่ามกลางความกังวลภายในประเทศและเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่ไหลออก ภาพรวมโบรกฯเชื่อเดือนธันวาคม ยังคงต้องเผชิญกับสภาวะ "แกว่งตัวรอ" สืบเนื่องจากความผันผวนของ Fund Flow และการขาดปัจจัยบวกใหม่ จับตา แรงขายจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) แต่ระดับราคา (Valuation) ของตลาดเริ่มมีความน่าสนใจในเชิงพื้นฐานมากขึ้น ทำให้ความเสี่ยง Downside Risk เริ่มจำกัด
ตลาดหุ้นไทยในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความท้าทายและแรงกดดันอย่างหนัก ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) เคลื่อนไหวในทิศทางที่ซบเซาและปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยหลัก ๆ เป็นผลมาจากความกังวลต่อปัจจัยความเสี่ยงเฉพาะตัวภายในประเทศ (Domestic Risks) ที่สะสมมาตั้งแต่ช่วงก่อนหน้า การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยยังคงดำเนินไปอย่างเชื่องช้าและขาดปัจจัยบวกใหม่ ๆ ที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้จริง
ขณะเดียวกัน ประเด็นด้านเสถียรภาพทางการเมืองและข้อพิพาทต่าง ๆ ที่ปะทุขึ้นมาเป็นระยะ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เข้ามาบั่นทอนบรรยากาศการลงทุนโดยรวม ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน
สถานการณ์ที่ชัดเจนที่สุดที่สะท้อนถึงความไม่มั่นใจดังกล่าวคือการไหลออกของเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) อย่างมีนัยสำคัญ ในเดือนพฤศจิกายน นักลงทุนต่างชาติได้เทขายสุทธิหุ้นไทยในปริมาณที่สูงมากถึงหลักหมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการขายสุทธิที่โดดเด่นและรุนแรงที่สุดแห่งหนึ่งในตลาดเอเชียใต้
นอกจากนี้ นักลงทุนสถาบันภายในประเทศ ก็มีท่าทีระมัดระวังและเป็นผู้ขายสุทธิในปริมาณมากเช่นกัน การเทขายพร้อมกันจากทั้งสองกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ได้สร้างแรงกดดันอย่างหนักต่อระดับดัชนี ซึ่งถูกฉุดให้ลงไปซื้อขายในระดับที่ต่ำกว่า 1,300 จุดอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีช่วงที่ได้รับแรงหนุนจากปัจจัยภายนอก อาทิ การคาดการณ์แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แต่ปัจจัยบวกเหล่านั้นก็ไม่สามารถต้านทานแรงขายที่มาจากความกังวลภายในประเทศได้ ทำให้ดัชนี SET ณ สิ้นเดือนปิดที่ระดับ 1,256.69 จุด
ภาพรวม 11 เดือนปี68
ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคมถึงพฤศจิกายน) สะท้อนถึงสภาวะที่เผชิญกับ แรงกดดันขาลง อย่างรุนแรงตลอดทั้งปี โดยนับจากจุดเริ่มต้น ณ วันที่ 2 มกราคม 2568 ซึ่งดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ปิดอยู่ที่ 1,379.85 จุด ตลาดได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องท่ามกลางความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ จนกระทั่งปิดตลาด ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ที่ระดับ 1,256.69 จุด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าดัชนีได้ปรับตัวลดลงไปทั้งสิ้น 123.16 จุด หรือคิดเป็นอัตราการลดลงประมาณ 8.93% ภายในระยะเวลา 11 เดือน ทำให้ตลาดหุ้นไทยจัดเป็นหนึ่งในตลาดที่ให้ผลตอบแทนติดลบมากที่สุดในภูมิภาคเอเชีย
ปัจจัยหลักที่ฉุดรั้งตลาดตลอดช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา มาจากความไม่แน่นอนที่ทับซ้อนกันหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การไหลออกอย่างหนักของเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ซึ่งเป็นผู้ขายสุทธิสะสมในปริมาณมหาศาลตลอดทั้งปี เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
นอกจากนี้ ปัจจัยด้านเสถียรภาพและความไม่แน่นอนทางการเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล การดำเนินงานของนโยบายเศรษฐกิจที่ยังไม่เห็นผลชัดเจน รวมถึงแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงทั่วโลกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้นและกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยรวมแล้ว บริษัทจำนวนไม่น้อยเผชิญกับความท้าทายด้านกำไร ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่ยังคงชะลอตัว
ดังนั้น การปรับตัวลดลงเกือบ 9% ในช่วง 11 เดือนนี้ จึงเป็นภาพสะท้อนของ ความเปราะบางของตลาด และการขาดปัจจัยบวกใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาเป็นตัวจุดชนวน (Catalyst) ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทิศทางได้อย่างยั่งยืน แม้จะมีช่วงที่ดัชนีดีดตัวขึ้นมาบ้างจากความคาดหวังเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล หรือการเก็งกำไรในหุ้นรายตัว แต่โมเมนตัมดังกล่าวก็ไม่สามารถคงอยู่ได้นาน ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความระมัดระวังและความกังวล โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลกหลายแห่งที่กลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งในช่วงปลายปีจากแนวโน้มการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นไทยตลอดปี 2568 ต้องถือเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่
