xs
xsm
sm
md
lg

ปตท.ลั่นสรุปพันธมิตรร่วมทุนธุรกิจปิโตรฯและการกลั่นในปี69 ตั้งเป้าปีหน้ามีกระแสเงินสดเพิ่มอีก1แสนล.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ปตท.ลั่นสรุปพันธมิตรร่วมทุนในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นทั้ง TOP-PTTGC-IRPC ในปีหน้า แย้มเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ช่วยเสริมธุรกิจแข็งแกร่งในธุรกิจโดยปตท.ยังถือหุ้นใหญ่อยู่ พร้อมตั้งเป้าสร้างกระแสเงินสดในปี69เพิ่มอีก 1 แสนล้านบาท และรุกธุรกิจเทรดดิ้ง LNG วางเป้า 10 ล้านตันภายในปี 73 และเพิ่ม15ล้านตันในปี78

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เปิดเผยความคืบหน้าการหาพันธมิตรร่วมทุนในกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นว่า ขณะนี้อยู่ในช่วงการเจรจากับพันธมิตรร่วมทุน ซึ่งเป็นบริษัทรายใหญ่ คาดว่าจะมีความชัดเจน และตั้งเป้าดำเนินธุรกรรมให้แล้วเสร็จภายในปี 2569

ทั้งนี้ การดึงพันธมิตรใหม่เข้าร่วมถือหุ้นในธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นจะต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัท รองรับธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง และยังคงยืนยันว่า ปตท.ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นหลักในบริษัท Flagships ดังกล่าว

กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นในกลุ่มปตท. ประกอบด้วย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC ,บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC

สำหรับทิศทางการดำเนินงานปี 2569 มองว่ายังท้าทาย โดยเฉพาะราคาน้ำมันในตลาดโลกคาดว่าจะยังทรงตัว เมื่อเทียบกับปี 2568 เนื่องจากยังมีซัพพลายใหม่เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น ขณะที่มาร์จิ้นของกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมีภาพรวมทรงตัว แม้ว่าบางผลิตภัณฑ์จะดีขึ้น ดังนั้นสิ่งที่กลุ่ม ปตท. จะยังดำเนินการต่อเนื่องคือเร่งสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ผ่านโครงการสำคัญที่จะช่วยยกระดับผลการดำเนินงาน (EBITDA Uplift) และสร้างความสามารถในการแข่งขัน พร้อมตั้งเป้าสร้างกระแสเงินสดในปี 2569 อีก 100,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่กลุ่ม ปตท.ยังสามารถรักษาการดำเนินงานตามแผนได้ในทุกมิติ โดยมี EBITDA งวด 9 เดือนแรกปี 2568 จำนวน 257,957 ล้านบาท และมีเงินสดและเงินลงทุนระยะสั้นในระดับที่แข็งแกร่งจำนวน 413,718 ล้านบาท


นายคงกระพัน กล่าวว่า ภารกิจสำคัญของ ปตท. คือ การสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย นั่นหมายถึงการมีพลังงานที่เพียงพอ ภายใต้กลไกราคาที่เหมาะสมแข่งขันได้ และมีความยั่งยืนควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สามารถบรรลุภารกิจเหล่านี้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ปตท. จึงมุ่งเน้นในสิ่งที่มีความถนัด ภายใต้กลยุทธ์เร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ Hydrocarbon ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก ปตท. สามารถผลักดันผลสำเร็จเพิ่มเติมตามแผน โดยกลุ่มธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ขยายการสำรวจและผลิตในแหล่งใหม่ พร้อมลงทุนในโครงการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเติม ได้แก่ โครงการพื้นที่พัฒนาร่วมไทย - มาเลเซีย เอ 18 ซึ่งเป็นแหล่งก๊าซธรรมชาติหลักที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าบริเวณภาคใต้ของไทย และร่วมลงทุนในโครงการแอลจีเรีย ทูอัท ในทวีปแอฟริกา อีกทั้งอยู่ระหว่างการพิจารณาตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในโครงการแอลจีเรีย ฮาสสิ เบอร์ ราเคซ ระยะที่ 2

