xs
xsm
sm
md
lg

บล.บัวหลวง คงเป้า SET ปีหน้าทยอยฟื้นสู่ 1,440 จุด ชี้หุ้นไทยเป็นรองภูมิภาค แนะกระจายพอร์ตลงหุ้นเทศ-ทองคำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า บัวหลวงยังคงเป้า SET Index ปี 69 ที่ 1,440 จุด กำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ 90 บาท แม้ยังมีปัจจัยกดดันทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การบริโภคในประเทศทรงตัวจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง และความไม่แน่นอนทางการเมือง

บัวหลวง มองว่าเศรษฐกิจไทยในปี 69 จะเริ่มเห็นการทยอยฟื้นตัวในไตรมาสแรก แรงขับเคลื่อนหลักมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) โดยเฉพาะอุตสาหกรรมดิจิทัล (Data Center) และอิเล็กทรอนิกส์ (เซมิคอนดักเตอร์) ซึ่งจะทยอยลงทุนจริงอย่างต่อเนื่องหลังได้รับอนุมัติจาก BOI, ภาคท่องเที่ยวกลับมาเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป คาดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติแตะ 34 ล้านคน เพิ่มขึ้นราว 2.4% โดยเฉพาะตลาดอินเดีย รัสเซีย และยุโรป ขณะที่นักท่องเที่ยวจีนเริ่มฟื้นตัวจากฐานต่ำ รวมถึงภาคการส่งออกที่ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 4/68 ไปแล้วและมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการแข่งขันของตลาดหุ้นไทยอาจไม่ได้โดดเด่นเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาค อีกทั้งตลาดบ้านเรายังไม่มีความชัดเจนของธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับ AI หรือไม่ได้มีบริษัทต้นน้ำในเชิงธุรกิจที่เกี่ยวกับชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่สภาพคล่องที่จะเข้ามามากขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าภูมิภาคมากขึ้นและคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย

"ตลาดหุ้นไทยยังเป็นรองเมื่อเทียบกับตลาดในภูมิภาค ผมยังมองว่าเม็ดเงินหลักจะยังอยู่ที่ไต้หวัน เกาหลีใต้ และจีน ขณะที่ในอาเซียนคู่แข่งหลักของเรายังคงเป็น อินโดนีเซีย และเวียดนาม เราอาจจะต้องพยายามกระตุ้นตัวเองมากขึ้น สร้างความโดดเด่นให้มากขึ้น"นายชัยพร กล่าว

นับตั้งแต่ต้นปี 68 จนถึงปัจจุบัน SET ลดลงไปกว่า 8% (ณ วันที่ 12 พ.ย.68) โดยลงไปแตะจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปีที่ 1,056 จุด ในเดือน เม.ย.68 จากแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและต่างประเทศ อาทิ ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว, หนี้ครัวเรือนสูงสุดในรอบ 4 ปี, การบริโภคในประเทศอ่อนแรง, ความไม่แน่นอนทางการเมือง ตลอดจนความกังวลผลกระทบมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาเคลื่อนไหวผันผวน

ในช่วงเดือนสุดท้ายของปี 68 ทีม Wealth Research ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ ยังเผชิญความเสี่ยงจากมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต่อสินค้าส่งออกบางประเภท อีกทั้งเมื่อพิจารณาในเชิงมูลค่า (Valuation) พบว่าค่า P/E ราว 14.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยตลาดภูมิภาคที่ 13 เท่า แต่เศรษฐกิจไทยยังมีโอกาสได้รับแรงหนุนจาก FDI ในอุตสาหกรรมดิจิทัลและอิเล็กทรอนิกส์, ภาคท่องเที่ยวที่ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/68 รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ "เที่ยวดีมีคืน" และ "คนละครึ่งพลัส" ทำให้คาดว่าในช่วงปลายปี SET Index อาจเคลื่อนไหวในกรอบ 1,280-1,320 จุด

