xs
xsm
sm
md
lg

PTTGC แจงไตรมาส 3/2568 EBITDA หด15% วางกลยุทธ์เพิ่มรายได้-ลดคชจ.รับมือศก.ผันผวน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



PTTGC เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 มีรายได้รวม 126,836 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ Adjusted EBITDA อยู่ที่ 5,147 ล้านบาท ลดลง 15% จากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนภาวะตลาดที่ผันผวน เดินหน้ามาตรการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายในปี69กว่า 5,500 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะรับรู้ผลประโยชน์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี

นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่าแม้สถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเศรษฐกิจโลกยังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งกำลังการผลิตส่วนเกินจากตลาดที่มีต้นทุนต่ำ สงครามการค้า และปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร แต่บริษัทยังคงดำเนินกลยุทธ์ตามแผนที่วางไว้ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการปัจจัยที่ควบคุมได้ เพื่อพลิกสถานการณ์และสร้างความพร้อมสำหรับการเติบโตในระยะถัดไป ทั้งการดำเนินงานตามเป้าหมาย กลยุทธ์ Portfolio Transformation และการบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย การเพิ่มประสิทธิภาพแบบองค์รวมด้วยแนวทาง Holistic Optimization รวมทั้งเดินหน้าตามแผนลดภาระทางการเงิน (Deleveraging Program) และการบริหารสภาพคล่อง”

โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญหลายด้าน ได้แก่ การเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 5,500 ล้านบาทต่อปี ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 4,000 ล้านบาทต่อปี คาดว่าจะสามารถทำได้เกินกว่าเป้าหมาย

การขับเคลื่อนแนวทาง Holistic Optimization เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานแบบองค์รวม และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ โครงการนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ มาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน และโครงการใช้พลังงานความเย็นจากก๊าซธรรมชาติเหลวในกระบวนการผลิตโอเลฟินส์

การดำเนินการตามแผน Deleveraging และการบริหารสภาพคล่อง ด้วยการ ขยายวงเงิน Trade Credit Facility สำหรับการจัดหาวัตถุดิบกับ ปตท. เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงิน และ ออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ สกุลเหรียญสหรัฐฯ มูลค่ารวม 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งเป็นมูลค่าสูงที่สุดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มียอดจองซื้อสูงกว่า 8 เท่าของมูลค่าที่เสนอขาย การดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ลดลงประมาณ 75,000 ล้านบาท และ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Debt/Equity) ลดลงจาก 0.84 เท่า เมื่อสิ้นปี 2567 มาอยู่ที่ระดับประมาณ 0.50 เท่า ในไตรมาส 3 ปี 2568 โดยบริษัทฯ ยังมีวงเงินทุนหมุนเวียน (Committed facility) จากปตท. และ สถาบันการเงินรวมกว่า 70,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ สกุลเงินบาท สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ระหว่างวันที่ 27–28 พฤศจิกายน และ 1–3 ธันวาคม 2568

ดำเนินการ Asset Monetization เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ โดยมี 2 ธุรกรรมสำคัญ ซึ่งจะนำเสนอเพื่อพิจารณาอนุมัติในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ได้แก่ การขายหุ้นบางส่วนใน บริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด (TTT) ให้บริการท่าเทียบเรือและคลังเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ให้แก่ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) คิดเป็นสัดส่วน 35.43% ภายหลังธุรกรรม PTTGCจะยังคงถือหุ้นอยู่ 1%

การขายทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนที่เกี่ยวกับท่าเทียบเรือและคลังเก็บผลิตภัณฑ์ใน Buffer Tank Farm ให้แก่บริษัทย่อยของ PTT Tank โดย GC จะเช่าทรัพย์สินกลับบางส่วน (Leaseback) และใช้บริการท่าเทียบเรือและพื้นที่ส่วนกลางต่อเนื่อง รวมทั้งยังคงเป็นผู้ดำเนินการและบำรุงรักษา (O&M) เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ


นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าวว่าในปี 2569 บริษัทฯ จะยังคงดำเนินมาตรการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 5,500 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะรับรู้ผลประโยชน์อย่างต่อเนื่อง (recurring) พร้อมทั้งสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี จากความคืบหน้าที่ทำได้ในปี 2568 นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขับเคลื่อนตามแนวทาง Holistic Optimization เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานแบบองค์รวมและเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมได้อีก 1,200 ล้านบาทต่อปี ในปี 2569

นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าดึงศักยภาพของ allnex ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้าน Coating Resins ผ่านการดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย ท่ามกลางภาวะอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว โดยมีการดำเนินงานสำคัญ ได้แก่ การขยายกำลังการผลิตในตลาดศักยภาพสูง อาทิ ประเทศจีน อินเดีย และไทย เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันและรองรับการเติบโตในเอเชีย โดยเล็งเห็นว่าประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางสำคัญของเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Project Helix โครงการลดต้นทุนเชิงโครงสร้าง โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายได้ 40 ล้านยูโรต่อปี ภายในปี 2569–2570 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญต่อเป้าหมายเพิ่ม EBITDA ให้ได้อีกอย่างน้อย 25 ล้านยูโรต่อปี ภายในปี 2573

Commercial Excellence และ Supply Chain Optimization ปรับกระบวนการเชิงพาณิชย์และห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

Growth Platform หน่วยธุรกิจที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมเพื่อขยายไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ อาทิ สารเติมแต่ง (additives) วัสดุคอมโพสิต และแบตเตอรี่ รวมถึงพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับความต้องการใหม่ของตลาด

สำหรับผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 392,763 ล้านบาท และ Adjusted EBITDA 16,606 ล้านบาท สำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 มีรายได้รวม 126,836 ล้านบาท ลดลง 5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ Adjusted EBITDA อยู่ที่ 5,147 ล้านบาท ลดลง 15% จากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนภาวะตลาดที่ผันผวน


กำลังโหลดความคิดเห็น