ขณะที่ธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ สามารถทำการค้าและการลงทุน LNG ใน 9 เดือนแรกปี 2568 ได้กว่า 2.2 ล้านตัน และอยู่ระหว่างลงนามสัญญา LNG ระยะยาว 1.6 ล้านตัน โดยปตท.ตั้งเป้าเทรดดิ้งLNGราว 10 ล้านตันภายในปี 2573 และเพิ่มเป็น 15ล้านตันในปี 2578 เนื่องจากมองว่าเป็นโอกาสของธุรกิจเทรดดิ้งในช่วงที่ราคา LNG ไม่แพง ซึ่ง LNG ในส่วนนี้จะไม่เกี่ยวกับ LNG เพื่อความมั่นคงของประเทศ ที่มีสัญญาระยะยาว ปัจจุบันรวม 5.2 ล้านตัน และปีหน้าจะมีLNGเพิ่มจากสหรัฐฯอีก 1ล้านตัน รวมเป็น 6.2ล้านตันต่อปี

ด้านธุรกิจ Non-Hydrocarbon ลดบทบาทธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก โดยปรับพอร์ตการลงทุนในธุรกิจ EV Value Chain ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท ฮอริษอน พลัส จำกัด (Horizon Plus) ขายหุ้นบริษัท Contemporary Amperex Technology Co., Ltd (CATL) รวมถึงจำหน่ายเงินลงทุนในบริษัท นีโอ โมบิลิตี้ เอเชีย จำกัด (NMA) ตามกลยุทธ์ Smart Exit ส่งผลให้มีเงินสดกลับคืน ปตท. ในส่วนของ Life Science บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด (INBA) ลดสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท Lotus Pharmaceutical Company Limited (Lotus) เพื่อสนับสนุนให้ Lotus มีความคล่องตัวในการขยายตลาดยาในสหรัฐอเมริกา ผ่านการลงทุนในบริษัท New Alvogen Group Holdings Inc. (Alvogen US) ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์การเติบโตแบบพึ่งพาตนเอง (Self – Funding)


นอกจากนี้ในด้านการขับเคลื่อนความยั่งยืน ปตท. ยังคงมุ่งมั่นในการบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 และจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 15% ในปี 2035 โดยดำเนินการอย่างสมดุลในทุกมิติ ทั้ง เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เพื่อกำหนดแนวทางส่งเสริมและผลักดันเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS) ให้เกิดการใช้งานจริงในไทย พร้อมทั้งศึกษาและนำเสนอความเป็นไปได้ของการใช้ Hydrogen และ Ammonia Co-firing เป็นพลังงานทางเลือกในประเทศ ทั้งนี้โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทยจะเริ่มดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ในปี 2571 โดยสามารถกักเก็บได้สูงสุดประมาณ 1 ล้านตันต่อปี โครงการดังกล่าวจะเป็นต้นแบบสำคัญสำหรับการพัฒนา CCS ในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทย รวมถึงการพัฒนา CCS Hub ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในอนาคต

ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 19,784 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,460 ล้านบาท โตขึ้น 21.2 %เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยหลักเป็นผลจากการทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินการและมาตรการลดค่าใช้จ่าย รวมทั้งการรับรู้กำไรจากการซื้อคืนหุ้นกู้ของบริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) และบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) ซึ่งช่วยลดภาระดอกเบี้ยในอนาคต

ส่วนผลประกอบการ 9 เดือนปี 2568 ปตท. และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 64,632 ล้านบาท ลดลง 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากระดับราคาน้ำมันและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ถูกกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจโลก แต่ด้วยมาตรการเชิงรุก อาทิ EBITDA Uplift, Asset Monetization, การควบคุมค่าใช้จ่ายและการบริหารหนี้เงินกู้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้กลุ่ม ปตท. สามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมายในทุกมิติ สร้าง Profit Enhancement รวมกว่า 15,000 ล้านบาท เปรียบเสมือนการผ่านบททดสอบท่ามกลางความท้าทาย ตอกย้ำการเดินกลยุทธ์ที่แม่นยำภายใต้การประเมินสถานการณ์ที่ละเอียด รอบคอบ และวิสัยทัศน์ที่ถูกทาง พร้อมดูแลผู้มีส่วนได้เสียอย่างสมดุล สร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นสวนกระแสเศรษฐกิจที่ถดถอย สามารถจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.90 บาทต่อหุ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น