ทิศทางเดือนธันวาคม
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย มองว่าตลาดหุ้นไทยในเดือนธันวาคม 2568 ยังคงต้องเผชิญกับสภาวะการแกว่งตัวในกรอบจำกัด สืบเนื่องจากความผันผวนของเงินทุนต่างชาติที่ยังไม่แน่นอน และการขาดปัจจัยบวกใหม่ ๆ ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน SET Index ได้ปรับตัวลงไปในระดับที่น่ากังวล ทำให้นักลงทุนต้องติดตามแรงขายที่อาจเกิดขึ้นในช่วงปลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการครบกำหนดไถ่ถอนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ซึ่งอาจสร้างแรงกดดันต่อดัชนีได้อีกระลอกหนึ่ง แม้ว่าตลาดจะมีการตอบรับเชิงบวกต่อแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) แต่ปัจจัยบวกจากภายนอกเหล่านั้นก็ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศที่สะสมอยู่ได้
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของระดับราคา (Valuation) ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้นในเชิงพื้นฐาน หลังจากที่ปรับตัวลดลงมาอย่างหนักตั้งแต่ต้นปีถึงปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งทำให้ความเสี่ยงด้านล่าง (Downside Risk) เริ่มจำกัด การเคลื่อนไหวของดัชนีจึงน่าจะเข้าสู่ภาวะ "แกว่งตัวรอ" (Sideways) โดยให้แนวรับสำคัญอยู่ที่ระดับ 1,230 จุด และแนวต้านที่ 1,265 - 1,285 จุด ตามลำดับ ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวจะยังขึ้นอยู่กับการเข้าซื้อของนักลงทุนสถาบันที่อาจมีการทำ Window Dressing ในช่วงสุดท้ายของปี รวมถึงแรงซื้อเพื่อลดหย่อนภาษีของกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงเดือนสุดท้ายของปี นักวิเคราะห์แนะนำให้เน้นการเลือกซื้อหุ้นรายตัวที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและมีอัตราเงินปันผลสูง (High Dividend Yield) หรือหุ้นที่ได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่คาดว่าจะเริ่มเห็นผลในช่วงไตรมาส 1 ปี 2569 เป็นหลัก ขณะเดียวกัน นักลงทุนควรติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของไทยในเดือนพฤศจิกายน เช่น ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งหากเงินเฟ้อมีการหดตัวต่อเนื่อง ก็จะเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนธันวาคมได้ ซึ่งจะเป็นสัญญาณที่ดีต่อตลาดในภาพรวม
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ธนชาต ได้ปรับมุมมองและเน้นย้ำถึงสภาวะที่ตลาดหุ้นไทยต้องอยู่ในภาวะ "ต้องเลือก" (Selective Buy) ลงทุนอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวช้าและมีปัญหาเชิงโครงสร้างกดดันอยู่หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง หรือความเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในหลายอุตสาหกรรมหลัก ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ไม่ดีนักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
สำหรับทิศทางในช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 บล. ธนชาต คาดการณ์ว่าตลาดจะยังคงได้รับแรงหนุนระยะสั้นจาก นโยบายการคลังที่ผ่อนคลายมากขึ้น ของรัฐบาล รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เริ่มทยอยออกมา และการคาดการณ์ถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ในปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินและเป็นปัจจัยบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยบวกเหล่านี้ แต่ตลาดจะไม่สามารถปรับตัวขึ้นอย่างเป็นวงกว้าง ได้ หากขาดอำนาจที่เข้มแข็งพอในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศ
โดยประเมินว่าตลาดมีโอกาสแตะระดับ 1,380 จุด ได้ภายในไตรมาส 1 ปี 2569 ซึ่งเป็นการประเมินที่อยู่บนสมมติฐานของการได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไปในครั้งหน้า ที่น่าจะยังคงเป็นรัฐบาลผสม โดยเน้นให้ความสำคัญกับการจัดพอร์ตลงทุนแบบ เสี่ยงปานกลาง (Moderate Risk Portfolio) เพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาสภาพคล่องไว้