นายชัยพร กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยต่อเนื่องเพราะมีทางเลือกลงทุนตลาดอื่นที่ให้ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นและเติบโตได้ดีกว่าตลาดหุ้นไทย ณ วันนี้ ธีมการลงทุนในเงินปันผลที่เคยทำให้ตลาดหุ้นไทยน่าสนใจนั้น สะท้อนว่าอาจไม่มีการเติบโต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นความสำคัญที่ต้องมีการพูดคุยอย่างจริงจังว่าจะขับเคลื่อนบริษัทจดทะเบียนอย่างไรให้มีประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น สร้างผลกำไรดีขึ้น และทำอย่างไรให้ ROE ตลาดสูงขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ เองก็มีโครงการ Jump+ แต่คงต้องใช้เวลากว่าจะเกิดผลสำเร็จชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นใช้เวลาถึง 5 ปีกว่าจะทำให้โครงการนี้จะสำเร็จ

สำหรับปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นไทนที่เบาบาง นายชัยพร กล่าวว่าในแง่ของการทำธุรกิจเป็นสิ่งที่น่ากังวล เนื่องจากสภาพคล่องลดลง ขณะเดียวกันความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ

อย่างไรก็ตาม ปีหน้าเชื่อว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยหนุน คือการลงทุนภาคเอกชน รวมทั้งแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงหนุนให้สินทรัพย์เสี่ยงได้รับผลบวกจากสภาพคล่องที่ดีขึ้น

นายชัยพร กล่าวว่า ในธุรกิจโบรกเกอร์ต้องพยายามกระจายความเสี่ยง กระจายรายได้ โดยบล.บัวหลวง แม้ว่าจะมีมาร์เก็ตแชร์ในแง่ของรายได้และกำไรอยู่ในระดับ Top 3-5 ของอุตสาหกรรม แต่ต้องมีการปรับพอร์ตธุรกิจลดการพึ่งพาธุรกิจเทรดดิ้ง และกระจายรายได้นอกเหนือจากการลงทุนตลาดไทย เนื่องจากมองว่าบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย ยังไม่ได้ฟื้นตัวกลับมาในลักษณะ Bull Market แม้จะมีโอกาสที่ดัชนีปรับตัวดีขึ้นหรือปริมาณการซื้อขายต่อวันสูงขึ้น

*ชี้ช่องลงทุนปี 69 ธีมดาต้าเซ็นเตอร์-Digital เด่น
ด้านนายพิริยพล คงวาณิช นักกลยุทธ์ปัจจัยพื้นฐาน ฝ่าย Wealth Research บล.บัวหลวง กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับช่วงปี 69 ยังเน้นกลุ่มหุ้นคุณภาพสูง และ/หรือหุ้นกลุ่มปันผลสูง-กระแสเงินสดสม่ำเสมอ เน้นไปที่ 4 ธีมหลัก ได้แก่

กลุ่มผู้นำการเติบโตธีมดาต้าเซ็นเตอร์-Digital transformation การเติบโตรอบใหม่ของกลุ่มโรงไฟฟ้า-น้ำกำลังจะเริ่มต้น : ความต้องการใช้ไฟฟ้าและน้ำจากดาต้าเซ็นเตอร์คาดว่าจะเร่งตัวตั้งแต่ต้นปี 69 หลังการอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากตั้งแต่ไตรมาส 4/67 รวมถึงกลุ่มสื่อสาร คาดเติบโตแกร่งตามกระแส Digital transformation (หุ้น WHAUP, หุ้น GULF, หุ้น ADVANC)

กลุ่มเชื่อมโยงการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก ทั้งกลุ่มปิโตรฯ และกลุ่มส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง : นโยบาย "Anti-involution" ของจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ มีเป้าหมายจำกัดปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ช่วยจำกัดความเสี่ยงด้านอุปทานส่วนเกินเพิ่มเติม หนุนกลุ่มปิโตรฯ นอกจากนี้ ระดับ Valuations อยู่ในภาวะถูกมากใกล้เคียงกับระดับต่ำสุดในช่วงวิกฤตปี 2008 ส่วนต่างผลิตภัณฑ์หลักอย่าง HDPE, PP และ PET อยู่ "ต่ำกว่าจุดคุ้มทุน" (Breakeven) ซึ่งทำให้โครงการขยายกำลังการผลิตใหม่ชะลอลง และช่วยจำกัด Downside ของราคาส่วนต่าง ทั้งนี้ การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมโลกในปี 2569 (manufacturing cycle) จะหนุนความต้องการปิโตรฯ และกำไรกลุ่มปิโตรฯ เติบโตในปี 2569 ในขณะที่ความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงคาดยังแข็งแกร่ง ผลิตภัณฑ์ใหม่คาดหนุนอัตรากำไรเพิ่มเติม และการเติบโตกำไร (หุ้น PTTGC, หุ้น SCC, หุ้น ITC)

กลุ่มที่กำไรคาดเติบโตต่อเนื่อง-ได้รับประโยชน์จากนโยบายภาครัฐฯกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก-เกษตรกร : มาตรการกระตุ้นฯ/แก้หนี้คาดทยอยออกมาต่อเนื่องลดแรงกดดันหนี้ครัวเรือนสูงล มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ Quick Big Win ที่ทยอยออกมาตั้งแต่ไตรมาส 4/68 ได้แก่ คนละครึ่งพลัส และมีแนวโน้มทำ "คนละครึ่ง พลัส" เฟส 2 ต่อในเดือน ม.ค.69 หรืออาจมีมาตรการอื่น ๆ เช่น โครงการ Easy e-receipt สำหรับผู้มีรายได้สูงและอยู่ในระบบภาษีราว 4 ล้านคน หนุนการบริโภค ขณะที่มาตรการแก้หนี้ครัวเรือนคาดเห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้นจากการรับซื้อหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ไปเข้าง JV AMC แนะนำกลุ่มค้าปลีก (เน้นกลุ่มของใช้จำเป็น), ห้างที่มีรายได้ค่าเช่าสม่ำเสมอ, กลุ่มการเงิน (เฉพาะที่มีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี) (หุ้น CPN, หุ้น CENTEL, หุ้นAOT, หุ้น MTC, หุ้น TIDLOR)

กลุ่มปันผลสูง-กระแสเงินสดสม่ำเสมอ-ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นตลาดทุน : หลังคลังเห็นชอบหลักการโครงการออมระยะยาว (Thailand Individual Investment Account : TISA) โดยให้สิทธินำวงเงินการซื้อขายหุ้น และมีการกำหนดเงื่อนไขไว้ นำมาใช้ลดหย่อนภาษีทางตรงได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อใช้เป็นหนึ่งในมาตรการฟื้นความเชื่อมั่น ทั้งนี้ คาดมาตรการกระตุ้นตลาดทุนโครงการออมระยะยาว (Thailand Individual Investment Account : TISA) จะหนุนกลุ่มหุ้นพื้นฐานดีปันผลสูง โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร และกลุ่มสื่อสาร (หุ้น KTB, หุ้นSCB)

*แนะกระจายลงทุนหุ้นใน-หุ้นตปท.-ทอง
บัวหลวง แนะนำนักลงทุนใช้กลยุทธ์ "Barbell Strategy" โดยกระจายการลงทุนระหว่างสินทรัพย์เสี่ยงสูงและเสี่ยงต่ำในปี 69 ตลาดหุ้น 60% (แบ่งเป็นหุ้นไทย 10%, หุ้นต่างประเทศผ่าน DR 50% กระจายทั้งในธีมเชื่องโยง AI ในสหรัฐฯ (เช่น GOOGL01 และ NVDA01) ธีมเศรษฐกิจดิจิทัลในจีน (เช่น TENCENT01) รวมถึงอินเดีย (INDIA01)และเวียดนาม (E1VFVN3001)

ส่วนตราสารหนี้ 30% และ ทองคำ 10% โดยราคาทองคำยังมีแนวโน้มแข็งแกร่งจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ, การเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก และแรงซื้อจากกองทุน ETF โดยตั้งเป้าราคาทองคำที่ 5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ประมาณบาทละ 78,000) ภายในปี 69 และอาจแตะ 6,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในปี 70-71 สะท้อนว่าทองคำได้เข้าสู่ Super Cycle ระยะที่ 3 อย่างสมบูรณ์

ส่วนกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ และยานยนต์ เนื่องจากฟื้นตัวช้าและได้รับผลกระทบจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง ทั้งนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอาจต้องอาศัยปัจจัยภายนอก เช่น การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และการปรับเกณฑ์ส่งเสริมการลงทุนของ BOI เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ


กำลังโหลดความคิดเห็น