ทำให้กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำให้มุ่งเน้นไปที่ 4 ธีมหลัก สำหรับไตรมาส 1 ปี 2569 ได้แก่ 1) หุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก กระแสการเติบโตของ AI และดาต้าเซนเตอร์ 2) หุ้นที่ได้รับผลบวกจาก นโยบายการคลังและการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น พร้อมมาตรการปรับโครงสร้างหนี้ 3) หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก รอบการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และ 4) หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก การผลักดันโครงการพลังงานทดแทน และการลดราคาพลังงาน ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ดีและมีแนวโน้มเติบโตได้ต่อเนื่องตามการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปของเศรษฐกิจไทย
ทิศทางมกราคม2569
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง มีมุมมองที่ค่อนข้างระมัดระวังแต่เป็นบวกในระยะยาว โดยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มเห็นการ ทยอยฟื้นตัว อย่างมีนัยสำคัญในไตรมาสแรกของปี 2569 หลังจากเผชิญกับความผันผวนและความอ่อนแอในปี 2568 ซึ่งปัจจัยขับเคลื่อนหลักมาจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่จะทยอยดำเนินการลงทุนจริงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมดิจิทัล (Data Center) และอิเล็กทรอนิกส์ (เซมิคอนดักเตอร์) ซึ่งได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ไปก่อนหน้านี้ ทำให้กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนและเทคโนโลยีได้รับอานิสงส์เป็นอันดับแรก
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นในปี 2569 ยังจะได้รับแรงหนุนจากปัจจัยพื้นฐานอื่น ๆ เช่น การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่งขึ้น และโมเมนตัมการส่งออกที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรตระหนักถึงความผันผวนที่ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะความไม่แน่นอนเกี่ยวกับมาตรการด้านภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ (US tariff) ที่อาจกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะสั้น สำหรับเดือนมกราคม ซึ่งเป็นเดือนแรกของปี จึงเป็นช่วงของการเริ่มต้นสะสมหุ้นที่มีคุณภาพ ในกลุ่มที่มีกำไรแข็งแกร่งและมีปันผลดี เพื่อรับโอกาสในการฟื้นตัวที่กำลังจะมาถึง
โดยกลยุทธ์การลงทุนสำหรับต้นปี 2569 จึงเน้นการกระจายความเสี่ยงไปในสินทรัพย์ที่หลากหลาย โดยให้ความสำคัญกับหุ้นที่มีธีมการเติบโตจาก Digital Transformation ซึ่งได้รับประโยชน์จากความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำที่เพิ่มขึ้นจากการเติบโตของ Data Center นอกจากนี้ หุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ยังคงมีความน่าสนใจ ในขณะที่นักวิเคราะห์ยังคงคาดการณ์กำไรต่อหุ้น (EPS) ของ SET Index สำหรับปี 2569 ไว้ที่ระดับ 90 บาท ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการประเมินมูลค่าที่ยังคงดึงดูดใจ
ด้าน บล.อินโนเวสท์เอกซ์ มองว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยภายในประเทศในช่วงต้นปี 2569 โดยเฉพาะจากความชัดเจนทางการเมืองที่มากขึ้นและการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งมาตรการเหล่านี้จะช่วยให้กำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth) สำหรับปี 2569 จะยังคงชะลอตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 1.4% แต่การสนับสนุนบางส่วนจากมาตรการกระตุ้นและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นฐานสำคัญที่ช่วยจำกัดความเสี่ยงด้านล่างของตลาด (Downside Risk) ไว้ได้
นักวิเคราะห์เชื่อว่าการเข้าสู่เดือนมกราคม 2569 จะเป็นช่วงที่นักลงทุนเริ่มกลับมามุ่งเน้นที่ปัจจัยบวกภายในประเทศ (Domestic Plays) ที่ได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และมาตรการกระตุ้นของรัฐบาล นอกจากนี้ การติดตามสัญญาณเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย และทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่อาจช่วยดึงดูดเงินทุนต่างชาติให้ไหลกลับเข้ามาในตลาดได้บ้าง ตลาดจึงมีโอกาสที่จะเห็นการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงปลายปี 2568 ที่ผ่านมา
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำให้ เน้นไปที่สินทรัพย์เสี่ยง (Risk Assets) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และกลุ่มที่เชื่อมโยงกับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว โดยกำหนดเป้าหมายดัชนี SET Index สำหรับปี 2569 ไว้ที่ระดับ 1,350-1,400 จุด ซึ่งหากดัชนีมีการย่อตัวลงต่ำกว่า 1,200 จุด จะเป็นระดับราคาที่น่าสนใจในการเข้าสะสมอย่างยิ่ง *** นอกจากนี้ การติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ยังคงสำคัญ เนื่องจากผลกระทบจากการปรับลดอัตราภาษีของสหรัฐฯ ในหลายประเทศยังคงเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก


